บทนำ ยักษ์อันธพาล
วิมานชั้นฟ้าสว่างวาบด้วยลำแสงสีเขียวแดงเข้าปะทะกัน เหล่าเทพยดาชั้นผู้น้อยต่างหลบซ่อนกายในกลีบก้อนเมฆสีทองลอบมองเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยใจระทึก
หนึ่งบุรุษผู้มีรัศมีสีเขียวเรืองรอง วรกายสูงใหญ่ เครื่องหน้าคมสันดั่งภาพวาด ริมโอษฐ์ยกยิ้มน้อย ๆ ทว่าเขี้ยวคู่ที่งอกออกมานั้นกลับทำให้ดูน่าเกรงขามมากกว่าจะชมว่างามได้ อีกฟากฝั่งเป็นบุรุษร่างท้วม รัศมีสีแดงเจิดจ้าโอบล้อมดูอบอุ่น ใบหูกุญชรที่ปกติลู่ไปตามศีรษะบัดนี้แผ่จังก้า บ่งออกถึงอารมณ์คุกรุ่นอยากจะกำราบอสุราตรงหน้าให้ล้มเลิกความตั้งใจ
ทั้งที่รามสูรเพิ่งถูกงวงอันทรงพลังของพระพิฆเนศจับเหวี่ยงโยนไปไกลจนสลบไสล พอฟื้นคืนสติได้ก็เหินเวหากลับมาอย่างไม่ย่อท้อ
“ข้าต้องการพบองค์อิศวร” เสียงพูดธรรมดาแต่กลับก้องกังวาน
“องค์พระบิดาทรงบรรทม” พระคเณศทรงเบื่อหน่ายกับอสุราตนนี้ยิ่งนัก รามสูรคิดว่าตนเป็นคนโปรดของพระบิดา คิดจะเข้าเฝ้าได้ตามอำเภอใจหรือไร
รามสูรย้ำคำเดิม
พระพิฆเนศก็ยังคงยืนกรานคำเดิม ทว่าคราวนี้รามสูรไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไปเหมือนคราก่อน ด้วยรู้ซึ้งดีว่างวงกุญชรที่กวัดแกว่งอยู่นั่นทรงพลังเพียงใด รามสูรหลับตานิ่ง พลันมือที่เคยว่างเปล่าสว่างวาบ กลุ่มแสงสีเขียวรวมตัวขึ้นกลายเป็นขวานวิเศษน่าเกรงขามด้ามหนึ่ง ใบขวานแวววาวดั่งเพชร เพียงแค่ควงสะบัดไปมาก็บังเกิดเสียงครืนครืน
พระคเณศตระหนักแล้วว่าอสุราตนนี้ดื้อดึงกว่าที่คิด กล้าเรียกอาวุธวิเศษที่พระบิดาประทานให้มาข่มขู่ตน ทันทีที่ขวานวิเศษถูกขว้างมา พระพิฆเนศก็ก้มงัดด้วยงา ทว่าคมขวานตัดงาแกร่งนั่นจนขาดกระเด็น อานุภาพพลังปะทะกันสะท้อนไปทั่วจนเหล่าเทวดากระเจิงจากที่ซ่อน เสียงกึกก้องทั่วเวหน ทิพย์วิมานอยู่ใกล้พังครืนลงระเนระนาด
ไม่ว่าจะผ่านมานานนับร้อยปี รามสูรก็คือรามสูร ความถือดีนี่ยากจะมีใครเทียม ทั่วสวรรค์ชั้นฟ้าระอาในความดื้อดึงของอสุราตนนี้ยิ่งนัก หากพบเห็นต้องเร้นกายให้ไกล ไม่อยากสมาคมกับยักษ์อันธพาล!
นอกจากพระอิศวรและราหูก็ดูเหมือนว่าไม่มีใครใคร่อยากสานสัมพันธ์กับรามสูรเท่าไรนัก แม้แต่พระแม่อุมาเทวีที่ใจกว้างดั่งมหานทีสีทันดรยังแสดงความขุ่นมัวในบางห้วงอารมณ์ยามที่สวามีสนทนาพาทีกับสองอสุรา
พระพิฆเนศก็เช่นกัน แม้จะได้รับพลังอสูรกึ่งหนึ่งของรามสูรทดแทนงาที่หักไปแล้วก็ยังคงวางตนเหินห่างจนดูน่าอึดอัดยิ่ง เพลานี้ห้องทิพย์วิมานแห่งองค์พระอิศวรสว่างไสว กลิ่นหอมจาง ๆ ของกำยานกฤษณาคล้ายมีคล้ายไม่มีทำให้ผู้อยู่ในห้องรู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก องค์พระอิศวรพระวรกายแผ่รัศมีสีนวลดั่งจันทร์เพ็ญ ประทับบนบัลลังก์ตกแต่งเรียบง่าย ด้านล่างโคนนทิหมอบอยู่ไม่ห่าง
พระเนตรอันอาทรทอดมองมายังอสุรินทราหู อสุราผู้สุขุมและถือสัจจะเหนือสิ่งอื่นใด ราหูนั้นกายท่อนบนเปลือยเปล่าคาดสังวาลสีทองอร่ามแผ่รัศมีสีดำจาง ๆ ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใดก็สร้างความหวั่นเกรงให้กับบรรดาทวยเทพชั้นสูงที่พบเห็นด้วยเกรงจะถูกจับกลืนกินเช่นจันทรเทพและสุริยเทพครากวนน้ำอมฤต ท่อนล่างที่เคยถูกจักรตัดขาดสะบั้นถูกแทนที่ด้วยลำตัวพญานาคยิ่งเป็นการขับความน่าเกรงขามขึ้นไปอีก
“มีของวิเศษอยู่สิ่งหนึ่ง ที่จะทำให้ร่างกายท่อนล่างของเจ้ากลับมาองอาจดั่งกาลก่อน” สุรเสียงที่เจือด้วยความอาทรของพระผู้เป็นใหญ่ในชั้นฟ้าทำสองอสุราตาลุกวาว จดจ่อรอฟังคำเอื้อนเอ่ยต่อจากนี้อย่างใจระทึก
“ลูกแก้วเมขลา” พระราหูยังคงรักษาความสุขุมไว้ได้ดี ทว่ารามสูรผู้รักสหายนี้กลับลิงโลดในใจ เขาย่อมรู้จักเทวีผู้อารักขามหาสมุทรนี้ดีกว่าใคร ทุกคราที่ฝนฟ้ากระหน่ำ นางจะล่องลอยเหนือท้องมหาสมุทรนำลูกแก้วของพญามังกรผู้เป็นบิดาออกมาโยนเล่น ความงามนางเลื่องลือไปทั่วสวรรค์ชั้นฟ้า รามสูรเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ตามไล่ล่า แม้เหล่าเทวดาจะมองว่าเขาเป็นยักษ์บ้าตัณหา ชมชอบเมขลาผู้บอบบางดั่งนางกินรี แต่ราหูสหายรักรู้ดีที่สุดว่ารามสูรเกลียดแสงวูบวาบของลูกแก้วนั่นรวมถึงความจองหองของเมขลาที่มักดูแคลนว่ารามสูรเป็นเพียงยักษ์ตัดฟืนจนต้องการบั่นแก้วนั่นให้มันแหลกคามือ!
ราหูเป็นเทพกึ่งอสูรผู้รักสงบ นึกปล่อยวางกับท่อนล่างที่ขาดหายไป เพราะอย่างไรเสียตอนนี้ท่อนล่างของตนก็กลายเป็นพระเกตุไปแล้ว ทว่าสำหรับรามสูรสหายรัก เรื่องนี้เปรียบดั่งศักดิ์ศรี เขาต้องการประกาศศักดาให้ทวยเทพได้รู้ว่า อสุรายังคงแข็งแกร่งและเก่งกาจกว่าเหล่าเทวดา การได้มาซึ่งลูกแก้วนางเมขลาจะทำให้สหายได้ร่างที่สมบูรณ์กลับคืนและทำให้เทพบุตรที่หมายตานางจุกแน่นอกจนอยากไปอุบัติใหม่เพราะพระอิศวรทรงตรัสแล้วว่าผู้ที่ได้ดวงแก้วย่อมได้ครอบครองนางเช่นกัน
ครั้นวสันตฤดูเวียนบรรจบ บรรดานางฟ้าเทวดาต่างพากันแต่งกายงดงามออกมารื่นเริง ทว่าเป้าหมายของรามสูรกลับเป็นเทพธิดาผู้อรชรที่ร่ายรำอ่อนช้อยโดดเด่นท่ามกลางนางฟ้านับร้อย
เมขลา!
พอหยาดฝนเริ่มโปรยปราย กลิ่นหอมของดอกมณฑาทิพย์กำจายฟุ้ง นางก็เสกดวงแก้วขึ้นมา ทะยานกายเหาะเหินเหนือเหล่านางฟ้าให้แสงแก้วแวววับสาดส่องเพื่อดึงดูดให้บรรดาเทวดาหนุ่มสนใจนางเพียงผู้เดียว
รามสูรยิ้มเยาะในใจ “ก็แค่นางฟ้าขี้อวด หากไร้ซึ่งมณีนั่นรูปโฉมนางก็ดาษดื่นเหมือนนางฟ้าทั่วไป” แต่เอาเถอะหลังชิงดวงแก้วได้แล้ว เขาจะประทานนางให้กับราหูสหายผู้อาภัพก็แล้วกัน
รามสูรบิดกายไล่ความเมื่อยขบ เขาหลบซ่อนอยู่ในกลีบเมฆสีทองโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้เพราะมิได้เผยร่างอสุรา ทั้งใบหน้าจึงปราศจากเขี้ยวงอก ผิวกายเรืองรองไร้รัศมีสีเขียวจาง ๆ อย่างที่เคยมี ร่างนี้เคยทำให้นางฟ้าหลายนางเกี้ยวพาราสีอย่างออกหน้าออกตา เพื่อป้องกันความน่ารำคาญ รามสูรจำต้องเผยร่างจริงทุกครั้งที่พำนักอยู่บนวิมานแดนสวรรค์
กลีบเมฆค่อยเลื่อนผ่านกาย เผยร่างองอาจที่ท่อนบนเปลือยเปล่าที่ใครเห็นเป็นต้องชื่นชมความสมส่วน พลันหลับตาเรียกขวานเพชรคู่กายจำเป็นต้องกลับคืนร่างเดิมเพื่อให้สามารถใช้อาวุธได้อย่างทรงพลัง
รัศมีสีเขียวเริ่มแผ่กระจาย ริมฝีปากงอกเขี้ยวโง้ง ดวงตาแวววับสีแดงเพลิงทำเอานางฟ้าเทวดาที่พบเห็นต่างแตกตื่นลืมความสนุกไปเสียสิ้น
นางเมขลาเริ่มมีโทสะ ค่อยร่อนกายลงมา นางจะอวดความงามของดวงแก้ว ไยอสุราตนนี้จึงต้องมาขัดจังหวะทุกคราไป
เสียงหวานบริภาษ “เจ้ายักษ์อันธพาล ช่างอาจหาญมาล่มความครื้นเครง ข้าจะนำเรื่องนี้ไปทูลองค์อินทร์”
รามสูรถอนหายใจ “เด็กน้อยเช่นเจ้าบังอาจขโมยดวงแก้วบิดามาเล่น ทำมาเป็นโอ้อวดราวกับว่าของวิเศษนี้เป็นของตน”
เมขลาเชิดหน้า “แล้วอย่างไร ของบิดาก็เหมือนของลูก ว่าแต่ท่านเถอะ อยากได้ของคนอื่นช่างน่าละอายนัก” แล้วนางก็ชูดวงแก้วขึ้นฟ้าให้รัศมีลูกแก้วสาดส่องเป็นสีรุ้ง บรรดาเทวานางฟ้าส่งเสียงฮือฮาชื่นชมในความงามลืมความกลัวเสียสิ้น
แต่สำหรับรามสูรแล้วแสงนี้ช่างแสบตาน่ารำคาญจนต้องยกมือป้อง ก่อนคิดจะอาศัยช่วงที่ทุกคนเผลอไผลเหาะขึ้นไปจะคว้าเอาลูกแก้วดวงเท่ากำปั้นนี้มาครองให้ได้ แต่ยังไปไม่ถึงพลันมีเสียงหนึ่งดังก้องกังวานดังข้ามศีรษะ
“แย่งของจากสตรีเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นอสุรา” เทพบุตรรูปงามค่อยร่อนกายลงมาขวางหน้ารามสูรอย่างผ่าเผย ผ้าสีทองโปร่งที่พาดอกพลิ้วไหวงดงาม ปลายเท้าแตะพื้นอย่างแผ่วเบา
“เทพอสูร” รามสูรแก้ไขให้ ตนเป็นถึงเทวาสุรารักษ์ เทพบุตรตนนี้ชักจะอหังการ์เกินไปแล้ว ทั้งยังทำท่ากอดอกหัวเราะเยาะยียวนน่าสับเป็นชิ้น ๆ นัก
“นั่นย่อมไม่ต่างกัน อสุราก็คืออสุรา”
“ซึ่งเทวดาชั้นต่ำอย่างเจ้าเทียบไม่ได้”
คำถากถางนี้ทำอีกฝ่ายมีโทสะ “ตัวข้าอรชุน เคยจับทศกัณฐ์ผู้มียี่สิบมือมาแล้ว เจ้าก็แค่อสูรอ่อนด้อยผู้ปฏิสนธิจากเมฆฝน ไม่คณามือข้าหรอกกระมัง” ว่าจบก็หลับตาเสกพระขรรค์ขึ้นมา นางเมขลากับบรรดาเทวดานางฟ้าต่างพากันหาที่ซ่อน รามสูรไม่พิรี้พิไรกระโดดขึ้นถีบยอดอกเทพอรชุนจนผงะไป
พอตั้งหลักได้เทพหนุ่มกำลังจะพุ่งเข้ามาหา รามสูรก็โผล่มาด้านหลังดึงศีรษะไว้เงื้อขวานเพชรจะบั่นคอ อรชุนเอี้ยวตัวม้วนหลบ สะบัดด้ามพระขรรค์กระทุ้งอกรามสูรจนผงะไป แรงปะทะของหนึ่งเทพอสูรหนึ่งเทพบุตรดังกัมปนาท อรชุนขึ้นชื่อว่าเป็นผู้เก่งกาจด้านการรบ รามสูรเองก็ไม่น้อยหน้า จังหวะพระขรรค์อรชุนจ้วงแทงมาก็เบี่ยงหลบอย่างง่ายดาย ยามฟันขวานใส่อรชุนก็หลบฉากได้เช่นกัน
ด้วยรามสูรขึ้นชื่อว่าเจ้าเล่ห์ กระโดดถอยหลังออกมาหลายก้าวแล้วขว้างขวานลอยลิ่วไปกลางอากาศ อรชุนเห็นดังนั้นก็เอี้ยวตัวตีลังกาหลบในระยะไกล นั่นจึงทำให้รามสูรสบช่อง กระโดดไปคว้าขาอรชุนไว้มั่นแล้วจับเหวี่ยงหมุนวนดั่งพายุเหมือนคราที่พระพิฆเนศใช้งวงหมุนตน อรชุนเริ่มตาลายปัดป่ายอากาศไปมา ตะโกนให้ปล่อย
“ปล่อยข้า!”
รามสูรกระตุกยิ้ม “ได้ตามประสงค์” แล้วก็ปล่อยขาอรชุนกลางอากาศ ด้วยแรงแห่งอสุราร่างนั้นถูกเหวี่ยงลอยละลิ่วเคว้งไปฟาดกับเขาพระสุเมรุจนสิ้นใจ
เสียงครืนดังสะเทือนก้องทั่วสวรรค์ เขาพระสุเมรุทรุดเอียงกระเท่เร่ แต่รามสูรไม่มีเวลาที่จะมาสนใจ ด้วยเป้าหมายตอนนี้คือ
มณีเมขลา!
เทพบุตรนางฟ้าเห็นว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตนก็เริ่มถอยห่าง รามสูรยิ้มเยาะ นึกขันในความสัมพันธ์ฉาบฉวยของทวยเทพเสียจริง
เมขลาเห็นท่าไม่ดีจึงจะเหาะหนีไปยังมหาสมุทรอันเป็นที่พำนักของตน
ครั้นพอเหาะจากวิมานชั้นฟ้า รามสูรก็ขว้างขวานออกไป แต่ด้วยแสงลูกแก้วที่แยงตาทำให้พลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดเป็นปรากฏการณ์ฟ้าร้องก้องทั่วปฐพี นางเมขลาเกิดความหวาดกลัวเกาะกินใจ ใครจะคาดคิดว่าแม้แต่เทพอรชุนอสุราตนนี้ยังกล้าสังหารต่อหน้าธารกำนัล
นางหันรีหันขวาง เหาะเหินสะเปะสะปะไปทั่ว จนมาถึงกลางป่าใหญ่ดินแดนมนุษย์นอกหิมพานต์ที่ปกคลุมด้วยความมืดมิดแห่งราตรีกาล รามสูรเหาะมาดักรอตรงหน้าจนนางสะดุ้ง ลำแสงแห่งคมขวานสว่างวาบปะทะเข้ากับดวงแก้วฉับพลัน
แรงปะทะลั่นเปรี้ยงสว่างวาบ ทั่วท้องนภามืดครึ้มด้วยรังสีแห่งจอมอสูร เมฆดำทะมึนปรากฏเงาใหญ่สองร่างลอยอยู่เหนือเมฆ
แขนบอบบางของเมขลาชาดิก มือที่กำดวงแก้วเผลอคลายด้วยความตกใจ
ดวงแก้วลูกเท่ากำปั้นร่วงหล่นหดเล็กลงตกทะลุหลังคาบ้านเก่าคร่ำคร่ามุงแฝก ทารกเพศหญิงพึ่งคลอดร้องไห้จ้า ลูกแก้ววิเศษก็ผลุบหายเข้าไปในปากนั่นพอดิบพอดี!