6

3259 คำ
              “ถ้าทุกวันพระ พี่เจนจะกลายเป็นผีเฮี้ยน แล้วเฮี้ยนแบบไหนเหรอครับ ช่วยยกตัวอย่างได้หรือเปล่า?”               “….”               “เฮี้ยนหรือเสี้ยน?”               “พูดไม่เพราะ”               “อ้าว ก็จิ๊บอยากรู้นี่ครับ” หลังถูกคุณเจนตำหนิด้วยน้ำเสียงดุ ๆ เหตุเพราะจุ๊บจิ๊บพูดคำว่าเสี้ยนออกมาหน้าตาเฉย นั่นจึงทำให้จุ๊บจิ๊บได้แต่พึมพำเสียงแผ่วและไม่กล้าถามอะไรอีก เนื่องจากกลัวว่าจะถูกดุ            …แหละมั้ง               “แต่จะว่าไปแล้ว พี่เจนก็ดูเป็นผีที่มีเหตุผลอยู่นะครับ เหมือนอย่างมนุษย์ปกติเลยแต่แค่ไม่มีกายหยาบเฉย ๆ” จุ๊บจิ๊บพูดขึ้นอีกครั้ง พร้อมสบตากับผีผู้เป็นเจ้าของบ้านไปด้วย หลังในตอนนี้ที่เป็นช่วงเย็นของวัน จุ๊บจิ๊บกำลังนั่งพูดคุยกับคุณเจนที่ชั้นล่างของบ้าน เพื่อที่พวกเขาจะได้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้               โดยสาเหตุที่ทำให้คุณเจนชอบปรากฏตัวออกมาช่วงเย็นหรือตอนกลางคืนนั้น นั่นก็เป็นเพราะว่าวิญญาณเป็นของโปร่งแสง และถ้าหากวิญญาณอยากจะให้มนุษย์มองเห็นตัวเองในตอนกลางวัน ก็จะต้องใช้พลังงานมากเป็นพิเศษ เพื่อทำให้ตัวเองกลายเป็นร่างทึบ               ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มนุษย์มักจะเจอผีในตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน แล้วถ้ายิ่งเป็นผีเร่ร่อน มีพลังงานน้อย ก็จะยิ่งไม่สามารถใช้พลังงานอะไรได้เลย นอกจากต้องรอให้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปเท่านั้น               “จริง ๆ ก่อนที่จุ๊บจิ๊บจะย้ายเข้ามาในบ้านหลังนี้ แม่หมอของคุณนายเอื้องก็เคยเตือนอยู่นะครับว่าพี่เจนเป็นผีเฮี้ยนมาก เพราะงั้นจุ๊บจิ๊บก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี แต่ทำไมพอจุ๊บจิ๊บเข้ามาอยู่ในบ้านเป็นคืนแรก จุ๊บจิ๊บถึงไม่เห็นว่าพี่เจนจะทำอะไรกันเลยล่ะครับ?” จุ๊บจิ๊บถามขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากในตอนนี้ในหัวของเขามีแต่ความสงสัยอยู่เต็มไปหมด               “ก็ตอนที่จุ๊บจิ๊บเข้ามาในบ้าน จุ๊บจิ๊บบอกว่าเป็นเมียเจนไง เจนก็เลยไม่อยากแกล้งอะไรมากนัก”               “แค่บอกว่าเป็นเมียพี่เจน พี่เจนก็ไม่แกล้งแล้วเหรอครับ? ทำไมพี่เจนเชื่อคนง่ายจังแล้วพี่เจนไม่กลัวว่าจิ๊บจะโกหกเหรอ”               “ไม่หรอก เพราะตอนนั้นเจนได้ยินเสียงจุ๊บจิ๊บคุยกับแม่”               “อ๋อ แบบนี้นี่เอง” จุ๊บจิ๊บพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เพราะในวันนั้นเขาจำได้ว่าก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาในบ้านหลังนี้และแนะนำตัวกับคุณเจนว่าเป็นเมียของเจ้าตัว คุณนายเอื้องได้โทรเข้ามาหาเขาพอดี ซึ่งนั่นก็คงทำให้คุณเจนรู้ว่าจุ๊บจิ๊บเป็นคนของคุณแม่ตัวเองจริง ๆ               “อยากจะถามอะไรอีกไหม?” ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ กัน คุณเจนก็ถามขึ้น               “ทำไมเหรอครับ พี่เจนเริ่มรำคาญกันแล้วเหรอ”               “ไม่ได้รำคาญ แต่ถ้าจุ๊บจิ๊บอยากจะถามอะไรก็ถามมาตั้งแต่ตอนนี้เลย แล้วเจนก็จะตอบให้เสร็จ ๆ ไปตั้งแต่ตอนนี้เหมือนกัน”               “แล้วจิ๊บถามได้ทุกเรื่องเลยไหมครับ?”               “ถ้าอันไหนที่ส่วนตัวมากไป ก็ขอไม่ตอบนะ” เมื่อคุณเจนตอบกลับมาเช่นนั้น จุ๊บจิ๊บก็ได้นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะถามขึ้นอีก               “พี่เจนไม่อยากให้คุณแม่ขายบ้านหลังนี้เหรอ?”               “อืม ไม่อยากให้ขาย” คุณเจนตอบกลับมาในทันที แล้วเริ่มพูดต่อ “เพราะบ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังแรกที่เจนได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเจนเอง เจนรักมันมาก เจนไม่อยากให้แม่ขายมันไป”               “แต่พี่เจนตายไปแล้วนะครับ” จุ๊บจิ๊บพูดขึ้นทันที “พี่เจน…เอาไปด้วยไม่ได้นะ”               “ใช่ เจนเอาไปด้วยไม่ได้ เจนรู้ครับ แต่เจนก็ปล่อยวางไม่ได้จริง ๆ ซึ่งนี่มันก็คงเป็นอีกเหตุผลแหละมั้งที่เจนยังไปไหนไม่ได้”               “แล้วถ้าไม่อยากให้แม่ของตัวเองขาย ทำไมพี่เจนถึงไม่ยอมให้คนมาเช่าแทนล่ะครับ”               “ก็เขาไม่รักษาบ้าน”               “….” คราวนี้จุ๊บจิ๊บเป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง เมื่อภาพโพสต์อิตจากคุณเจน ตอนที่จุ๊บจิ๊บย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังนี้เป็นวันแรกได้ผุดขึ้นมาในหัวของเขาอีกครั้ง               “นี่พี่เจนคงเป็นคนรักษาความสะอาดมากเลยใช่ไหมครับ”               “ก็ประมาณหนึ่ง เจนไม่ชอบเห็นถ้วยจานถูกแช่ไว้ข้ามคืน”               “อ๋อ มิน่าล่ะ ทำไมวันนั้นพี่เจนถึงล้างจานให้เลย จิ๊บขอโทษครับ” จุ๊บจิ๊บพูดเสียงแผ่ว พลางระบายยิ้มแห้ง ๆ ออกมา เพราะอยากจะขอโทษขอโพยเรื่องในวันนั้น               “ไม่เป็นไรครับ เจนไม่ได้ว่าอะไร ก็แค่อยากให้รับรู้เอาไว้เฉย ๆ ว่าเจนไม่ชอบ” หลังได้ยินคุณเจนตอบกลับมาเช่นนั้น จุ๊บจิ๊บก็ได้แต่เลียริมฝีปากของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับนึกในใจว่าคุณเจนดูเป็นผีใจดี แต่ในบางครั้งอีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะเป็นผีดุ ๆ ซึ่งจุ๊บจิ๊บก็อธิบายไม่ค่อยถูกนัก แต่เขารู้สึกว่ามันมีรังสีความดุแผ่ออกมาจากตัวของคุณเจนจริง ๆ               “ว่าแต่จุ๊บจิ๊บเถอะ ทำไมถึงได้มารับงานของคุณแม่ล่ะ” คุณเจนเป็นฝ่ายถามกลับมาบ้าง               “เอ่อ…จิ๊บพูดมันได้เหรอครับ”               “พูดได้สิ ช่วยบอกเหตุผลมาหน่อยว่าทำไมถึงตกลงรับงานของคุณแม่ มันคงไม่ได้เป็นเพราะจุ๊บจิ๊บไม่กลัวผีหรอกใช่ไหม”               “ก็คุณนายเอื้องให้ค่าจ้างเยอะ”               “….”               “คือตอนนี้จิ๊บกำลังตกงานครับ แล้วถ้าได้เงินก้อนนี้มาใช้ระหว่างที่ตัวเองกำลังหางานก็น่าจะดี” จุ๊บจิ๊บบอกเหตุผลไปตามตรง “แล้วอีกอย่าง…. แม่หมอของคุณนายเอื้องก็บอกว่าดวงของเราสมพงศ์กันด้วย ถ้าสมมติจิ๊บถูกพี่เจนทำร้ายจริง ๆ ยังไงก็จะไม่ถึงตายแน่นอน แต่ก็อาจจะเจ็บหนักเท่านั้น”               เพราะรู้ว่าต่อให้ตัวเองจะเจอฤทธิ์ของคุณเจนหนักแค่ไหน จุ๊บจิ๊บก็จะไม่มีทางตายเด็ดขาด นั่นจึงทำให้เขาตัดสินใจยอมทำงานนี้ เพี่อแลกกับเงินค่าจ้างก้อนโต               “แล้วมั่นใจแค่ไหนว่าตัวเองจะไม่ตาย”               “อ้าว… นี่พี่เจนหมายความว่ายังไงครับ”               “เจนก็แค่สงสัยว่าจุ๊บจิ๊บเชื่อใจหมอดูขนาดนั้นเลยเหรอ”               “….”               “ชีวิตของตัวเองเชียวนะ แค่หมอดูบอกว่าไม่ตายแน่นอน จุ๊บจิ๊บก็เชื่อเลยเหรอ?”               “ก—ก็แม่หมอของคุณนายเอื้อง เขาทักแม่นตั้งหลายเรื่องอะ” จุ๊บจิ๊บเถียงกลับไป แต่ในขณะเดียวกันนั้นความเชื่อใจของเขาที่มีต่อแม่หมอของคุณนายเอื้องก็เริ่มถูกสั่นคลอนขึ้นมาเสียอย่างนั้น               “จุ๊บจิ๊บบอกว่าเจนดูเป็นผีเชื่อคนง่าย งั้นจุ๊บจิ๊บก็คงจะเป็นเหมือนกันแหละน่า”               “ก็แล้วแต่พี่เจนจะคิดก็แล้วกันครับ แต่ที่แน่ ๆ ในคืนวันพระที่จะถึงนี้”               “….”               “จุ๊บจิ๊บจะไม่ออกไปจากบ้านเด็ดขาด เรามาลองกันหน่อยไหมครับว่าพี่เจนจะเฮี้ยนแค่ไหน” จุ๊บจิ๊บเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น เพราะเรื่องนี้เขาได้ใช้เวลาคิดมาหลายชั่วโมงแล้ว คิดมาตั้งแต่ตอนที่ตื่นนอน เนื่องจากในหนึ่งเดือนมันจะมีวันพระทั้งหมดสี่วัน ซึ่งจุ๊บจิ๊บก็ไม่โอเคเหมือนกัน หากจะให้เขาหนีไปนอนที่อื่นเป็นเวลาสี่คืนตลอดทั้งหกเดือนนี้               “ก็ตามใจครับ เพราะเจนถือว่าเจนเตือนแล้วนะ”               “ครับ แต่ถ้ายังไงพี่เจนช่วยยกตัวอย่างให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเฮี้ยนยังไงบ้าง จิ๊บจะได้เตรียมตัวรับมือกับพี่ถูก” จุ๊บจิ๊บถามซ้ำคำถามเดิม               “พี่ก็อาจจะนั่งคุยกับจิ๊บแบบนี้แหละมั้ง” สิ้นเสียงของคุณเจน ใบหน้าหล่อเหลาของอีกฝ่ายก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่มีแต่แผลเหวอะหวะอีกครั้ง แถมยังหมุนคอแบบสามร้อยหกสิบองศาโชว์จุ๊บจิ๊บหนึ่งสเต็ปด้วย ทำเอาจุ๊บจิ๊บต้องรีบหลับตาลงทันที ก่อนที่เขาจะนึกในใจว่าผัวของตัวเองช่างประหลาดนัก                             “เจนว่าจิ๊บเปลี่ยนฟอนต์ใหม่เถอะ มันดูแปลก ๆ”               “นี่จิ๊บต้องเปลี่ยนเหรอครับ แต่จิ๊บว่าฟอนต์นี้มันก็สวยออกนะ จิ๊บชอบ”               “เจนรู้ว่าจิ๊บชอบ แต่ว่ามันไม่เข้ากันไง เพราะงั้นเปลี่ยนเถอะ… เชื่อเจน”               “แต่ว่า…”               “เฮ้อ จิ๊บเอามือออกจากเมาส์”               “พี่เจนจะทำอะไรครับ?”               “เจนบอกให้เอามือออกจากเมาส์”               “พี่เจนอะ!” เมื่อถูกคุณเจนพูดเสียงดุ พร้อมทำท่าจะยื่นมือมาแย่งเมาส์กัน จุ๊บจิ๊บก็เริ่มทำหน้างอทันที หลังในตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่ในที่มืด ๆ พร้อมด้วยโน้ตบุ๊กของตัวเอง เพื่อให้คุณเจนดูเรซูเม่ของเขา เพราะจุ๊บจิ๊บยังไม่ค่อยแน่ใจว่ามันโอเคแล้วหรือยัง               “ฟอนต์นี้สิ ค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย” เมื่อคุณเจนเลือกฟอนต์ได้แล้ว อีกฝ่ายก็พึมพำเสียงแผ่วแล้วว่าต่อ “ส่วนข้อมูลตรงนี้ดูเหมือนจะยังใช้ไม่ได้นะ นี่จิ๊บเคยไปสอบวัดระดับภาษามาบ้างหรือเปล่า?”               “เคยครับ แต่ว่าคะแนนสอบครั้งนั้นมันหมดอายุแล้ว”               “ถ้าอย่างนั้น…ก่อนที่จะไปยื่นบริษัทเจน จิ๊บก็ต้องไปสอบมาใหม่นะ แล้วเอาคะแนนมาใส่ตรงนี้”               “อ๋อ ได้ครับ แล้วนอกจากต้องไปสอบวัดระดับภาษามาใหม่ จิ๊บยังต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมอีกไหม?”               “ก็ถ้าจิ๊บมีเวลา จิ๊บก็ไปลงคอร์สเพิ่มเติมที่มีใบรับรองให้หลังจากจบคอร์สมาใส่ตรงนี้ก็แล้วกันนะ เพราะตรงนี้มันอาจจะได้คะแนนพิเศษอีก”               “โอเคครับ”               “ทำไมจิ๊บดูเชื่อฟังจัง” คุณเจนพูดขึ้นอีก หลังอีกฝ่ายได้ผละมือออกไปจากเมาส์แล้ว               “ก็พี่เจนเป็นถึงอดีตเจ้าของบริษัทที่จิ๊บจะไปยื่นสมัครงานเลยนะครับ จิ๊บก็ต้องเชื่อฟังสิ” จุ๊บจิ๊บตอบกลับไป พลางยื่นมือไปจับเมาส์อีกครั้ง เพื่อที่เขาจะได้จัดการกดบันทึกเรซูเม่อันล่าสุดที่คุณเจนเพิ่งปรับแก้ให้กัน               “ทีเรื่องอื่นไม่เห็นจะเชื่อฟังแบบนี้บ้างเลย”               “เรื่องไหนครับ เรื่องวันพระอะเหรอ”               “ใช่”               “อ้าว ก็จิ๊บอยากรู้นี่ครับว่าพี่เจนจะเฮี้ยนหนักขนาดไหน เผื่อว่าจิ๊บรับไหวไง แล้วถ้าจิ๊บรับไหวจิ๊บก็จะได้ไม่ต้องไปค้างที่อื่นในคืนวันพระไงครับ…ที่เป็นวันนี้น่ะ” จุ๊บจิ๊บเอ่ย ซึ่งในจังหวะเดียวกันนั้นบทสนทนาระหว่างเขากับคุณเจนก็ต้องถูกขัดไปเสียก่อน เมื่อคุณนายเอื้องโทรมาหา               “แม่พี่เจนโทรมา” จุ๊บจิ๊บพูด ก่อนที่เขาจะกดรับสายคุณนายเอื้องทันที โดยที่มีคุณเจนคอยนั่งฟังบทสนทนาเหล่านั้นด้วย               [ฮัลโหล จุ๊บจิ๊บตอนนี้เธออยู่ไหน]               “ตอนนี้เหรอครับ ผมอยู่บ้านครับ”               [แล้วว่างใช่ไหม?]               “ครับ ตอนนี้ผมว่าง”               [ฉันเข้ามาทำธุระที่กรุงเทพพอดี งั้นเรานัดเจอกันหน่อยไหม พอดีฉันอยากถามเรื่องลูกชายของฉันน่ะ]               “อ๋อ ได้ครับ ว่าแต่คุณนายอ—เอ่อว่าแต่คุณแม่อยากเจอที่ไหนเหรอครับ หรือว่าจะมาเจอกันที่บ้านของคุณเจนดี?” จุ๊บจิ๊บลองเสนอ เนื่องจากเขาอยากให้คุณเจนได้เจอคุณแม่ของตัวเองบ้าง               [ไม่เอา] คุณนายเอื้องรีบปฏิเสธทันที แล้วว่าต่อ [เดี๋ยวเราเจอกันที่ร้านยูซุก็แล้วกัน อยู่แถวบ้านตาเจนนั่นแหละ]               “ได้ครับ เราเจอกันที่นั่นก็ได้”               [โอเค อีกสักหนึ่งชั่วโมง ถ้าเธอถึงก่อนก็โทรบอกฉันก็แล้วกันนะ]               “ครับ สวัสดีครับ” เมื่อวางสายจากคุณนายเอื้องเรียบร้อยแล้ว จุ๊บจิ๊บก็หันไปมองคุณเจนเล็กน้อย ซึ่งในตอนนี้อีกฝ่ายก็กำลังนั่งนิ่งไป คล้ายกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่               “พี่เจนกำลังคิดอะไรเหรอครับ?” จุ๊บจิ๊บถาม               “เจนกำลังคิดว่าทำไมแม่ถึงเรียกจิ๊บออกไปหา”               “อ๋อ เธออาจจะเรียกออกไปสอบถามเรื่องของพี่เจนก็ได้ครับ” จุ๊บจิ๊บพูดพร้อมระบายยิ้มออกมาจาง ๆ หลังในตอนแรกเขานึกว่าคุณเจนจะคิดถึงคุณแม่ของตัวเองมาก จนต้องนิ่งไป               “แล้วทำไมถึงถาม”               “อ้าว ก็เธออยากรู้นี่ครับว่าพี่เจนไปที่ชอบ ๆ แล้วหรือยัง” จุ๊บจิ๊บตอบแล้วจัดการยกโน้ตบุ๊กขึ้น เตรียมจะนำมันไปเก็บไว้ และแต่งตัวเพื่อออกไปพบกับคุณนายเอื้องต่อ                             “เธอนอนที่บ้านหลังนั้นได้เกือบอาทิตย์แล้ว เพราะงั้นเธอเคยเจอตาเจนบ้างหรือยัง?”               “ครับ ผมเจอเขาแล้วครับ” ช่วงบ่ายของวัน ภายในร้านอาหารญี่ปุ่นแถวบ้านของคุณเจน ระหว่างที่กำลังนั่งรออาหารกันอยู่นั้น คุณนายเอื้องก็เริ่มเข้าประเด็นทันที ซึ่งจุ๊บจิ๊บเองก็ตอบเธอไปอย่างไม่อ้อมค้อมเช่นกัน               “แล้ว…สภาพเขาเป็นยังไงบ้าง เป็นสภาพตอนที่ประสบอุบัติเหตุหรือเปล่า?” คุณนายเอื้องถามต่อ               “ถ้าคุยปกติ เขาก็เหมือนคนทั่วไปนะครับ แต่ถ้าเขาอยากจะแกล้งใครสักคน…ก็มาสภาพนั้นเลย” จุ๊บจิ๊บตอบ พลางยกชาเขียวขึ้นดื่ม ซึ่งพอเขาเห็นว่าคุณนายเอื้องมีท่าทีกลัดกลุ้มอย่างเห็นได้ชัด เขาก็ได้ถามต่อ “เอ่อ…คุณแม่โอเคนะครับ?”               “โอเค ฉันโอเค”               “….”               “แต่แค่ฉันไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ดี ฉันดีใจนะที่เขามาหาเธอแบบที่ไม่ได้เป็นสภาพประสบอุบัติเหตุ แต่ฉันก็เสียใจที่เขายังไม่ไปไหน” ว่าจบ คุณนายเอื้องก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง แล้วถามความเห็นจากจุ๊บจิ๊บต่อ “เธอคิดว่ามันเป็นเพราะสาเหตุอะไรกัน ตาเจนถึงไม่ยอมไปไหนสักที”               “มันก็มีหลายเรื่องครับ หนึ่งในนั้นคือเขาเป็นห่วงคุณแม่”               “….”               “ผมไม่รู้ว่าคุณแม่จะเชื่อผมไหมนะครับ แต่เขาบอกผมว่าอย่างนั้น เขาเป็นห่วงแม่ หวงบ้านแล้วก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นความลับ”               “ความลับ?”               “ใช่ครับ ความลับที่เขายังไม่บอกผม เพราะยังไม่เชื่อใจกันเท่าไร”               “….” พอจุ๊บจิ๊บตอบกลับไปเช่นนั้น คุณนายเอื้องก็เริ่มขมวดคิ้วเป็นปมทันที ก่อนที่เธอจะพึมพำต่อ “ความลับอะไรกันนะ”               “เราก็คงต้องให้เขาเป็นคนบอกเองแหละครับ และพอเขาบอกมาแล้ว เราก็ต้องจัดการให้เขาต่อ”               “แล้วเขาจะไปเกิดเลยหรือเปล่า?”               “….”               “พูดตรง ๆ เลยนะจุ๊บจิ๊บ ในเมื่อเวลามันย้อนกลับมาไม่ได้แล้ว เขากลับมาหาฉันไม่ได้แล้ว… ฉันก็อยากให้เขาได้หลุดพ้นจากโลกทางนี้นะ เพราะมันคงเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันพอจะให้ตาเจนได้ในฐานะแม่”               “ผมเข้าใจคุณแม่นะครับ แต่ของแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับเจ้าตัวด้วย เพราะถ้าคุณเจนไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมเลิกห่วงคุณแม่ ต่อให้เราสะสางเรื่องนั้นของเขาได้แล้วเขาก็คงจะไม่ไปไหนหรอก” จุ๊บจิ๊บเอ่ย ซึ่งเขาก็เข้าใจความรู้สึกของคุณนายเอื้องดี เนื่องจากจุ๊บจิ๊บเองก็สูญเสียคุณพ่อไปตั้งแต่ยังเด็กเหมือนกัน               “แล้วนี่เธอมองเห็นวิญญาณได้เหรอ” คุณนายเอื้องถามต่อ               “ไม่นะครับ ผมมองเห็นแค่คุณเจนเท่านั้น เวลาที่เขาอยากปรากฏตัวให้ผมเห็นน่ะ”               “อ๋อ แบบนี้นี่เอง” คุณนายเอื้องพยักหน้ารับแล้วถามต่อ “แต่ว่าเธอไม่ได้มีปัญหาอะไรกับตาเจนใช่ไหม เขาเคยทำร้ายเธอหรือเปล่า”               “ไม่ครับ เขาไม่เคยทำร้ายผม เพราะงั้นสบายใจเถอะครับ ลูกชายของคุณแม่นิสัยดีกับผมมากเลย” จุ๊บจิ๊บตอบ โดยเขาก็ไม่ได้นึกอยากจะเอาใจคุณนายเอื้องในฐานะผู้ว่าจ้างแต่อย่างใด แต่เขารู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ คุณเจนถือว่าเป็นผีที่นิสัยดีมาก แม้ว่าในบางครั้งอีกฝ่ายจะดูน่ากลัวบ้างก็เถอะ               “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีแล้วล่ะ เพราะฉันก็กลัวว่าเธอจะยกเลิกสัญญาเหมือนกัน”               “แล้วนี่คุณแม่อยากถามอะไรเกี่ยวกับลูกชายอีกไหมครับ เผื่อผมจะตอบได้” จุ๊บจิ๊บถาม               “ไม่มีแล้วล่ะ เพราะฉันก็แค่อยากรู้เฉย ๆ ว่าเขาไปหรือยัง แต่เอ๊ะ…งั้นก็แสดงว่าเรื่องที่เขายังไปไหนไม่ได้ เพราะไม่ได้แต่งงานมันก็ไม่เกี่ยวน่ะสิ”               “อ้อ! เรื่องนี้คุณเจนก็พูดนะครับว่ามันก็มีส่วนเหมือนกัน เพราะงั้นคุณแม่มาถูกทางแล้วครับ” จุ๊บจิ๊บรีบตอบทันที เนื่องจากเขากลัวว่าจะถูกคุณนายเอื้องเลิกจ้างกลางคัน               “ชัวร์นะ?”               “ชัวร์สิครับ เรื่องนี้ผมถามเขาตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เขายอมออกมาเจอเลย เพราะผมเองก็อยากรีบปิดจ็อบนี้เหมือนกัน” จุ๊บจิ๊บว่า พลางคีบปลาดิบเข้าปากไปด้วย               หลังจากที่ทานอาหารกับคุณนายเอื้องเสร็จ จุ๊บจิ๊บก็เดินทางกลับมาที่บ้านทันที เสียงของนาฬิกาที่ถูกแขวนไว้ที่ข้างผนังก็ดังขึ้นโดยพลัน            เพื่อบอกว่าตอนนี้มันเป็นเวลาหกโมงเย็นแล้ว…               “อุ๊ย! หกโมงเย็นแล้วนี่นา” เมื่อยืนมองหน้าปัดนาฬิกาอยู่ครู่หนึ่ง จุ๊บจิ๊บก็พึมพำออกมาเบา ๆ ก่อนที่เขาจะเดินตรงไปยังตู้เย็น เพื่อนำเอาดอกไม้สดไปไหว้ตรงหิ้งพระ แต่ทว่าในจังหวะที่เขากำลังหมุนตัวกลับออกมาจากตู้เย็นนั้น จุ๊บจิ๊บก็ต้องชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเขาเห็นคุณเจนกำลังยืนมองกันตรงบันได               ด้วยสายตาที่ต่างไปจากเดิม               “เอาว่ะ… พอถึงเวลาปุ๊บก็มีเปลี่ยนทรงผมด้วย” จุ๊บจิ๊บเอ่ยทั้งรอยยิ้มและปราศจากความเกรงกลัว เนื่องจากในตอนนี้เขากำลังตื่นตาตื่นใจกับคุณเจนในบทบาทผีเฮี้ยนมากกว่า ซึ่งเพียงแค่จุ๊บจิ๊บถูกคุณเจนกวักมือเรียกให้ขึ้นไปหา จุ๊บจิ๊บก็ถึงกับยิ้มร่าแล้ววางดอกไม้ไหว้พระไว้ตรงเคาน์เตอร์ครัว เพื่อวิ่งขึ้นบันไดไปหาผีเจ้าของบ้าน  
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม