เช้าวันต่อมา
ฉันตื่นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้า วันนี้ฉันมีเรียนสาย แต่ไม่อยากอยู่บ้านนี้นานจึงตั้งใจว่าจะรีบออกไปก่อน หาที่นั่งจิบกาแฟรอเวลาเข้าเรียนน่าจะดีกว่า
“อ้าว มีเรียนเช้าเหรอยัยหนู” เสียงป้าขิมทักมาจากห้องทานอาหาร ฉันชะงักเท้าเปลี่ยนทิศทางเดินไปทางนั้นแทน พนมมือไหว้ป้าขิมกับลุงเสืออย่างนอบน้อม ก่อนชะงักเมื่อเห็นร่างสูงอีกคนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารด้วย
วันนี้เขาไม่มีเรียนเช้านี่…
“ดีเลย ตาเก้าก็ต้องไปเรียนเช้าเหมือนกัน จะได้ไปส่งน้องด้วย” ป้าขิมเดินมาจับฉันนั่งลงด้านข้างเก้าทัพพร้อมวางชามข้าวต้มหอมกรุ่นลงบนโต๊ะตรงหน้า ฉันอ้าปากจะปฏิเสธแต่ถูกคนด้านข้างพูดขัดซะก่อน
“ทานเยอะ ๆ นะคะน้องจา พี่ไม่รีบ”
ฉันถลึงตามองคนเสแสร้งข้างกาย รอยยิ้มของเขาช่างจอมปลอมจริง ๆ เวลาอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ทีไรเขามักจะเป็นแบบนี้เสมอ เรียกตัวเองว่าพี่ พูดจาคะขากับฉัน มองฉันด้วยแววตาอ่อนโยน สวมหน้ากากพี่ชายที่แสนดี
ปลอมที่สุดอ่ะ!
“จริงสิ เห็นเพียวบอกว่าน้องจาจะย้ายไปอยู่หอเหรอจ๊ะ”
ฉันแทบสำลักตอนถูกถามคำถามนี้ รู้สึกได้ถึงสายตาอำมหิตจากคนข้าง ๆ เมื่อวานฉันอุตส่าห์เลี่ยงจากเก้าทัพได้แล้วแท้ ๆ
“ค่ะ จาดูหอไว้แล้ว ส่วนแม่ก็อนุญาตแล้วด้วยค่ะ”
แกร๊ง
เสียงวางช้อนกระแทกลงบนจานดึงสายตาฉันหันมอง เก้าทัพอิ่มแล้ว เขายกผ้าขึ้นเช็ดปาก สีหน้าเรียบนิ่ง ทว่าสายตาทอประกายดุดันยามสบตากับฉัน พอป้าขิมหันมองตาม ริมฝีปากหนาแสร้งผุดยิ้ม แววตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที เขามีสวิตช์อยู่ที่ตัวหรือไงนะ เปลี่ยนโหมดไวชะมัด
“คิดดีแล้วเหรอคะน้องจา อยู่หอคนเดียวมันอันตรายนะ” คิดไว้แล้วเชียวว่าเก้าทัพจะต้องแย้งฉัน ถ้าไม่ได้อยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ ป่านนี้เขาคงกระชากแขนฉันหรือบีบแขนฉันจนช้ำไปแล้วแน่ ๆ
“จาคิดดีแล้วค่ะ หอที่จาไปอยู่มีเพื่อน ๆ จาอยู่หลายคน แล้วมันก็ใกล้มหาลัยด้วยค่ะ” ฉันเลี่ยงจะสบตาเก้าทัพ ก้มหน้าตักข้าวต้มทานอีกสองสามคำแล้ววางช้อนลง “จาอิ่มแล้ว ถ้างั้นจาขอตัวไปเรียนก่อนนะคะ”
ฉันไหว้ลาลุงเสือกับป้าขิม พวกท่านยิ้มรับไม่พูดอะไร เก้าทัพลุกขึ้นยืนตามฉัน เรามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่ฉันจะเป็นฝ่ายเดินหนีออกมา
หมับ
“จะไปไหน รถจอดอยู่นู่น” มือหนาคว้าแขนฉันไว้เมื่อเห็นว่าฉันกำลังจะเดินไปทางหน้าประตูรั้วบ้าน ฉันหันกลับมามอง ดึงแขนออก ถอนหายใจ หนีเขาไม่พ้นอีกแล้วสินะ
“จาขอโทรศัพท์คืนด้วย” ฉันแบมือตรงหน้า เก้าทัพหลุบตามองนิ่ง ๆ จนฉันต้องย้ำอีกรอบ “พี่เก้า จาขอโทรศัพท์”
“ไปขึ้นรถก่อน เดี๋ยวคืนให้”
เห็นไหม… พอลับหลังผู้ใหญ่ เขาก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองแล้ว
นี่แหละตัวตนที่แท้จริงของผู้ชายคนนี้
“ไม่ เอาโทรศัพท์จามาก่อน” ฉันดื้อใส่ เงยหน้ามองเขาอย่างไม่ยอมแพ้
“เดี๋ยวนี้พูดไม่ฟัง?”
“…”
“ดื้อเก่ง อยากลองดีใช่มะ?”
โอเค… ฉันยอมแพ้ก็ได้
ฉันหมุนตัวเดินไปที่รถคันหรูของเก้าทัพ เลือกที่จะไม่โต้เถียงกับเขาอีก ก็รู้อยู่หรอกว่าสู้เขาไม่เคยชนะ แต่มันอดไม่ได้ที่จะต่อต้านเขาสักหน่อย เวลาที่ต้องทำตามคำสั่งเขาง่าย ๆ แล้วมันรู้สึกโมโหตัวเองยังไงไม่รู้ ฉันหัวอ่อนได้ขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย…
เก้าทัพขับรถมาส่งฉันหน้าคณะ รถคันหรูของเขายังเรียกสายตานักศึกษาคนอื่น ๆ ได้เหมือนทุกครั้ง ฉันแทบไม่อยากจะก้าวลงจากรถเลยให้ตายสิ ฉันควรชิน แต่มันก็ไม่ชินสักที
ใคร ๆ ก็รู้จักเก้าทัพในนามของหนุ่มฮอตสุดหล่อเอกแฟชั่น เจ้าชายผู้เย่อหยิ่ง เขามองผู้คนด้วยปรายสายตา เย็นชา ปากร้ายดั่งคมมีด และชอบทำตัวเป็นเจ้าชีวิตของฉัน
“โทรศัพท์จาล่ะ” ฉันแบมือทวงเขา มืออีกข้างเตรียมจะเปิดประตูลง เก้าทัพเบี่ยงหน้ามามอง ดวงตาคมหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ฉันมาวางคืนบนมือ พอฉันจะดึงโทรศัพท์เก็บเขาก็ยื้อเอาไว้จนต้องหันมองสบตา
“วันนี้เธอเลิกเรียนก่อนฉัน รอที่เดิมจนกว่าฉันจะมารับ” เขาสั่งฉันอีกแล้ว
“เย็นนี้จามีซ้อม พี่ไม่ต้องมารับ จากลับเองได้”
“มีซ้อม? ซ้อมอะไรอีก ทำไมฉันไม่รู้”
ฉันกลอกตาใส่ เก้าทัพรู้ตารางเรียนฉันทั้งหมด เขาเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ฉันเรียนปีหนึ่งแล้ว คอยรับส่งฉัน คอยเฝ้าฉัน ตามติดชีวิตฉันเสียยิ่งกว่าพ่อ! เพราะเขาเป็นแบบนี้ไงพ่อฉันถึงวางใจเขาน่ะ!
“จาอยู่ปีสองแล้วนะ จาก็ต้องมีซ้อมมีแคสติ้งสิ เพราะงั้นพี่กลับก่อนได้เลย จากลับเองได้” ฉันออกแรงดึงโทรศัพท์จนมันหลุดจากมือเขาสำเร็จแล้วเปิดประตูลงจากรถทันที ไม่ต้องรอให้คนบนรถพูดอะไรอีก ฉันรีบหมุนตัวเดินหนีห่างจากตัวรถ
หวังว่าเขาจะปล่อยให้ฉันมีอิสระบ้างนะ… เลิกตามติดชีวิตฉันสักทีเถอะ!