“น้องรอง ฝีมือของเจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก ข้านับถือเจ้าจริงๆ” ฉู่เหรินเจี้ยนผู้โง่เขลา เขาเดินติดตามฉู่ซินเยว่มาหลังจากแยกย้ายกันที่เรือนใหญ่ ฉู่ซินเยว่หันไปพยักหน้ากับเสี่ยวชิง อีกฝ่ายทราบความนัยของคุณหนู จึงได้ไปนำเงินออกมาให้คุณชายใหญ่ ฉู่เหรินเจี้ยนรับเงินด้วยท่าทางอารมณ์ดี น้องสาวผู้นี้ช่างรู้ใจยิ่งนัก
“หากพี่ใหญ่จะเมตตาข้ามากกว่านี้ เช่นนั้นวอนท่านช่วยบอกกล่าวกับท่านพ่อได้หรือไม่ว่า… ข้าชื่นชอบคุณชายเจียงนัก” ฉู่ซินเยว่กล่าว ท่าทางของนางดูขัดเขินตามประสาเด็กสาวอยู่บ้าง ฉู่เหรินเจี้ยนหัวเราะแผ่วเบาด้วยความเข้าใจ ฉู่ซินเยว่ต้องการให้อีกฝ่ายบอกกล่าวแก่บิดาด้วยสาเหตุประการแรกนางต้องการให้ฉู่หงซีผู้เป็นบิดาของนาง และอนุอี้เลิกคลางแคลงใจนางเรื่องทองพวกนั้น และสองนางต้องการให้พวกเขายื่นมือช่วยเหลือนางเรื่องเจียงเว่ยหมิง ไม่มีแรงสนับสนุนจากพวกเขา ก็ยากที่จะจัดการกับเจียงเว่ยหมิง
“ท่านพ่อคงได้ตำหนิอย่างแน่นอน เจ้าก็รู้ว่าคุณชายเจียงผู้นั้นมีพันธะหมั้นหมายแล้ว”
“พันธะหมั้นหมาย ไม่ใช่ว่าเลิกไม่ได้ ขอเพียงพี่ใหญ่ช่วยพูด วันหน้าข้าก็ยังสามารถตอบแทนบุญคุณของท่านได้ โดยเฉพาะเรื่องแม่นางอันอัน” ฉู่ซินเยว่กล่าว ฉู่เหรินเจี้ยนเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างพึงพอใจ เขาทราบว่าภายในจวนตระกูลฉู่ไม่มีใครเห็นด้วยกับเขาเรื่องแม่นางอันอันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะท่านพ่อ แต่หากฉู่ซินเยว่เป็นคนหนึ่งที่ให้ความช่วยเหลือเขา เช่นนั้นมันก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นเท่าไหร่นัก ฐานะอนุ แค่เพียงอนุเท่านั้น
“ได้ อย่าลืมคำพูดของเจ้าแล้วกัน”
“เจ้าค่ะ”
“คุณหนูแน่ใจหรือเจ้าคะว่าคุณชายจะช่วยท่านได้” เสี่ยวชิงถามในขณะที่ฉู่เหรินเจี้ยนเดินจากไป ฉู่ซินเยว่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ปนความเหนื่อยหน่าย นางว้าวุ่นใจมาตลอดทั้งวัน โชคดีนักที่นางคิดอะไรออกเพื่อแก้ต่างให้ตัวเองได้บ้าง แม้ว่าจะทำได้ไม่ดีนัก
“เสี่ยวชิง พี่ชายข้าไม่ฉลาด แต่เรื่องการใช้ปาก ไม่นับว่าเป็นสองรองใครเลยนะ” ฉู่ซินเยว่กล่าว วันหน้าฉู่เหรินเจี้ยนจะได้ดีเพราะรู้จักพูด ฉู่เหรินเจี้ยนไม่ใช่คนเฉลียวฉลาด หรือโดดเด่นอะไร เพียงแต่เขาเป็นคนเอาตัวรอดเก่ง ทั้งยังรู้จักพูด รู้จักเข้าหาผู้คน ทักษะเช่นนี้ผู้อื่นมักมองว่าไม่ใช่วิถีของบุรุษ ไร้ค่า ไม่มีเกียรติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทุกสงครามก็มักจะมีแต่คนพวกนี้เท่านั้นที่รอดมาได้
“แล้ว…”
“อย่าเผลอพูดเรื่องห้องลับนั่นอีก ระยะนี้ท่านพ่อกับอนุอี้คงส่งคนมาจับตาที่เรือนของเราแล้ว” ฉู่ซินเยว่ปรามเสี่ยวชิง อีกฝ่ายพยักหน้าด้วยความเข้าใจ “เช่นนั้นเจ้ามาช่วยข้าอาบน้ำ สระผมหน่อยเถอะ ค่ำคืนนี้จะมีแขกที่รับเชิญของข้ามา” ฉู่ซินเยว่กล่าว เสี่ยวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย แขกรับเชิญในยามค่ำคืน
“แขกหรือเจ้าคะ”
“ใช่”
ฉู่ซินเยว่อาบน้ำขัดผิวให้ร่างกายสะอาด นางมองไปผิวพรรณอันขาวนุ่มเนียนละเอียดด้วยความพอใจ เอกลักษณ์ของความเยาว์วัยก็คงไม่พ้นผิวกาย ผิวหน้า ความงามที่แสนสดชื่น น่าเสียดายที่ตอนนั้นนางได้แต่ทอดทิ้งวัยสาวให้ร่วงโรยอย่างเดียวดาย
“คุณหนูจะใช้น้ำมันดอกกุ้ยฮวาหรือเจ้าคะ แต่ท่านชอบดอกโมลี่นี่เจ้าคะ” เสี่ยวชิงถามด้วยความสงสัย ฉู่ซินเยว่ถอนหายใจ ใช่ว่านางจะชอบกินกุ้ยฮวาเสียที่ไหน แต่เจ้าหน้าเหม็นนั่นชอบกลิ่นนี้นี่ แล้วจะให้นางทำอย่างไรได้
“ข้าไม่ชอบ แต่คนผู้นั้นชอบนี่”
“คนผู้นั้นหรือเจ้าคะ คุณหนู หรือท่านนัดคุณชายเจียงมาเจ้าคะ แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าคุณชายเจียงชอบดอกกุ้ยฮวา”
“แล้วไม่ใช่เขา จะเป็นใครเล่า”
“คุณหนู แต่ท่านเป็นสตรีนะเจ้าคะ หะ หากคนผู้นั้นไม่จริงใจต่อท่านเล่าเจ้าคะ เช่นนั้นท่านไม่เสื่อมเสียเกียรติหรือเจ้าคะ” เสี่ยวชิงถามด้วยความเป็นห่วง ใบหน้าของนางเห่อร้อนขึ้นมาจนแดงก่ำ ฉู่ซินเยว่หัวเราะขบขันเล็กน้อย นางเคยผ่านเรื่องพวกนั้นกับเจียงเว่ยหมิงมาแล้ว เหตุใดนางต้องเขินอายอีก อีกทั้งจุดหมายของนางคือเจียงฮุ่ย เรื่องพวกนี้อย่างไรก็คงหนีไม่พ้นอยู่แล้ว
“แล้วจะทำไมเล่า”
“คุณหนู ท่านเป็นบุตรสาวขุนนางเชียวนะเจ้าคะ”
“แล้วบุตรสาวขุนนางอยากมีสามีไม่ได้หรือ”
“แต่ก็ควรต้องใช้วิธีที่ถูกต้องตามครรลองสิเจ้าคะ”
“มันช้า ไม่ทันใจ”
“คุณหนู” เสี่ยวชิงหมดคำจะกล่าว ฉู่ซินเยว่เองก็เมินคำตักเตือนของเสี่ยวชิง ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจ แต่จุดหมายเดียวที่นางต้องการตอนนี้คือบุตรชายของนาง เรื่องอื่นนางไว้เป็นเรื่องรอง
ค่ำคืนนั้นฉู่ซินเยว่เลือกแต่งกายด้วยเอี๊ยมสีหวาน พร้อมกับชุดคลุมบางจนเห็นเรือนกายด้านใน คืนนี้อนุญาตให้ข้ารับใช้เรือนนางไปพักผ่อนให้หมด เพื่อให้เจียงเว่ยหมิงเข้ามาหานางได้สะดวก แต่อนิจจา… นางเหนื่อยเกินไปจนเผลอหลับ
เจียงเว่ยหมิงในชุดสีดำสนิทเหมาะกับช่วงยามรัตติกาลที่ท้องฟ้ามืดสนิท เขาเดินหาเรือนของคุณหนูรองตระกูลฉู่เสียรอบจวน กว่าจะพบกับเรือนนอนของนาง ที่นี่เป็นสถานที่ที่ดีไม่น้อย ต้นจางชู่ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลชวนให้ผ่อนคลายนัก รอบบริเวณเรือนของนางเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่ได้มีต้นไม้งดงามประดับประดามากมายจนระคายสายตา ที่นี่บ่งบอกตัวตนของนางได้ดีนัก
เจียงเว่ยหมิงไม่พบว่าบริเวณรอบเรือนนอนนี้จะมีสาวใช้เฝ้าคอยสักคน เมื่อเปิดประตูเรือนเข้าไปก็พบกับความเงียบ ภายในห้องมีแสงเทียนรำไร เจ้าของเรือนนอนหลับอยู่บนเตียงด้วยท่วงท่าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์แห่งอิสตรีเพศอันเย้ายวน ฉู่ซินเยว่มีเรือนกายของสตรีที่เติบโตเต็มวัย เสื้อผ้าที่ปกปิดอย่างหมิ่นเหม่ทำให้ทรวงอกอวบอิ่มโผล่พ้นจนเห็นเนินเนื้อขาวผ่องชวนหลงใหล เรียวขางามพาดอยู่ขอบเตียง เจียงเว่ยหมิงถึงกับต้องเบือนหน้าหนี ไม่ใช่เพราะรังเกียจ
…แต่เพราะเขาเป็นบุรุษ
“แม่นางฉู่” เจียงเว่ยหมิงเรียกฉู่ซินเยว่ นางค่อยๆ ตื่นลืมตามามองเขา แต่นั่นยิ่งทำให้นางดูงดงาม ชวนน่าหลงใหลมากกว่าเดิมเสียอีก เสียงงึมงำในลำคอ กับดวงตาปรือที่ตื่นขึ้นมา ท่าทางอันเป็นธรรมชาติ มันชวนให้เกิดความปรารถนาแห่งบุรุษเพศอย่างบอกไม่ถูก ฉู่ซินเยว่ที่พอเริ่มได้สติ นางเพียงแค่มองเขาก็ทราบแล้วว่าเขานั้นต้านทานต่อสตรีไม่ค่อยได้เท่าไหร่นัก อาจจะเพราะเขาในตอนนี้ยังเยาว์วัยนัก ทั้งยังไม่ใช่บุรุษมากรัก กระหายในกาม เห็นสตรีที่เชิญชวนขนาดนี้ ไม่รู้สึกอะไรก็คงแปลกจนเกินไปนัก แม้ในชีวิตก่อนเจียงเว่ยหมิงไม่ได้ชอบนาง แต่รสรักของเขา ทำให้นางรู้ดีว่าเขาชื่นชอบพวกนี้มากขนาดไหน
“คุณชาย” ฉู่ซินเยว่เรียกเขาเสียงหวาน ก่อนจะลุกจากเตียงเดินเข้าไปหาเจียงเว่ยหมิง นางสบสายตาของเขาชั่วครู่ ก่อนจะยกแขนเรียวบางโอบรอบเอวของเขา เจียงเว่ยหมิงตระหนก เขาผลักนางออกทันที แต่ก็สู้ความหน้าด้านหน้าทนของนางไม่ได้ “เหตุใดถึงไม่ชอบเล่าเจ้าคะ”
“คุณหนูฉู่ รักษาเกียรติของตนเองด้วย”
“ไม่มีเจ้าค่ะ”
“ไม่มีอะไร”
“ไม่มีเกียรติให้ต้องรักษาเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่ตอบหน้าตาย ถ้าหากเขายอมนางเสียคืนนี้ หาโอกาสรอบหน้าอีกสักรอบสองรอบ เจียงฮุ่ยของนางก็คงจะมาแล้ว ฉู่ซินเยว่ยอมเป็นคนไร้ยางอาย นางไม่สนใจนักหรอกว่าเขาจะคิดกับนางเช่นไร ขอเพียงแค่เขายินยอมก็พอ
“เจ้าเป็นคุณหนูในห้องหอ เหตุใดทำตัวเช่นนี้”
“ก็แล้ววันนั้นท่านอยากอุ้มข้าไปเองทำไม แทนที่จะส่งข้าไปหาสาวใช้ของข้า” ฉู่ซินเยว่กล่าว เจียงเว่ยหมิงสะอึกในลำคอเล็กน้อย แต่เขาไม่ได้คิดอะไรไม่ดีเลยสักนิด แต่เพราะชีพจรของนางถูกพิษ ทำให้เขาต้องรีบตัดสินใจ เพียงแต่ไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นข่าวลือที่ไม่เหมาะสมเช่นนั้น “ท่านต้องรับผิดชอบข้า”
“พลาดจากคุณชายกวนอี้เผยก็เป็นข้าเช่นนั้นหรือ” เจียงเว่ยหมิงกัดฟันถาม ฉู่ซินเยว่ยังคงยิ้มเจ้าเล่ห์ ท่าทางชวนโมโห นางจิ้มไปที่แก้มของเขา พลางเขย่งตัวขึ้นมากระซิบข้างหูของเขา
“ไม่ใช่… จุดหมายของข้าคือท่านต่างหาก"
“พะ พูดออกมาได้ ไร้ยางอายนัก” เจียงเว่ยหมิงไม่เคยพบพานคุณหนูในห้องหอคนใดที่กล้าทำกับเขาเช่นนี้มาก่อน ฉู่ซินเยว่หัวเราะแผ่วเบา ดวงตาของนางโค้งงอ ดูน่าเอ็นดูไม่น้อย ทว่า… เขาด่านางไปเถอะ นางไม่สนใจหรอก ชีวิตก่อนเขาด่านางมากกว่านี้เสียอีก นางยังไม่นึกกลัวเลย แค่คำด่าเล็กน้อยพวกนี้จะทำอะไรนางได้
“ข้าไร้ยางอาย ก็เพราะข้าชอบท่าน” ฉู่ซินเยว่กล่าว มือไม้ซุกซนของนางเริ่มล้วงเข้าไปลูบอกของเจียงเว่ยหมิง ร่างกายของชายหนุ่มร้อนผ่าว กลิ่นหอมดอกกุ้ยฮวาจากร่างกายของนางเป็นกลิ่นที่เขาโปรดปรานมากที่สุด เจียงเว่ยหมิงส่ายหน้าก่อนจะสะบัดร่างนุ่มนิ่มให้ห่างออกจากตัว
“ข้ามาเพื่อถามเจ้าเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้ารู้”
“ท่านหิวหรือไม่” ฉู่ซินเยว่กล่าวก่อนจะเดินไปทางโต๊ะกลาง นางมีอาหารที่เตรียมไว้ตั้งแต่มื้อเย็น แม้ว่ามันจะเย็นชืดไปหลายอย่าง แต่ก็เป็นของที่ทานได้ ความจริงนางหิวยิ่งนัก แต่เพราะมัวแต่ทำอย่างอื่น ไปๆมาๆ นางก็หลับเสียก่อน ตื่นมาถึงอยากจะยั่วเจียงเว่ยหมิงสักเท่าไหร่ แต่ยามนี้นางกลับหิวข้าวยิ่งนัก หิวจนแทบลืมสิ้นเรื่องที่อยากทำไปจนหมด
“ข้าไม่มีเวลามากนักหรอกนะ”
“เช่นนั้นท่านก็กลับไปสิ”
“คุณหนูฉู่ ข้าไม่สนุกกับการกระทำของท่านหรอกนะ”
“พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปขอบคุณท่านหมอ ท่าน และก็ขอโทษตระกูลกวน หวังว่าท่านจะช่วยอธิบายเรื่องอาการป่วยของข้านะเจ้าคะ ถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าของพิษนั่นจะจับข้าได้” ฉู่ซินเยว่ตอบก่อนนางจะใช้ตะเกียบคีบอาหารกินข้าวด้วยความหิวโหย เจียงเว่ยหมิงค่อนข้างแน่ใจว่านางรู้เรื่องที่ตัวเองโดนกระทำ แต่เหตุใดนางถึงได้ดูใจเย็นเช่นนั้น
“ไม่กลัวตายหรือ”
“กลัวสิ กลัวไม่ได้เป็นภรรยาของท่าน”
“เหตุใดถึงได้เป็นสตรีเช่นนี้” เจียงเว่ยหมิงตำหนิ ดูเอาเถิดคำพูดนางแต่ละคำ ใช่คำพูดที่สตรีดีๆที่ไหนจะพูดกัน ยิ่งนางพูดออกมาแต่ละคำ ใบหน้าเรียบเฉย ไม่ได้มีแววตาบ่งบอกความหมายอย่างที่ปากนางพูดเลยแม้แต่น้อย ฉู่ซินเยว่เงยหน้ามองอีกฝ่าย ความรู้สึกของนางคล้ายทั้งรักทั้งชัง เจียงเว่ยหมิงเลือกจะนั่งลงตรงข้ามนาง เขาจ้องมองนางพลางครุ่นคิดในใจอย่างพิจารณา สตรีตรงหน้าช่างแปลกประหลาดนัก ปากนางพูดอีกอย่าง แต่กลับแสดงออกอีกอย่าง แล้วใจนางคิดอะไรอยู่กัน
“เรื่องพิษนั่นข้ายังไม่แน่ใจนักว่าข้าเข้าใจถูกต้องหรือไม่ แต่จะให้พวกเขารู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าข้าโดนพิษ” ฉู่ซินเยว่กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง เจียงเว่ยหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย
“เจ้าคิดว่าเป็นอนุอี้หรือ”
“ท่านช่างสืบรู้เรื่องในจวนข้าไวนัก”
“อืม”
“อยากรู้มากกว่านี้ก็เป็นสามีข้าสิ ท่านจะได้เข้านอกออกในจวนตระกูลฉู่ได้โดยไม่ต้องปีนเข้ามา" ฉู่ซินเยว่ยังหยอกเย้าอีกฝ่ายไม่เลิกรา เจียงเว่ยหมิงถอนหายใจก่อนจะกลับออกไป ฉู่ซินเยว่ที่กำลังยิ้มเล็กน้อย นางหุบยิ้มทันที ค่ำคืนนี้นับว่าได้พูดคุยกันก็พอแล้ว คิดดูแล้วคนอย่างเจียงเว่ยหมิงจะใช้ไม้แข็ง ดึงดันให้เขาเป็นของนางนั้นยากเย็นนัก อีกอย่างนางไม่อยากมีปัญหากับตระกูลกู้อย่างเปิดเผยสักเท่าไหร่นัก นางเพียงทำให้อีกฝ่ายพึงพอใจนางบ้างเท่านั้นก็พอ การมีคืนวสันต์ด้วยกันเพียงคืนเดียวก็ใช่ว่านางจะตั้งครรภ์ทันทีแบบในอดีต หากนางวางยาเขาแบบในชีวิตเดิม นางก็กลัวว่าหากทำไปแล้ว นางไม่ท้องจะเกิดอะไรขึ้น มีแค่วิธีเดียวคือต้องทำให้เขาปรารถนานาง ร่วมคืนวสันต์กับนางหลายครั้ง จนนางแน่ใจว่าท้องนั่นแหละ
ฮุ่ยเอ๋อร์ เจ้าดูเอาเถิดว่าแม่ทำเพื่อเจ้ามากขนาดไหน
หวังว่าเจ้าจะเมตตาแม่ รีบมาเกิดเสียทีนะลูก
“คุณหนู เมื่อคืนท่าน”
“ข้ายังบริสุทธิ์อยู่ เจ้าเสียดายหรือ เสี่ยวชิง” ฉู่ซินเยว่หยอกเย้าเสี่ยวชิง ตัวนางในอดีตก็นับว่าวัยกลางคนไปแล้ว เรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่เรื่องราวแปลกใหม่อะไร มีเพียงแค่เสี่ยวชิงที่ยังนับว่าเป็นสาวน้อยแสนบริสุทธิ์ ใบหน้าของเสี่ยวชิงแดงก่ำเมื่อได้ยินคุณหนูพูดจาเรื่องพวกนี้ออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ
“คุณหนู ท่านไม่ควรพูดเช่นนี้เลยนะเจ้าคะ ท่านเป็นสตรี ทั้งยังไม่มีพันธะ หากผู้อื่นได้ยินจะทำเช่นไร" เสี่ยวชิงตำหนิคุณหนูด้วยความเป็นห่วง ฉู่ซินเยว่ยกยิ้มขึ้นมา สำหรับนางก็มีเสี่ยวชิงที่ดีต่อนาง คนที่เป็นห่วงนาง กล้าที่จะตักเตือนนาง น้อยนักที่จะหาได้
“เจ้าค่ะ คุณหนูมู่หรงเหมย”
“คุณหนู” เสี่ยวชิงเขินอายจนต้องเสียงดัง ฉู่ซินเยว่ยิ้มเล็กน้อย บางครั้งนางมองเสี่ยวชิงก็ทั้งรู้สึกผิด และเศร้าอย่างบอกไม่ถูก ความจริงเสี่ยวชิงก็นับว่าเป็นคุณหนูคนหนึ่ง ไม่แปลกนักที่มู่หรงเลี่ยงมักจะมองนางด้วยความไม่พอใจ แต่เสี่ยวชิงทำงานรับใช้ใกล้ชิดนางก็ใช้ว่าจะลำบากอะไร สาวใช้มีมากมายออกเต็มเรือน นางไม่เคยใช้ให้เสี่ยวชิงทำงานหนักอะไรมากมาย จะว่าเรื่องลงโทษนางยังไม่เคยลงโทษเสียด้วยซ้ำ ในชีวิตก่อนที่ทะเลาะกันก็เพราะว่านเหมยเฟิงเป็นคนยุยงนางทั้งนั้น
เบื้องหน้าของฉู่ซินเยว่เป็นเรือนใหญ่ที่ทุกคนภายในตระกูลฉู่กำลังนั่งทานอาหารกันอย่างเรียบง่าย ฉู่ซินเยว่ถอนหายใจ ในอดีตชีวิตของนางมักคิดว่าทุกคนในครอบครัวตระกูลฉู่ คือครอบครัวของนาง แต่ทว่า… มันกลับไม่ใช่เช่นนั้นเลย ยามนางลำบาก พวกเขาก็ปฏิเสธนางราวกับว่านางไม่เคยใช้แซ่เดียวกับพวกเขา ขนาดนางไม่มาร่วมทานอาหารนานนับเดือน พวกเขาไม่มีใครเมตตาจะส่งคนมาถามเลยว่านางเป็นเช่นไรบ้าง ป่วย กินยา หรือเรียกหาท่านหมอบ้างหรือยัง ทุกคนยังใช้ชีวิตปกติดีได้ในขณะที่ไม่มีนาง ที่แท้ครอบครัวของนางก็คือเจียงฮุ่ย บุตรชายคนดีของนางคนเดียวเท่านั้นจริงๆ
“เหตุใดยังไม่เข้าไปด้านในเล่าเจ้าคะคุณหนู” เสี่ยวชิงถาม ฉู่ซินเยว่ได้สติก่อนจะเดินเข้าไปในเรือนใหญ่ที่ทุกคนกำลังทานอาหาร บนเก้าอี้ยังมีที่ว่างสำหรับนาง คิดแล้วก็เวทนานัก พอแต่งออกไปก็ไร้ความหมาย ไม่นับว่าเป็นคนของตระกูลฉู่ แต่น่าเสียดายที่ในชีวิตนั้นนางกลับไม่เคยลืมเลยว่าตัวนางมาจากที่ไหน
“วันนี้ทำอะไรให้เรียบร้อยเหมาะสมเข้าใจหรือไม่” ท่านพ่อกล่าวย้ำในขณะทานอาหาร ฉู่ซินเยว่หยักหน้ารับอย่างเรียบง่าย ก่อนจะลงมือทานโจ๊กบนโต๊ะอาหาร
“พี่สาวท่านไม่กังวลเรื่องชื่อเสียงเลยหรือ" ฉู่หรูหยวนถามในขณะที่ทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บนรถม้า ท่าทางของฉู่ซินเยว่นิ่งเงียบ ไร้ซึ่งความกังวลใดๆทั้งสิ้น ข่าวลือพูดกันไปมากมาย นางรู้ว่าพี่รองไม่ได้แกล้งป่วย แต่ทำไมกันถึงมีคนเอาไปเล่าลือได้กัน
“กังวลไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้ แล้วข้าจะต้องกังวลไปทำไม” ฉู่ซินเยว่ตอบฉู่หรูหยวน ในชีวิตก่อนฉู่หรูหยวนก็ได้รับถ้อยคำติฉันนินทามากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่นางปีนเตียงพี่เขย พี่น้องใช้สามีร่วมกัน สารพัดถ้อยคำมากมายที่โหดร้ายกว่าที่ฉู่ซินเยว่เผชิญมา แต่ฉู่หรูหยวนไม่เคยทุกข์ร้อนอะไร ทั้งยังเคยพูดกับนางแบบนี้ด้วยซ้ำว่ากังวลไปแล้วได้อะไร สุดท้ายในขณะที่นางกับเจียงฮุ่ยตายไปแล้ว ฉู่หรูหยวนก็คงกลายเป็นโหวฮูหยินตระกูลเจียง บุตรชายของนางก็คงกลายเป็นคนสำคัญอย่างที่นางเฝ้าฝัน เจียงเว่ยหมิงก็คงมีความสุขกับภรรยาอันเป็นที่รัก และบุตรชายที่เขาปรารถนา
…ยิ่งคิดในใจของฉู่ซินเยว่กลับเจ็บปวด
นางเข้าใจหากเขาจะไม่รักนาง
แต่กับลูกเล่า…
ท่านพ่อนางเองก็เช่นกัน เขาไม่ได้รักนางเลยแม้แต่น้อย ไฉนตอนนั้นนางถึงไม่เข้าใจความรู้สึกที่บุตรชายต้องเผชิญกับเรื่องราวพวกนี้ หากนางคิดได้สักนิด นางกับเจียงฮุ่ยอาจจะใช้ชีวิตสองคนแม่ลูกกันอย่างสุขสงบ ใครไม่รักก็ช่าง มีเพียงนาง และเจียงฮุ่ยที่รักกัน วันหน้ายังมีโอกาส หากเจียงฮุ่ยแต่งสตรีที่เขาพึงใจมาสักคน มีหลานให้นางเลี้ยง แม้ไม่ต้องมีบุรุษข้างกาย แต่มีลูกหลานเต็มจวน
มันคงจะดีนัก