เขาก้าวออกจากห้อง กลิ่นน้ำหอมจาง ๆ จากเนกไทผสมกับกลิ่นเฟอร์นิเจอร์ไม้หรูโชยอยู่ทั่วโถงบันไดหินอ่อน เสียงรองเท้าหนังดัง “ตึก… ตึก…” ก้องไปทั่วบ้าน
เมื่อเดินลงมาถึงชั้นล่าง เขาเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงห้องรับแขก ชุดเดรสผ้าไหมสีงาช้างเรียบหรู ผมเกล้ามวยอย่างประณีต ใบหน้านั้นยังคงสวยสง่าแม้กาลเวลาจะผ่านไปหลายปี
“แม่” คิริวเรียกเบา ๆ
คุณพัชนีเงยหน้าขึ้นยิ้มบาง แต่แววตานั้นแฝงด้วยความเย็นเฉียบที่คิริวคุ้นดี
“ลูกจะไปงานแล้วเหรอ” น้ำเสียงเธอเรียบ ทว่ามีน้ำหนักเหมือนกำลังชั่งใจบางอย่าง
“ครับ แต่ก่อนออก ผมอยากคุยเรื่องบางอย่างกับแม่”
คุณพัชนีวางถ้วยชาลงบนจานรองอย่างช้า ๆ เสียงกระทบกันเบาแผ่วแต่กลับชัดเจนในความเงียบของห้องรับแขก
รอยยิ้มบางคลี่ขึ้นบนริมฝีปากของเธอ ทว่ามันไม่ได้แตะต้องแววตาแม้เพียงนิดเดียว
“เรื่องธุรกิจ… หรือเรื่องที่แม่กำลังหาผู้หญิงให้คิริวกันละ?”
น้ำเสียงเรียบเย็นนั้นทำให้บรรยากาศในห้องแข็งตึงขึ้นทันที ราวกับอุณหภูมิลดลงหลายองศา
เดย์ที่ยืนอยู่ข้างหลังเหลือบมองหน้าไนท์แวบหนึ่ง ทั้งคู่ไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย
พวกเขารู้ดีว่า… เมื่อคุณพัชนีเริ่มต้นบทสนทนาแบบนี้ มันไม่ใช่แค่คำพูดเล่น ๆ แต่เป็น “เกม” ที่มีเดิมพันเป็นอำนาจในตระกูล
คิริวขยับปลายนิ้วเบา ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผู้เป็นแม่โดยไม่หลบ
รอยยิ้มบางเฉียบผุดขึ้นบนมุมปากคิริว รอยยิ้มที่ทั้งเย็นชาและท้าทายในเวลาเดียวกัน
“แม่น่าจะรู้คำตอบของผมอยู่แล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ แต่สายตาคมกริบจับจ้องไปที่แม่
คุณพัชนีเอนตัวพิงพนักเก้าอี้อย่างใจเย็น ยกถ้วยชาขึ้นจิบเล็กน้อยก่อนวางลงอย่างจงใจ
“ก็เราไม่ยอมมีแฟนสักทีนี่ รู้ใช่ไหมว่าถ้าพ่อแต่งตั้งให้คิริวเป็นคนควบคุมตระกูลอัศวเวทย์…
เท่ากับว่าลูกจะได้เป็นใหญ่ แต่หากไม่มีคู่ควง คนอื่นจะมองยังไง แม่ก็แค่ทำหน้าที่ของแม่… โดยการหาผู้หญิงให้คิริวต้องแต่งงานด้วย”
คิริวเม้มริมฝีปาก แววตาไม่เปลี่ยนสี
“ผมมีทางเลือกอื่นอีกไหมครับ”
คุณพัชนีพยักหน้าอย่างใจเย็น
“ทางเลือกก็มี… แต่ถ้าลูกอยากให้แม่สบายใจ ลองหาแฟนด้วยตัวเองสิ เอาคนที่ลูกรักและสามารถฝากชีวิตไว้ได้ ไม่ใช่ไปจ้างใครก็ไม่รู้มาอ้างว่าเป็นแฟน”
“ถ้าคิริวหาคู่ได้ แม่ก็จะยกเลิกข้อตกลงกับหนูอิงอรนะ ตอนนี้แม่ยังไม่ได้คุยกันจริงจังหรอก แค่เกริ่น ๆ ไว้เฉย ๆ ว่าลูกชายแม่ยังหาคู่ควงไม่ได้ คุณไพลิน แม่ของหนูอิงอรเลยเสนอความคิดนี้มา”
“ครับ… ผมจะหามาให้ได้ คนที่ผมเลือกด้วยหัวใจของผมเอง”
เขาพูดเสียงเรียบ แต่แฝงความมั่นคงแน่วแน่
“ภายในปีนี้!”
คุณพัชนีตอกย้ำด้วยน้ำเสียงเข้ม ราวกับทดสอบความมุ่งมั่นของเขา
คิริวนั่งนิ่ง สายตาเย็นเฉียบแต่เต็มไปด้วยแรงอธิษฐาน การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเกมครอบครัว แต่เป็นเรื่องของหัวใจและอำนาจไปพร้อมกัน
คุณพัชนีเหลือบมองนาฬิกาที่ข้อมือ
“อุ้ย! ตายจริง… คุยกันเพลินไปหน่อยนะคิริว”
เธอหัวเราะเบา ๆ ก่อนเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริงปนชวนขบขัน
“ลูกต้องรีบไปงานคุณวนิดาแล้วล่ะ เดี๋ยวจะสายเอา อย่าลืมประมูลสร้อยเพชรสวย ๆ มาให้แม่ด้วยละ”
คิริวยกมุมปากขึ้นเพียงเล็กน้อย สายตายังคงเย็นเรียบ แต่ในใจรับรู้ถึงแรงกดดันเบา ๆ ที่แม่ฝากมาให้ ทั้งเรื่องธุรกิจและความสัมพันธ์ส่วนตัว
คิริวพยักหน้าเพียงเล็กน้อย ก่อนหันหลังเดินไปยังประตูใหญ่ของคฤหาสน์
เสียงรองเท้าหนังกระทบพื้นหินอ่อนดังเป็นจังหวะชัดเจน เดย์และไนท์ก้าวตามหลังอย่างเรียบร้อย ก่อนที่ไนท์จะรีบเดินนำไปเปิดประตูให้คิริวด้วยความรอบคอบ
คิริวก้าวลงบันไดด้วยท่าทีสง่า สายตาเย็นเรียบกวาดมองรอบ ๆ ลานหน้าบ้าน เงาของต้นไม้สูงสะท้อนกับแสงไฟระย้าที่ประดับไว้อย่างเรียบหรู
เมื่อถึงรถยุโรปสีดำมันวาว เดย์เปิดประตูให้คิริวขึ้นนั่งด้านหลัง
จากนั้นเดย์เองก็ก้าวขึ้นไปนั่งประกบด้านหลังคิริว ส่วนไนท์นั่งคู่กับคนขับตามปกติ
“ออกรถ…” คิริวพูดสียงเรียบ
รถค่อย ๆ เคลื่อนตัวออกจากลานหน้าบ้าน เสียงเครื่องยนต์ต่ำ ๆ ก้องสะท้อนในค่ำคืน เงาของต้นไม้และแสงไฟริมทางวิ่งผ่านหน้าต่าง
พาเขาเข้าสู่ค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเกมธุรกิจและความสัมพันธ์ซับซ้อน และงานประมูลเพชรของคุณวนิดาก็กำลังรอเขาอยู่
“กูได้ยินว่าไอเล็ก เพื่อนมึง ก็จะไปงานนี้ด้วย ระวังตัวไว้ด้วย มันอาจมีแผนเล่นงานมึง”
เดย์พูดขึ้นเสียงเรียบ แต่แฝงความระมัดระวัง
คิริวพยักหน้าเบา ๆ
“อืม… มึงสองคนก็ระวังตัวด้วย ครอบครัวมันมีอำนาจพอควร ถ้ามันคิดจะเก็บกู ก็คงทำได้ไม่ยากเท่าไร”
ไนท์ที่นั่งคู่กับคนขับ หันมาถามคิริวเสียงเรียบ
“เฮียริว แล้วเรื่องคุณหญิงที่ให้เฮียหาแฟนละ จะทำยังไง”
คิริวเลื่อนสายตาออกไปนอกหน้าต่าง
“ไม่รู้… ถึงเวลานั้น กูอาจได้แต่งกับคุณหนูอิงอรอย่างที่แม่กูบอกก็ได้”
เดย์เลิกคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเรียบแต่แฝงความจริงใจ
“แต่มึง…ไม่ได้รักเขา…”
คิริวเงียบไปครู่หนึ่ง ปล่อยให้ความเงียบในรถกดทับบรรยากาศ
สายตาเขาเย็นเรียบ แต่เต็มไปด้วยความคิดลึกซึ้งและแรงตึงเครียดที่ไม่อาจมองข้าม
รถยุโรปสีดำค่อย ๆ แล่นเข้ามาจอดหน้าบริเวณงานประมูลเพชรของคุณวนิดา
แสงไฟจากโคมระย้าหรูหราสาดส่องพื้นทางเดิน กระทบกับชุดราตรีและสูทของผู้คน ทำให้บรรยากาศเต็มไปด้วยความหรูหราและอำนาจ
เดย์รีบเปิดประตูด้านหลังให้คิริวลงจากรถ ขณะเดียวกันไนท์ก็ลงไปก่อนเพื่อสำรวจพื้นที่รอบ ๆ
คิริวก้าวออกจากรถด้วยท่วงท่าสง่า สายตาคมกวาดมองรอบบริเวณ
แขกผู้ใหญ่หลายคนยืนจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างเรียบหรู มีทั้งนักธุรกิจใหญ่ ผู้บริหาร และแขกสำคัญจากหลายวงการ
สายตาของคิริวหยุดนิ่งเมื่อพบหญิงสาวคนหนึ่ง เธอสวยสง่าในชุดราตรีสีฟ้าอ่อน ผมยาวสยายลงบนไหล่ เรียบหรูเหมาะกับฐานะของเธอ
คิริวรู้ทันที… นี่คือ คุณหนูอิงอร
เดย์เหลือบมองคิริวอย่างระแวดระวัง
“คิริว… ระวังตัวด้วย คนรอบตัวเธออาจไม่ใช่แค่แขกธรรมดา”
คิริวเพียงพยักหน้าเบา ๆ มือทั้งสองข้างประสานแน่น ขณะก้าวเข้าไปยังงานด้วยความสง่า พร้อมความรู้สึกว่าเกมคืนนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นจริง ๆ
คิริวก้าวเข้ามาในงานประมูลเพชร สายตาเรียบเฉยกวาดมองผู้คนรอบตัว
จู่ ๆ เงาของหญิงสาวปรากฏอยู่ข้างหน้า คุณหนูอิงอรเดินตรงเข้ามาอย่างสง่าในชุดราตรีสีฟ้าอ่อน ผมยาวสยายลงบนไหล่
“อ้าว…คิริว มางานนี้ด้วยตัวเองเลยเหรอคะ?” เธอเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางเบา แต่สายตากลับสอดส่องรอบตัวราวกับวิเคราะห์
ก่อนที่คิริวจะตอบ เสียงพนักงานดังขึ้นเบา ๆ
“คุณคิริว และคุณอิงอรครับ! เชิญทางนี้หน่อยครับ”
พนักงานยิ้มแผ่วก่อนเดินนำทาง ทั้งสองถูกเชิญให้ไปรวมตัวกับนักข่าวที่รออยู่ด้านใน เพื่อให้สัมภาษณ์และถ่ายภาพอย่างเป็นทางการ
คิริวก้าวตามพนักงานเข้าไปในพื้นที่ที่นักข่าวรวมตัวอยู่ สายตาเรียบเฉยแต่จับจ้องทุกความเคลื่อนไหวรอบตัว
คุณหนูอิงอรเดินข้างเขาอย่างสง่า รอยยิ้มบางเบาแต่แฝงความท้าทาย
เมื่อคิริวและคุณหนูอิงอรเดินมาถึงจุดสัมภาษณ์ของนักข่าว เสียงของนักข่าวสำนักหนึ่งดังขึ้นทันที
“คุณคิริวและคุณหนูอิงอรครับ ตอนนี้สถานะของทั้งคู่เป็นอย่างไรกันบ้างครับ?”