คิริวเดินลงมาจากตึกอย่างมั่นคง สายตาคมกริบกวาดมองไปรอบบริเวณ ก่อนจะตรงไปยังรถที่เดย์กับไนท์ บอดี้การ์ดคู่ใจ เตรียมไว้ให้เรียบร้อย
เขาเปิดประตูและก้าวขึ้นรถอย่างสง่างามตามแบบคนที่เกิดมาเพื่ออำนาจ เดย์นั่งประกบอยู่ข้าง ๆ ด้านหลัง ส่วนไนท์รับหน้าที่นั่งคู่คนขับ เตรียมพร้อมเสมอหากเกิดเหตุไม่คาดคิด
จุดหมายปลายทางของพวกเขาคือ “บ้าน”
บ้าน…ที่สำหรับคิริวมันคือสถานที่เดียวในโลกที่เขาเรียกแบบนั้นได้เต็มปาก แต่สำหรับคนอื่นแล้ว มันคือคฤหาสน์หลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินหรู
มีรั้วสูงและระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา และในระแวกนั้น มีเพียงคฤหาสน์ของพ่อเขาเท่านั้นที่ตั้งอยู่เด่นอย่างผู้ครองอำนาจเหนือทุกสิ่ง
รถยุโรปสีดำเงาวับแล่นเข้าสู่ถนนส่วนตัวที่ทอดยาวราวกับไม่มีที่สิ้นสุด สองข้างทางเรียงรายด้วยต้นไม้สูงใหญ่ที่ถูกตกแต่งอย่างประณีต แสงไฟสีขาวนวลจากโคมทางเดินสะท้อนเงาให้ดูหรูหราและเย็นเยียบในเวลาเดียวกัน
เมื่อรถเคลื่อนผ่านประตูเหล็กบานใหญ่ที่สลักตราประจำตระกูล “อัศวเวทย์” ลงไปตรงกลาง เสียงเครื่องยนต์ที่ดังต่ำ ๆ ก็หยุดลงตรงลานหน้าคฤหาสน์
คิริวเปิดประตูลงจากรถอย่างนิ่งสง่า ลมเย็นจากสวนด้านข้างพัดเอื่อยผ่านสูทราคาแพงที่เขาสวมอยู่
ดวงตาคมมองตัวอาคารสามชั้นหลังใหญ่ตรงหน้า ที่ที่เขาเติบโตมา และที่ที่เต็มไปด้วยทั้งความทรงจำ…และคำสั่ง
“เดี๋ยวผมรออยู่ที่แถวนี้นะครับ” เดย์พูดขึ้น น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความห่วง
ไนท์เพียงพยักหน้า มองไปรอบบริเวณอย่างระแวดระวังตามนิสัยบอดี้การ์ด
คิริวพยักหน้ารับ ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนทีละขั้น เสียงรองเท้ากระทบพื้นก้องสะท้อนในความเงียบของค่ำคืน
เมื่อประตูบานใหญ่ถูกเปิดออก กลิ่นหอมจาง ๆ ของไม้จันทน์ก็ลอยมากระทบจมูก บ่งบอกถึงความพิถีพิถันของบ้านหลังนี้ทุกตารางนิ้ว
“คุณคิริว กลับมาแล้วเหรอคะ” เสียงของแม่บ้านสูงวัยเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็ก
คิริวเพียงพยักหน้าบาง ๆ “พ่ออยู่ในห้องทำงานเหรอครับ?”
“ค่ะ ท่านรออยู่ข้างใน”
คำตอบนั้นทำให้แววตาของคิริวเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย ก่อนเขาจะสูดลมหายใจลึก แล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องทำงานใหญ่ที่อยู่สุดโถง สถานที่ที่เขาทั้งเคารพและเกลียดในเวลาเดียวกัน…
เสียงเคาะประตู “ก๊อก ก๊อก ก๊อก” ดังขึ้นเบา ๆ ก่อนที่คิริวจะผลักประตูห้องทำงานของพ่อเข้าไป
กลิ่นยาสูบอ่อน ๆ และกลิ่นไม้โอ๊กเก่าผสมกันในอากาศ เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มสะท้อนแสงไฟจากโคมระย้าเหนือศีรษะ ทุกอย่างในห้องนี้เต็มไปด้วยความหรูหราและอำนาจ เหมือนเจ้าของห้อง
ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานใหญ่เงยหน้าขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงประตูเปิด แววตาคมเฉียบของเขาไม่ต่างจากคิริวในตอนนี้ เพียงแต่เยือกเย็นกว่า…และเย็นจนแทบไม่มีความรู้สึกใดหลงเหลืออยู่
“กลับมาแล้วเหรอ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ แต่มีแรงกดดันบางอย่างแฝงอยู่
“ครับ” คิริวตอบสั้น ๆ เดินเข้าไปจนถึงหน้าตู้หนังสือ ก่อนจะหยุดยืนตรง ไม่พูดอะไรอีก
“ได้ยินมาว่าช่วงนี้บริษัทลูกในญี่ปุ่นเริ่มมีปัญหา” พ่อพูดขึ้นโดยไม่เงยหน้าจากแฟ้มงานในมือ “ฉันไม่ต้องการให้ชื่อของตระกูล ‘อัศวเวทย์’ ถูกพูดถึงในทางไม่ดี เข้าใจไหม”
“ครับ ผมจะจัดการให้เรียบร้อย” น้ำเสียงของคิริวเรียบเย็นแต่มั่นคง
พ่อเงยหน้าขึ้นช้า ๆ สายตาคมเฉียบจ้องลูกชายตรงหน้าอย่างพินิจ “แกพูดแบบนี้ทุกครั้ง…แต่ฉันไม่ต้องการคำสัญญา ฉันต้องการผลลัพธ์”
คิริวเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนตอบกลับอย่างสุภาพแต่เฉียบ “ผมเข้าใจดีครับ ผมไม่เคยทำให้พ่อต้องเสียชื่อ”
บรรยากาศในห้องเงียบลงทันที เหลือเพียงเสียงนาฬิกาที่เดินเป็นจังหวะช้า ๆ ราวกับจงใจตอกย้ำความตึงเครียด
ในดวงตาของคิริวมีทั้งความเคารพและแรงต่อต้านที่แฝงอยู่ลึก ๆ เขารู้ดี…ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จแค่ไหน เขาก็ยังคงเป็นเพียง “ลูกชายของอัศวเวทย์” ไม่ใช่ตัวของเขาเอง
“คืนนี้มีงานประมูลเพชรของคุณวนิดา ไปแทนฉันด้วย” พ่อพูดขึ้นเสียงเรียบ “แล้วอย่าทำให้ฉันผิดหวัง”
“ครับ”
คำตอบสั้น ๆ ถูกกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะทำได้ ก่อนที่คิริวจะค้อมศีรษะเล็กน้อยแล้วหันหลังออกจากห้องไป
เมื่อประตูปิดลง เสียงถอนหายใจแผ่วเบาดังขึ้นจากริมฝีปากของเขา เบาเสียจนแทบกลืนหายไปกับความเงียบของโถงหินอ่อน
คืนนี้…
จะเป็นอีกคืนที่เขาต้องสวมหน้ากากของคำว่า “ลูกชายที่สมบูรณ์แบบ” อีกครั้ง
หลังจากออกจากห้องทำงานของพ่อ คิริวเดินกลับขึ้นไปยังห้องพักส่วนตัวที่อยู่ชั้นบนสุดของคฤหาสน์
ห้องของเขาตกแต่งด้วยโทนเข้มเรียบหรู ผนังสีเทาเข้ม ผสมกลิ่นหนังแท้และกลิ่นน้ำหอมผู้ชายจาง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ เงาสะท้อนจากโคมไฟคริสตัลบนเพดานกระทบกับพื้นไม้ขัดมันอย่างเงียบสงบ
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงเคาะประตูเบา ๆ ก็ดังขึ้น
“เข้ามาได้”
เสียงทุ้มต่ำของคิริวเอ่ยขึ้นเรียบ ๆ
แม่บ้านสูงวัยที่รับใช้บ้านนี้มานานเปิดประตูเข้ามาอย่างระมัดระวัง เธอถือชุดสูทสีดำสนิทในถุงคลุมผ้าอย่างดี ก่อนจะเดินเข้ามาวางลงบนเตียงอย่างนอบน้อม
“คุณคิริว ชุดสำหรับคืนนี้พร้อมแล้วค่ะ เสื้อเชิ้ตผ้าไหมจากอิตาลี กับเนคไทที่คุณพ่อเลือกให้ค่ะ”
คิริวพยักหน้ารับเบา ๆ “ขอบคุณครับ ป้าลงไปพักได้เลย”
น้ำเสียงเรียบ สุภาพ แต่ฟังดูห่างเหินตามแบบของเขา
แม่บ้านก้มหัวเล็กน้อยก่อนถอยออกไปอย่างเงียบ ๆ ปล่อยให้ความสงัดเข้าปกคลุมห้องอีกครั้ง
คิริวเปิดถุงผ้าออก ชุดสูทสีดำสนิทถูกรีดอย่างประณีตจนไม่เหลือรอยยับแม้แต่นิด เขาค่อย ๆ ถอดเสื้อเชิ้ตเดิมออก เผยร่างสูงเพรียบที่เต็มไปด้วยความมั่นใจจากการดูแลตนเองอย่างเข้มงวด
เสื้อเชิ้ตผ้าไหมสีขาวถูกรูดขึ้นตามลำแขน กลัดกระดุมทีละเม็ดอย่างใจเย็น สาบผ้าแนบเรียบกับอกกว้างอย่างพอดี สุดท้ายเขาสวมสูทเข้ากับรูปร่างได้อย่างลงตัว ราวกับทุกตะเข็บถูกตัดเย็บเพื่อเขาเพียงคนเดียว
คิริวส่องกระจก ปรับเนคไทให้ตรง ลมหายใจของเขานิ่งเรียบก่อนจะพูดกับตัวเองเบา ๆ
“ถึงเวลาทำหน้าที่แล้ว…”
แววตาในกระจกสะท้อนชายหนุ่มที่สงบแต่เต็มไปด้วยพลังและแรงกดดัน ผู้ชายที่ไม่อาจแสดงความอ่อนแอออกมาได้เลย แม้แต่วินาทีเดียว
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสียงของเดย์จากด้านนอก
“คุณคิริว รถพร้อมแล้วครับ”
คิริวขยับข้อมือดูนาฬิกา ก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบ
“อืม… กำลังลงไป”
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือกับแหวนเงินวงเล็กที่สวมอยู่ประจำขึ้นมาสวม แล้วเตรียมเดินออกจากห้องด้วยท่วงท่ามั่นคง สายตาเฉียบเย็น พร้อมแล้วสำหรับค่ำคืนแห่งเกมประมูล ที่ไม่มีใครรู้ว่า…จะจบลงแบบไหน
ทว่า
เสียงเคาะประตูเบา ๆ ดังขึ้นอีกครั้ง
“คุณคิริวคะ คุณผู้หญิงให้มาตามค่ะ บอกให้ลงไปทานของว่างก่อนออกงานค่ะ” เสียงแม่บ้านเอ่ยเรียบสุภาพ
คิริวเหลือบมองกระจกเงาบานใหญ่ตรงหน้า เขายกมือจัดปกสูทให้เข้าทรงอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าเบา ๆ
“อืม ผมกำลังลงไป”