11

2990 คำ
“ผู้น้อยขอขอบพระคุณท่านอาจารย์จื้อหยางมากเจ้าค่ะ ที่เมตตาให้ความช่วยเหลือ” ฉู่ซินเยว่กล่าวต่อท่านอาจารย์จื้อหยาง ท่านหมอหลวงใหญ่ประจำสำนักแพทย์หลวงหลวนเหยา สองพี่น้องตระกูลฉู่มีหน้าตางดงามชวนให้ผู้คนมองนัก ท่านอาจารย์จื้อหยางกระแอมไอดังเล็กน้อย ก่อนเหล่าบรรดาศิษย์วัยหนุ่มทั้งหลายจะรีบพากันหนีหายด้วยเกรงจะถูกลงโทษ “ไม่เป็นไรหรอก วันหลังคุณหนูฉู่ก็ต้องระวังเรื่องอาหารการกินให้มาก อย่าได้ทำอาหารสุกๆ ดิบๆ อีกเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นท่านอาจจะถึงตายได้” ท่านอาจารย์จื้อหยางโกหกหน้าตาย ฉู่ซินเยว่ย่นคิ้วเล็กน้อยก่อนจะแย้มยิ้มออกมา นางโค้งศีรษะต่อผู้อาวุโสตรงหน้า “ผู้น้อยเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ระยะหลังผู้น้อยเพียรพยายามที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับการทำอาหาร ไม่คิดว่าไม่เพียงรสชาติจะแย่ ยังทำให้เกิดอาการป่วยเช่นนี้ด้วย” ฉู่ซินเยว่กล่าวอย่างเขินอาย ฉู่หรูหยวนที่ได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ นางแทบอยากจะหลุดหัวเราะออกมา ฉู่ซินเยว่แยกเรือนทานอาหารไม่ค่อยมาเรือนใหญ่นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ใครจะคิดว่าพี่สาวผู้นี้จะพยายามหัดทำอาหาร แล้วก็ไม่สุกจนเกิดผลแบบนี้ อาหารไม่อร่อยก็ว่าไปอย่าง แต่สุกไม่สุกดูไม่ออกนี่ไม่ใช่ว่ามันน่าขบขันเกินไปหน่อยหรือ “อาหารสดจำพวกผัก ทานสดย่อมได้ แต่บางชนิดไม่เหมาะ ยิ่งพวกเนื้อสัตว์จะทำ ต้องทำให้สุก” “เจ้าค่ะ” “เช่นนั้นคุณหนูทั้งสองกลับไปเถอะ คุณหนูทั้งสองเป็นสตรีที่ยังไม่ออกเรือน อยู่นานจะทำให้เจ้าพวกนั้นไม่ยอมเรียนหนังสือกัน คำขอบคุณของคุณหนูฉู่ ข้ารับไว้ด้วยความยินดี เพียงแต่วันหลังจะทำอะไรต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้” ท่านอาจารย์จื้อหยางกล่าวอย่างมีความนัย ฉู่ซินเยว่ยิ้มก่อนจะทำการขอตัวลาจากผู้อาวุโส เพียงเดินออกมาจากเรือน เสียงหัวเราะของฉู่หรูหยวนก็ดังขึ้น ฉู่ซินเยว่ตวัดสายตาไปมอง ทว่า… ความคิดแรกในใจของนางกลับเปลี่ยนไป หากครั้งนั้นพี่น้องไม่ทะเลาะกัน พวกนางยังจะสามารถหัวเราะกันแบบนี้ได้หรือไม่ ฉู่ซินเยว่เพียงแค่คิด แต่สำหรับนางจะให้ทำใจปล่อยวางทุกเรื่อง มันไม่ใช่ง่ายดายขนาดนั้น แม้นางจะต้องการเพียงแค่เจียงฮุ่ย แต่ภายในใจนางจะละความแค้นได้จริงหรือ แน่นอนว่าไม่ใช่ “หัวเราะอะไรของเจ้า มันน่าตลกมาเลยหรืออย่างไร” “เดิมทีข้าคิดว่าท่านเอาแต่ซื้ออาหารดีๆ มากินคนเดียว ที่แท้ท่านกลับทำอาหารด้วยตัวเอง” ฉู่หรูหยวนหัวเราะขบขัน แต่ชั่วขณะนั้นฉู่ซินเยว่กลับรู้สึกได้ว่าเหตุผลเช่นนี้ของท่านอาจารย์จื้อหยางนั้นไม่เลวเลยทีเดียว ประจวบกับที่นางมักจะใช้เสี่ยวชิงให้ออกไปทำธุระ ไหนจะเรื่องที่นางมักชอบเข้าห้องหนังสือของบิดาด้วย “ข้าก็อ่านตำรับอาหารจากในห้องหนังสือของท่านพ่อนั่นแหละ ตำรับพวกนั้นไม่ดี ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย” ฉู่ซินเยว่ตอบคล้ายกับว่านางนั้นโทษตำรับตำราอาหาร ไม่ได้เกี่ยวกับฝีมือในการทำอาหารของนาง นั่นยิ่งทำให้ฉู่หรูหยวนหัวเราะมากขึ้นไปอีก “ห้องครัวก็มี เหตุใดต้องนึกอยากทำเองกัน วันหน้าเดี๋ยวก็ป่วยอีกหรอก” “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” ทั้งสองคนพี่น้องก็ต้องเดินทางไปต่อกันที่จวนตระกูลเจียง ฉู่ซินเยว่ลงจากรถม้าก็พบจวนขนาดใหญ่ ตระกูลเจียงเป็นตระกูลขุนนางเก่าแก่ แม้ไม่มีอำนาจในราชสำนักสักเท่าไหร่นัก แต่หากมองย้อนกลับไป พวกเขาเป็นตระกูลที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน คำว่าลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมืองสำหรับตระกูลเจียงนั้น นับว่าไม่เกินจริงเท่าไหร่นัก เจียงเว่ยหมิงยังนับว่าเป็นคุณชายจากบ้านสาม ถึงพวกเขามักจะทะเลาะเกลียดชังหน้ากัน แต่ในด้านงานราชการขุนนางนั้นกลับให้ความช่วยเหลือกันเป็นอย่างดี หากใครไปได้ไกลก็พากันสนับสนุน แตกต่างจากตระกูลฉู่ เบื้องหน้าดี แต่เบื้องหลังกลับแล้งน้ำใจอย่างยิ่ง “คุณหนูฉู่ทั้งสองเชิญตามข้าน้อยมาเจ้าค่ะ” สาวใช้ตระกูลเจียงกล่าว ฉู่ซินเยว่พยักหน้าทั้งที่ในใจนางก็อยากจะบอกว่าไม่ต้องบอกนางหรอก เรือนยายเฒ่าสารเลวนั่นทำไมนางจะจดจำไม่ได้กัน สะใภ้คนอื่นไม่ต้องมาทุกวัน แต่นางกลับต้องมาทุกวันให้ยายเฒ่านั่นคอยจิกด่าสารพัด จนกระทั่งบุตรชายนางได้ดีเป็นป่างเหยียน นางเฒ่าสารเลวถึงได้เริ่มทำดีกับนางขึ้นมาบ้าง “คารวะเจียงไท่ฮูหยิน เจียงฮูหยินเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่กล่าวอย่างมีมารยาท ฉู่หรูหยวนหรี่ตามองพี่สาวก่อนจะยอบกายคารวะตามธรรมเนียม …เหตุใดนางถึงรู้ว่าสตรีตรงหน้าคือไท่ฮูหยินกัน หากนี่เป็นการคาดเดา แต่พูดออกไป หากเกิดผิดพลาดเล่าจะทำอย่างไร “คุณหนูฉู่ทั้งสอง วันนี้มาถึงจวน ข้าไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้พวกเจ้าเลย เสียมารยาทแล้วจริงๆ" ไท่ฮูหยินกล่าว ฉู่ซินเยว่ยิ้มเล็กน้อย นางเฒ่าสารเลวทั้งสองนิสัยร้ายกาจพอกันทั้งคู่ นางอดทนกับนางเฒ่าพวกนี้มานานก็พอจะทราบถึงความชอบ ไท่ฮูหยินโปรดปรานภาพเขียนที่มาจากผืนผ้าไหม ฉู่ซินเยว่มีภาพนี้อยู่ภาพหนึ่ง นับว่าเป็นของล้ำค่า แต่ไม่ได้มากมายสำหรับนางเท่าไหร่นัก ของพวกนี้เก็บไว้นานเกินไปก็ผุพังไปตามกาลเวลา ขายไปก็อาจจะได้เงินบ้าง แต่ไม่สู้เอามาให้นางเฒ่าไท่ฮูหยินไม่ดีกว่าหรือ อีกชิ้นนางมอบสร้อยข้อมือประดับอัญมณีสีเหลืองอ่อน ฉู่ซินเยว่จำได้ดีว่าเจียงฮูหยินเติบโตมาไม่มีมารดาคอยอุ้มชู สิ่งของแทนใจที่นางมีเพียงอยากเดียวคือสร้อยคอประดับอัญมณีสีเหลืองของมารดาที่เป็นของสืบทอดกันมาตั้งแต่ในอดีต ทว่า… มันกลับถูกแย่งชิงและขายออกไป อัญมณีชิ้นนั้นถูกนำออกจากสร้อยมาทำเป็นสร้อยข้อมือ และคนที่ซื้อไปก็คือมารดาของนางนั่นเอง เจียงฮูหยินมาพบเห็นในภายหลังว่านางสวมสร้อยข้อมือที่มีอัญมณีของมารดานาง ทำให้เจียงฮูหยินผู้นี้จงเกลียดจงชังนางตั้งแต่ครั้งนั้น และให้คนมาขโมยของชิ้นนี้คืนกลับไป ฉู่ซินเยว่มารู้อีกทีก็เอาแต่โวยวาย จนกลายเป็นความบาดหมางไม่ลงรอยกันมาตลอดชีวิตในภายหลัง “วันนี้ผู้น้อยนำของขวัญมาขอบคุณฮูหยินทั้งสอง และฝากขอบคุณคุณชายเจียงที่ให้ความช่วยเหลือผู้น้อยในครั้งนั้นเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางมอบของขวัญให้นางเฒ่าทั้งสอง แต่ไม่มีอะไรให้เจียงเว่ยหมิง เพียงแต่มาขอบคุณเท่านั้น หากมอบของขวัญให้เจียงเว่ยหมิง มันคงจะชัดเจนเกินไปจนไม่เหมาะสม “จะเป็นอะไรไปเล่าคุณหนูฉู่ บุรุษย่อมไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นลำบากโดยไม่ช่วยเหลือ เรื่องเช่นนั้นนับว่าเป็นปกติของปุถุชน แต่ในเมื่อวันนี้เจ้ามาแล้วก็มานั่งคุยกันก่อนสิ" เจียงฮูหยินกล่าวอย่างเป็นมิตร ฉู่ซินเยว่ทราบดีว่านั่นเป็นเพียงคำพูดตามมารยาทเท่านั้น นางเฒ่าผู้นี้เคยอยากนั่งคุยกับใครเสียเมื่อไหร่ “วันนี้ผู้น้อยมาเพื่อขอบคุณคุณชายเจียงที่ให้ความช่วยเหลือผ่านไท่ฮูหยิน และฮูหยิน แต่ผู้น้อยคงต้องขอตัวก่อนเจ้าค่ะ ผู้น้อยยังต้องไปตระกูลกวนต่อ ขออภัยที่เสียมารยาทเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่กล่าวพลางทำสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผู้ใหญ่ทั้งสองพยักหน้าด้วยความเข้าใจ “เช่นนั้นก็ไปเถอะ เรื่องน้ำใจของเจ้า ตระกูลเจียงเราทราบดี ข้าจะบอกกล่าวกับหมิงเกอเอ๋อร์ให้เจ้าเอง" ไท่ฮูหยินกล่าว ฉู่ซินเยว่และฉู่หรูหยวนยอบกายคารวะก่อนจะจากไป ฉู่หรูหยวนเอาแต่มองตามพี่สาวที่แปลกประหลาดไป ฉู่ซินเยว่นิสัยเอาแต่ใจ ไม่ได้เฉลียวฉลาดช่างพูดขนาดนี้ เหตุใดกันถึงได้เป็นเช่นนี้ “ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพี่รองจะพูดเก่งขนาดนี้” “ก็แค่พูดตามมารยาทเท่านั้น” ฉู่ซินเยว่ตอบอย่างไม่ใส่ใจ เสี่ยวชิงนำพัดที่ติดมามอบให้แก่ฉู่ซินเยว่กับฉู่หรูหยวน ทั้งสองนั่งพัดกันไปมาเบาๆ บนรถม้าด้วยความร้อน ฉู่ซินเยว่มองออกไปนอกรถม้า ในใจของนางเต็มไปด้วยความอึดอัด นางยังคงคิดถึงแต่ทองที่นางอยากได้ และนางก็ยังคิดถึงเรื่องราวในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ฉู่ซินเยว่มาถึงจวนตระกูลกวนอีกครั้ง นางไม่ค่อยนึกอยากจะเข้าไปเสียเท่าไหร่ กวนอี้เผยในตอนนั้นคิดว่านางเป็นสตรีที่ยั่วยวนบุรุษ คิดแล้วก็น่าอับอายนัก เพราะปากนรกของเจียงเว่ยหมิงโดยแท้ นางถึงกลายเป็นตัวอะไรไปแล้วในสายตาผู้อื่น ขอแค่วันนี้ไม่ต้องพบเจอคุณชายกวนผู้นั้นก็คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีพอแล้ว “คารวะกวนฮูหยินเจ้าค่ะ” ฉู่ซินเยว่และฉู่หรูหยวนกล่าวอย่างพร้อมเพรียง มารยาทของคนทั้งคู่นั้นนับว่าดีเยี่ยม ท่วงท่าของฉู่ซินเยว่ดูค่อนข้างเป็นธรรมชาตินัก ไม่มีส่วนใดมากหรือน้อยเกินไป ท่าทางของนางดูไม่หวั่นเกรง ใบหน้ามีรอยยิ้มจางๆ ดูอย่างไรแล้วก็นับว่างดงามเหมาะสม ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ดีต่อผู้ที่ได้มอง ส่วนฉู่หรูหยวน แม้ว่านางจะมีกิริยาท่าทางที่ดี แต่นางดูแข็งเกร็ง ใบหน้าเดี๋ยวยิ้มเดี๋ยวไม่ยิ้ม ดูขาดเกินไปบ้าง แต่หากเทียบกับคุณหนูรุ่นราวคราวเดียวกัน นับว่าทำได้ดี แต่ฉู่ซินเยว่ผู้พี่นั้นให้ความแตกต่างมากจริงๆ “วันนั้นในงานไม่ได้พบกับเจ้า ไม่คิดว่าคุณหนูตระกูลฉู่จะมีรูปโฉมที่ดีกันทั้งสองคนขนาดนี้ เอาเถอะพวกเจ้านั่งลงคุยเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย” กวนฮูหยินกล่าว เรื่องในวันนั้น ในภายหลังนางจึงได้รู้ทั้งหมด กวนอี้เผยเล่าให้นางฟังทั้งหมดแล้ว คุณหนูฉู่ผู้นี้คงไม่ได้มีเจตนา นางคงจะป่วยจริงๆ สำนักแพทย์หลวนเหยา ท่านอาจารย์จื้อหยาง พวกเขาหรือจะโกหก “วันนั้นบุตรชายของข้ากล่าววาจาไม่เหมาะสมไป อย่างไรข้าก็ขออภัยแทนเขาด้วย ว่าแต่อาการป่วยดีขึ้นแล้วหรือไม่กัน” “หายดีแล้วเจ้าค่ะ ผู้น้อยไม่ระวังทำให้เจ็บป่วย แต่ก็ยังฝืนที่จะมางาน ต้องขออภัยกวนฮูหยินด้วยที่ทำให้ต้องวุ่นวาย” ฉู่ซินเยว่กล่าว กวนฮูหยินยิ้มเพียงยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ได้วุ่นวายถึงขนาดนั้น เพียงแค่ให้สาวใช้ช่วยกันหานางทั่วจวน ทั่วทุกห้อง จนกระทั่งบุตรชายของนางที่เดินมาบอกความจริงกับทุกคนจึงได้ทราบว่าคุณหนูฉู่อาจจะอยู่กับคุณชายเจียง น่าเสียดายคุณหนูน้อยตรงหน้า หากว่าไม่มีข่าวลือเรื่องเช่นนี้ ก็นับว่าเป็นสตรีที่น่าสนใจมากผู้หนึ่ง “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” กวนฮูหยินกล่าวพลางมองไปทางด้านหลัง ฉู่หรูหยวนก็นับว่ามีรูปโฉมงดงาม น่าเสียดายที่นางเป็นเพียงบุตรสาวอนุ ฉู่หรูหยวนเห็นสายตาของกวนฮูหยิน ทั้งยังเป็นสายตาที่แสดงถึงความเสียดาย นางเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายคิดเห็นเช่นไร ภายในใจก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ทำดีเพียงใดก็เป็นได้แค่บุตรอนุอยู่ดี หลังจากนั้นกวนฮูหยินก็พูดคุยอีกสักสองสามประโยค ก่อนจะปล่อยให้ฉู่ซินเยว่ กับฉู่หรูหยวนกลับออกมา ฉู่ซินเยว่เดินมาขึ้นรถม้าทันที ใบหน้าของนางแย้มยิ้มดีใจที่จะได้พักผ่อนเสียที “เสี่ยวชิงขากลับไปร้านเหมี่ยนเซี่ยวฟางที ข้าอยากทานบะหมี่” ฉู่ซินเยว่กล่าวเสี่ยวชิงรีบพยักหน้าทันที “ข้าอยากกลับจวนไม่ได้อยากกิน” “เจ้าก็กลับไปสิ แค่แวะส่งข้าที่ร้านบะหมี่ก็พอ” ฉู่ซินเยว่กล่าว แต่ท้ายที่สุดฉู่หรูหยวนก็ต้านทานกลิ่นหอมของน้ำแกงบะหมี่ไม่ไหว นางเดินลงมาจากรถม้าตามพี่สาว ในใจก็คิดว่าเป็นร้านใหญ่โต ไม่คิดว่าจะเป็นเพียงเพิงเล็กๆ เท่านั้น ฉู่ซินเยว่ไม่ได้เลือกร้านใหญ่โตอะไร เพราะนางชื่นชอบร้านนี้อย่างมาก “พี่รอง ท่านไม่กลัวผู้คนผ่านไปมาเห็นหรอกหรือ ทะ ท่านก็รู้ว่าสตรีอย่างพวกเรา” ฉู่หรูหยวนกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน ความจริงนางเป็นบุตรอนุไม่ควรพูดเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ดีแค่ไหนแล้วที่นางได้ออกมาข้างนอกแบบนี้ พี่รองมีสิทธิ์เข้าออกจวนโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาต แต่นางกลับต้องอาศัยอยู่แต่ภายในจวน มารดาก็เข้มงวดนัก “ช่างหัวคนพวกนั้นสิ หน้าก็อยู่บนหน้าข้า เหตุใดจะต้องสนใจด้วย หากเจ้ากลัวก็กลับไป” ฉู่ซินเยว่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ นางให้เสี่ยวชิงไปตระเวนซื้อของกินร้านนั้นที ร้านนี้ที ชีวิตก่อนอยู่อย่างเคร่งครัดในกฎระเบียบ ไม่เคยได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แม้นางไม่สะดวกเปิดเผยใบหน้านัก แต่ก็ได้เสี่ยวชิงหาซื้อของกินมาให้ ร้านนี้เป็นร้านที่นางชอบมากที่สุด แต่ทานได้ก็มีแต่เพียงบะหมี่แห้งเท่านั้น พอมีโอกาสได้ออกมาด้านนอก นางจึงฉวยช่วงเวลานี้ในการมาทานบะหมี่น้ำ ฉู่หรูหยวนแม้จะกลัวถูกตำหนิ แต่นางก็อยากทานบะหมี่เหมือนกัน นางจึงเดินตามพี่สาวเข้าไป ฉู่หรูหยวนเอาแต่ยืนไม่ยอมนั่ง “แล้วเจ้าจะยืนทำไม แล้วไม่สั่งล่ะว่าเจ้าอยากจะกินอะไร” ฉู่ซินเยว่กล่าวด้วยความหงุดหงิด สำหรับนางฉู่หรูหยวนน่ารำคาญสายตานัก “ก็ท่านไม่สั่ง ข้าจะนั่งร่วมโต๊ะกับท่านได้อย่างไร” ฉู่หรูหยวนกล่าว ตามธรรมเนียมก็เป็นเช่นนั้น ในจวนตระกูลฉู่ โต๊ะใหญ่ก็จะมีเพียงท่านพ่อ ว่านเหมยเฟิง ฉู่รั่วหลาน ฉู่เหรินเจี้ยน และนางเท่านั้น ส่วนโต๊ะเล็กก็จะมีแค่อนุอี้กับฉู่หรูหยวน แต่ทว่า… ในชีวิตเก่า ฉู่หรูหยวนเป็นอนุของสามีนาง ก็ไม่เห็นจะสนใจธรรมเนียมเช่นนี้เลย “ที่นี่ไม่ใช่จวนตระกูลฉู่ เจ้าอยากนั่งก็นั่ง ข้ามากับเจ้า ไม่นั่งกินกับเจ้า แล้วจะไปนั่งกินกับใคร ส่วนพวกเจ้าอยากกินอะไรก็สั่งเอาได้เลย ข้าจ่ายให้เอง" “ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณหนูรอง” เสียงของพวกสาวใช้และบ่าวรับใช้ชายที่ติดตามมาพากันร้องบอกด้วยรู้สึกขอบคุณ ฉู่ซินเยว่ยิ้มเล็กน้อย ชีวิตของนางที่ผ่านมา ทำให้นางมองทุกคนเป็นหนึ่งชีวิตที่รักตัวกลัวตาย และทุกคนก็มีคนที่รักรออยู่ ฉู่ซินเยว่จึงมีความเมตตามากกว่าเดิมนัก “ท่านช่างร่ำรวยนัก” “เจ้าจะกินเงียบๆ ไหม” ฉู่ซินเยว่ตำหนิ พอมองเช่นนี้ฉู่หรูหยวนก็เป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น คิดย้อนไปย้อนมา นางกับฉู่หรูหยวนในตอนนี้ก็ไม่ได้มีความแค้นกัน และจากความทรงจำเลือนรางในวัยเด็ก นางก็พอจะนึกออกอยู่บ้างว่านางชอบเล่นตุ๊กตากับฉู่หรูหยวนมาก แต่ภายหลังทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนไป ถ้าเช่นนั้นทุกอย่างเปลี่ยนไปเล่า… ความสัมพันธ์ของพวกนางคงไม่จบแบบนั้นสินะ พวกนางอาจจะยังเป็นพี่น้องที่กินข้าวด้วยกันแบบนี้ได้ ฉู่หรูหยวนที่เพิ่งเคยลิ้มรสบะหมี่ตรงหน้า นางกินอย่างมีความสุข ฉู่ซินเยว่สั่งหุนตุ้นเพิ่มให้ฉู่หรูหยวนลองทาน อีกฝ่ายทานจนหมด แม้ว่าจะรู้สึกอับอายอยู่บ้างที่นางกินเยอะไปหน่อย แต่ฉู่ซินเยว่ไม่เพียงไม่ตำหนิ กลับถามนางว่าอยากทานเพิ่มหรือไม่ การทานอาหารเป็นไปได้ด้วยดี ฉู่ซินเยว่ยังคงไม่ยอมกลับทั้งที่ฟ้าเริ่มจะมืดแล้ว ฉู่หรูหยวนไม่กล้าพูดอะไร เอาแต่เดินตามพี่สาว สายตาของนางมองไปโดยรอบด้วยความสนใจ “เจ้าชอบลูกเตะขนไก่หรือ” ฉู่ซินเยว่ถามด้วยความสงสัย ฉู่หรูหยวนพยักหน้าด้วยความเขินอาย นางออกจากจวนมาไม่ได้เตรียมเงินมาแม้แต่เฉียนเดียว ฉู่ซินเยว่เปิดถุงเงินของตนเองก่อนจะหยิบเงินออกมาให้ฉู่หรูหยวน “เอ้า… เจ้าอยากได้อะไรก็ซื้อเอา” “ขะ ข้า” “ไม่เป็นไรหรอก เงินเท่านี้เอง อยากได้อะไรก็รีบไปซื้อซะ จะได้กลับ” ฉู่ซินเยว่กล่าว นางแค่อยากมาซื้อขนมเท่านั้น แต่ท่าทางของฉู่หรูหยวนกลับตื่นเต้นทำให้นางอดสงสารไม่ได้ จึงได้มอบเงินให้น้องสาวไปเที่ยวเล่นในตลาด
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม