“คุณผู้ชายให้มาตามค่ะ” แม่บ้านเดินมาบอกวิวาห์ในช่วงสายของวันถึงบ้านหลังน้อยที่เธอมักจะมาขลุกตัวอยู่กับแม่ของเธออย่างที่ใครก็รู้กันดี
“อืม” วิวาห์พยักหน้ารับอย่างรู้ดีว่าคงมีเรื่องอะไร เพราะเวลาผู้เป็นพ่อเจาะจงเรียกหาเธอส่วนใหญ่ก็คือมีเรื่องจะพูดคุย
“ไปเถอะลูก” คุณวันเพ็ญพูดกับลูกสาวขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างไม่ได้เหนี่ยวรั้งเพราะเธอรู้ว่าอดีตสามีที่แม้จะเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว แต่ในฐานะของพ่อเขายังมีจิตสำนึกและไม่เคยทิ้งลูก
“ค่ะ ถ้าวาห์ไม่มีธุระอะไรเดี๋ยวมาหาแม่นะ” เธอบอกแม่ก่อนจะลุกออกไปยังบ้านหลังใหญ่เพื่อพบผู้เป็นพ่อ
พอเดินเข้ามาก็เจอกับผู้เป็นพ่อที่นั่งอยู่พร้อมกับภรรยาคนปัจจุบันและลูกสาวอีกคนของพ่อที่มีลับหลังภรรยาอย่างแม่ของเธอ ลูกอีกคนที่มีศักดิ์เป็นน้องสาวต่างแม่ของเธอด้วยอายุที่ห่างกันห้าปีที่นั่งทำหน้าบึ้งตึงเอาแต่ใจอยู่ข้างกายแม่ของหล่อน
“เมื่อคืนเหลวไหลที่ไหนมาล่ะ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่าพึ่งกลับเข้าบ้านเกือบเช้าน่ะ” น้ำเสียงเรียบนิ่งไม่สบอารมณ์ของภรรยาปัจจุบันของพ่ออย่างคุณนพนภาดังขึ้น
ซึ่งวิวาห์ไม่อยากเรียกหล่อนว่าแม่เลี้ยงเพราะหล่อนไม่ได้เลี้ยงดูเธอมา
“พ่อมีอะไรคะ” วิวาห์เลือกจะไม่ต่อปากต่อคำกับคนคุณนพนภาแม้จะรู้ดีว่าเมื่อถึงเวลาเธอต้องอ่อนน้อมใส่อีกฝ่ายก็ตาม แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาหากเลี่ยงได้เธอก็เลี่ยงที่จะพูดคุย
“นั่งสิ พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย” คุณชูวิทย์พูดกับลูกสาวขึ้น
“.....” วิวาห์เดินไปนั่งโซฟาอีกตัวเพียงคนเดียวเพื่อรอฟังสิ่งที่พ่อจะพูดกับเธอ
“เรื่องเรียนเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” คุณชูวิทย์เปิดประเด็นขึ้นมา
“ค่ะ” วิวาห์ตอบออกไปอย่างที่เป็น ตอนนี้ถือว่าเธอได้จบการศึกษาเรียบร้อยแล้ว
“พ่ออยากให้เราแต่งงาน” แล้วก็เข้าประเด็นอีกครั้งอย่างตรงไปตรงมา แต่พ่อของเธอก็ไม่เคยอ้อมค้อมในความต้องการของตัวเองอยู่แล้ว
“อะไรนะคะ!?” วิวาห์ถึงกับอุทานถามออกมาอย่างตกใจและรับไม่ทันกับความต้องการใหม่ของพ่อ
“เป็นบุญของเธอแล้ว!” นิชาคนที่มีศักดิ์เป็นน้องของเธอพูดขึ้นด้วยใบหน้าบึ้งตึงราวกับไม่พอใจ
แต่มีอะไรถึงไม่พอใจในเมื่อการแต่งงานของเธอเหมือนเป็นการได้ออกจากบ้านหลังนี้ไป นี่น่าจะดีต่อสองแม่ลูกนี้ที่ไม่มีเธอกับแม่ให้ขวางหูขวางตาไม่ใช่เหรอ
“เมื่อคืนพ่อไปงานเลี้ยงมาและทางฝ่ายนั้นเขาได้ทาบทามเรื่องแต่งงานมา พ่อเห็นว่าเราก็เรียนจบและโตแล้ว” คุณชูวิทย์บอกในสิ่งที่เขาต้องการออกมาอย่างไม่ปิดบัง
“พ่อมีเหตุผลอะไรมากกว่านี้ไหมคะ” ไม่ใช่เพราะเธอโตไม่ใช่เพราะเธอเรียนจบแล้ว สองเหตุผลนี้ไม่ใช่สิ่งที่พ่อของเธอจะให้เธอแต่งงานทันทีแบบนี้นอกจากความต้องการอื่น
“ตระกูลบวรวรพงศ์เป็นตระกูลเก่าแก่ร่ำรวยทั้งเงินทองและอำนาจ ถ้าเราได้ดองกับตระกูลนั้นจะเป็นเรื่องดี” แม้ว่าครอบครัวตัวเองจะถือว่าร่ำรวยมากแต่ก็ยังถือว่าเป็นรองกับตระกูลบวรวรพงศ์ที่มีความเก่าแก่และมั่งคั่งไปด้วยอำนาจเงินทอง หากใครได้ยินนามสกุลนี้ต่างก็มีความนอบน้อมเกรงใจเป็นพิเศษ
และตระกูลนี้ก็ถือครองผลสำรวจมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งในสามของประเทศติดต่อกันมาหลายปีอย่างไม่มีใครโค่นล้มได้
“.....” วิวาห์ได้ยินแบบนั้นก็พอเข้าใจแล้วว่าการแต่งงานที่พ่อเธอต้องการครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อหวังให้เธอออกเรือน แต่เพื่อผลประโยชน์ตามแบบฉบับของนักธุรกิจที่มักทำอะไรอย่างไร้หัวใจและสืบทอดกันรุ่นต่อรุ่น
และเพราะแบบนี้สินะสองแม่ลูกนี้ถึงได้ดูไม่สบอารมณ์และไม่พอใจกับเรื่องนี้ เพราะจะมีสักคนส่วนน้อยแค่ไหนที่ไม่รู้จักตระกูลยิ่งใหญ่นี้
“พ่ออยากบอกให้เตรียมตัวไว้ แม้จะแค่พูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการแต่เมื่อมีการพูดคุยแล้วพ่อคิดว่าอีกไม่นานจะเกิดการตกลง” เพราะเรื่องแบบนี้ถ้าเป็นการพูดในวงสังคมเล่นๆ ก็ปล่อยผ่านได้ แต่นี่เป็นการพูดคุยอย่างส่วนตัวเมื่อได้พบปะกัน นั่นเลยทำให้คุณชูวิทย์ค่อนข้างมั่นใจว่าอีกไม่นานเขาจะได้ข่าวดีจากอีกฝ่าย
“แล้ววาห์จะต้องแต่งงานกับใครคะ” แม้ว่าตระกูลนั้นจะใหญ่โตแต่ก็ไม่ได้มีการเปิดเผยสมาชิกของตระกูลทุกคนอย่างละเอียด คนชอบออกงานสังคมให้เห็นหน้าตามข่าวก็มี แต่คนที่ไม่เคยเห็นและไม่เคยรับรู้ก็มีเช่นกัน
“ลูกชายของคุณอนันต์” เพราะคนที่พูดคุยเรื่องนี้กับเขาก็คืออนันต์ บวรวรพงศ์
“พ่อเคยเห็นเขาไหมคะ” อนันต์ บวรวรพงศ์ เธอเคยเห็นหน้าเขาในข่าวธุรกิจอยู่ร่ำไป แม้ว่าปัจจุบันเขาจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งประธานเหมือนอดีตแต่ก็ยังหาข่าวของเขาดูได้อย่างง่ายดาย
แต่ลูกชายของเขาวิวาห์ไม่รู้จักนั่นเลยทำให้เธอถามพ่อของเธอออกไปเผื่อว่าจะเคยเห็นหน้าคร่าตาและบอกเล่าเธอได้บ้าง
“พ่อเคยเห็นเมื่อหลายปีมาแล้ว เขาเป็นคนไม่ชอบออกงานสังคมแต่เขาเก่งกาจมากกว่าพ่อของเขาซะอีก” คุณชูวิทย์บอกลูกสาวอย่างไม่ได้ปิดบังว่าเขาจำหน้าชายหนุ่มรายนั้นไม่ค่อยได้ คนที่ไม่เคยเห็นร่วมเฟลมกับคนในวงตระกูลในภาพที่ออกสู่สาธารณะ
“.....” เมื่อได้ยินแบบนั้นวิวาห์ก็เงียบไปอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ในเมื่อพ่อของเธอพูดแบบนี้แล้วข้อบกพร่องของอีกฝ่ายจะเป็นยังไงเธอก็ไม่สามารถรู้ได้ ก็ได้แต่หวังว่าเขาจะไม่แก่เกินเธอและไม่ใช่คนโรคจิตจนครอบครัวต้องหาเมียให้ทั้งที่ฐานะแบบนี้
“ช่วงนี้ก็ดูแลตัวเองให้ดี ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องออกไปไหน” คุณชูวิทย์พูดพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตให้กับลูกสาวสำหรับการดูแลตัวเองเพื่อเตรียมตัวแต่งงานเป็นสะใภ้หมื่นล้าน(เหรียญสหรัฐฯ)
และนั่นก็ยิ่งทำให้สองแม่ลูกไม่พอใจเลยสักนิดที่วิวาห์กำลังจะเป็นคนสำคัญของบ้านเพราะกลายเป็นตัวเรียกเงินเรียกทอง ถ้าไม่ติดว่าลูกสาวคนเล็กของบ้านอายุพึ่งสิบเก้ามีเหรอที่ภรรยาอย่างคุณนพนภาจะยอมให้บุญนี้หล่นทับวิวาห์ได้
“ค่ะ” วิวาห์ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากต่อหน้าพ่อของเธอ เธอตอบรับและหยิบบัตรเครดิตก่อนจะลุกออกไปเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับลูกชายของคุณอนันต์ บวรวรพงศ์
แต่น่าเสียดายที่ไม่ว่าเธอจะหามันยังไงก็แทบไม่มีอะไรให้เธอได้รับรู้เลย ประวัติของอีกฝ่ายมีเพียงคร่าวๆ และเป็นประวัติทั่วไปที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าถูกต้องหรือเปล่า ส่วนรูปภาพนั้นกลับไม่มีให้เห็นราวกับว่าตัวตนของเขาเป็นความลับซะอย่างนั้น
สุดท้ายวิวาห์ก็จนใจและทำได้เพียงเฝ้ารอดูว่าสุดท้ายจะเกิดการสู่ขอขึ้นหรือไม่ หากเกิดขึ้นเธอคงได้เห็นหน้าเขาสักครั้ง และถึงตอนนั้นเธอค่อยคิดหาทางทำอะไรสักอย่างที่เธอก็ยังคิดไม่ออกเช่นกัน