ในเช้าวันต่อมา ที่ระเบียงคอนโดสุดหรูของอคิน เสียงจิบกาแฟเบาๆ และสายลมอ่อนๆ พัดผ่านโต๊ะที่ชายหนุ่มสองคนนั่งอยู่
กฤต เพื่อนสนิทของอคิน ผู้มีบุคลิกผ่อนคลายและดูเป็นกันเองมากกว่าเพื่อนหน้านิ่งของเขา ส่ายหน้าเบาๆ พลางวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะ
“อคิน...” กฤตพูดขึ้น น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย “แกจะให้ฉันพูดอีกกี่รอบวะ ชอบเขาก็บอกไปตรงๆ สิวะ จะเล่นเกมทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
อคินที่กำลังนั่งไขว้ขาอยู่ตรงข้ามกับกฤต ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบอย่างใจเย็น ใบหน้าของเขายังคงนิ่งสงบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่แววตากลับแฝงไปด้วยความคิดมากมาย
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกอะไรทั้งนั้น” เขาตอบเรียบๆ แต่คำพูดนั้นกลับทำให้กฤตถอนหายใจหนัก
“ไอ้คนดื้อ...” กฤตบ่นพึมพำ ก่อนจะเอนหลังพิงเก้าอี้ “แกคิดว่าผู้หญิงเขาจะรู้อะไรจากการที่แกเอาแต่จ้อง กอด ดึงเขาไปมา แล้วไม่พูดอะไรสักคำเหรอ? ผู้หญิงเขาไม่ใช่นักอ่านใจนะเพื่อน!”
อคินหันมามองเพื่อนสนิทด้วยสายตาที่เย็นชา แต่ลึกลงไปมีความไม่มั่นคงซ่อนอยู่ “เธอไม่ต้องรู้อะไรทั้งนั้น ฉันทำให้เธออยู่ในชีวิตฉันได้ นั่นก็พอแล้ว”
กฤตหัวเราะในลำคอ แต่ไม่ได้ฟังดูสนุกสนาน “แกคิดว่าชีวิตจริงมันง่ายแบบนั้นเหรอ? ผู้หญิงเขาอยากได้ความชัดเจน ไม่ใช่ความเย็นชากับเกมที่แกเล่นอยู่”
“ฉันไม่เล่นเกม” อคินตอบทันที ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น “ฉันแค่ทำในสิ่งที่ต้องทำ”
“ทำในสิ่งที่ต้องทำ...” กฤตเลิกคิ้ว พลางหยิบแก้วกาแฟขึ้นมาอีกครั้ง “งั้นสิ่งที่แกคิดว่าต้องทำก็คือการลากผู้หญิงเขามากอด ล็อกเขาไว้ในชีวิตแก โดยไม่เคยพูดว่า ‘ฉันชอบเธอ’ งั้นเหรอ?”
คำพูดนั้นทำให้อคินเงียบไปชั่วครู่ เขาหันไปมองวิวเมืองที่ทอดยาวออกไปข้างหน้า ใบหน้าของนาราผุดขึ้นในความคิดของเขา ทั้งความดื้อรั้น ความท้าทาย และสายตาที่ไม่เคยยอมแพ้...
“ฉันไม่รู้ว่ามันจะช่วยอะไร ถ้าฉันพูดไป...” เขาพึมพำเบาๆ แต่พอให้กฤตได้ยิน
กฤตส่ายหน้าอีกครั้ง “ไอ้อคินเอ๊ย... บางทีคำพูดแค่คำเดียวอาจเปลี่ยนทุกอย่างก็ได้ หรือไม่แกก็ต้องเตรียมรับมือถ้าเขาเลือกจะเดินหนีไปจากแกจริงๆ”
“เธอไม่มีทางหนีไปได้” อคินพูดเสียงหนักแน่น แต่ในใจกลับรู้สึกถึงความไม่แน่นอนที่เริ่มเกาะกิน
กฤตหัวเราะออกมาอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก “เพื่อนเอ๊ย... แกมันโคตรบ้าเลย แต่เอาเถอะ ฉันจะรอดูว่าผู้หญิงเขาจะเข้าใจอะไรจากความเงียบของแกได้ไหม”
อคินไม่ได้ตอบ แต่ในสายตาของเขา ความเงียบงันนั้นกลับเต็มไปด้วยคำถามที่แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถตอบได้
เสียงลมพัดเบาๆ ที่ระเบียงคอนโดไม่ได้ช่วยทำให้บรรยากาศผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย อคินนั่งนิ่ง มองไปยังวิวเมืองเบื้องหน้า แต่ในใจของเขาเหมือนมีบางอย่างคุกรุ่น กฤตเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่ตรงข้ามสบถในใจพลางวางแก้วกาแฟลงเสียงดัง
“เฮ้ย อคิน!” กฤตเอ่ยเสียงเข้ม น้ำเสียงหงุดหงิดกว่าปกติ “แกจะเงียบอยู่ทำไมวะ! ฉันพูดกับแกตั้งนานแล้ว ชอบเขาก็บอกไปสิ!”
อคินเหลือบตามามองเพื่อนด้วยสายตาเย็นชา “ฉันไม่จำเป็นต้องพูดอะไร เธอรู้ดีอยู่แล้ว”
“รู้บ้าอะไร!” กฤตสวนกลับทันที เสียงดังจนเรียกความสนใจของเพื่อนให้หันมาจริงจัง “แกคิดว่าผู้หญิงเขาเป็นแม่หมออ่านใจได้หรือไง? ไอ้บ้าเอ๊ย! วันๆ เอาแต่ลากเขามากอด กระชากเขาไปไหนมาไหน แล้วคิดว่าเขาจะรู้ว่าแกชอบเขา?”
อคินยังคงนิ่ง สายตาคมของเขาจับจ้องไปที่แก้วกาแฟตรงหน้า ราวกับไม่สนใจคำพูดของกฤต แต่ความเงียบของเขากลับทำให้กฤตเดือดมากขึ้น
“โอเค งั้นฉันถามจริง ถ้าเขาไปเจอผู้ชายที่ดีกว่าแกล่ะ?” กฤตถามพลางเอนตัวไปข้างหน้า ดวงตาแฝงความจริงจัง “ผู้ชายที่พูดตรงๆ ว่าชอบเธอ ดูแลเธอโดยไม่ต้องเล่นเกมแบบแก...”
อคินหันมามองทันที แววตาที่เคยนิ่งสงบเปลี่ยนไปในพริบตา “ไม่มีใครดีกว่าฉัน” เขาพูดเสียงต่ำ น้ำเสียงเย็นชาแต่อยู่ในระดับที่แทงใจ
“ไอ้มั่นใจเกินไป...” กฤตหัวเราะเยาะ “งั้นเหรอ? แล้วถ้าเขาไปเจอผู้ชายที่ทำให้เขาหัวเราะแบบที่แกทำไม่ได้ล่ะ? คนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่ต้องมานั่งเดาว่าแกจะลากเขาไปไหนต่อ หรือจะทำอะไรบ้าๆ ใส่เขาอีก”
คำพูดนั้นเหมือนก้อนหินที่โยนลงไปในสระน้ำที่นิ่งสนิท อคินจ้องกฤตแน่น ริมฝีปากเม้มจนเป็นเส้นตรง
“เขาไม่มีวันไปไหนได้” อคินพูดชัดเจน ดวงตาเต็มไปด้วยความดุดันที่แฝงด้วยความหึงหวง
กฤตหัวเราะออกมาเสียงดัง “แกมันประมาทเกินไปแล้วเพื่อนเอ๊ย! คิดเหรอว่าเขาจะยอมอยู่กับแกทั้งที่ไม่รู้ว่าแกคิดยังไงกับเขา? แกกลัวอะไรนักหนา... กลัวพูดคำว่า ‘ฉันชอบเธอ’ หรือกลัวว่าเขาอาจจะไม่รู้สึกเหมือนแก?”
คำถามนั้นเหมือนเข็มที่แทงตรงเข้าสู่จุดอ่อนของอคิน เขาเม้มปากแน่นขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนแทบฟังไม่ออก
“ฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น”
กฤตส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่าย “เออ... ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น แต่ถ้าเขาไปมีแฟนล่ะ? แกจะทำยังไง? ไปลากเขากลับมาเหมือนที่แกชอบทำเหรอ? คิดว่าเขาจะยอมเหรอวะ?”
อคินลุกขึ้นยืนทันที แววตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “เธอไม่มีวันหนีไปจากฉัน ไม่มีวัน”
กฤตเอนตัวพิงเก้าอี้พลางถอนหายใจยาว “เอาเถอะ... ฉันพูดไปแกก็ไม่ฟังอยู่ดี แต่จำคำฉันไว้นะ ถ้าแกยังเป็นแบบนี้ วันหนึ่งเธอเดินหนีแกไปจริงๆ แกจะรู้ว่านรกมีจริง”
อคินไม่พูดอะไรอีก เขาเดินกลับเข้าไปในห้อง ปล่อยให้คำพูดสุดท้ายของกฤตดังก้องในหัว แต่ในใจของเขา... ความไม่มั่นคงที่เขาปฏิเสธมาตลอดเริ่มเผยตัวออกมาทีละน้อย.
ในห้องนอนกว้างขวางที่เต็มไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หรูและการจัดวางที่เรียบง่ายแต่มีระดับ อคินยืนอยู่หน้ากระจกสูงขนาดใหญ่ ดวงตาคมกริบที่สะท้อนกลับมาทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองดูแปลกไป
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นเสยผมอย่างหงุดหงิด พลางจ้องมองเงาสะท้อนของตัวเองราวกับมันกำลังท้าทายเขา
“ฉัน... ฉันชอบเธอ” เขาพึมพำออกมา เสียงต่ำทุ้มที่เคยเต็มไปด้วยความมั่นใจฟังดูไม่มั่นคงอย่างน่าประหลาด
เขาส่ายหัว ดวงตาวาววับด้วยความหงุดหงิด “ไม่ได้สิ ฟังดูเหมือนเด็กไม่มีสมอง” เขากัดฟัน พยายามตั้งหลักใหม่
“ฉันชอบเธอ” เขาพูดอีกครั้ง คราวนี้เสียงดังขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงพยายามจะมั่นคงขึ้น
แต่ทันทีที่คำพูดนั้นออกมา เขากลับหันหน้าหนีจากกระจกเหมือนรู้สึกอายตัวเอง “นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่วะ... บ้าไปแล้ว” เขาบ่นกับตัวเอง มือทั้งสองข้างเท้าสะเอว ร่างสูงใหญ่ยืนตรงหน้ากระจกราวกับกำลังฝึกซ้อมคำพูดที่เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องพูดกับใครมาก่อน
เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับกระจกอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึก “ฟังนะ นารา” เขาเริ่มพูด ราวกับเธอกำลังยืนอยู่ตรงหน้า “ฉันชอบเธอ... ฉันชอบเธอมานานแล้ว”
เขาหยุด หรี่ตามองตัวเองในกระจก ความรู้สึกไม่พอใจกับน้ำเสียงที่ไม่เหมือนตัวเองทำให้เขาเครียดมากขึ้น
“โธ่เว้ย!” เขาสบถ พลางเดินไปกลับในห้อง ร่างสูงใหญ่ที่เคยดูนิ่งสงบกลับเต็มไปด้วยความร้อนรนที่ไม่ใช่ตัวเขา
เขาหยุดเดิน หันกลับมาที่กระจกอีกครั้ง ก่อนจะจ้องมองตัวเองในเงาสะท้อน “ถ้าพูดไม่ได้... แล้วจะทำยังไงดีวะ” เขาพึมพำ แต่แววตากลับแสดงออกถึงความมุ่งมั่น
“ฉันไม่เคยแพ้ใคร... แล้วทำไมต้องมาแพ้กับเรื่องนี้” เขาพูดกับตัวเองราวกับกำลังท้าทาย
แต่ลึกๆ ในใจ เขารู้ว่า... การพูดคำง่ายๆ คำนี้กับเธอ—"ฉันชอบเธอ"—อาจจะเป็นสิ่งที่ยากที่สุดในชีวิตของเขา