CHAPTER 03
เรื่องของโฮสต์
“พี่เฉิน ช่วยแวะที่ร้านหน่อยได้ไหมฮะ ผมขอแวะหาป้าหน่อย ไหนๆก็เป็นทางผ่านไปมหาลัยแล้ว”
ขณะที่พวกเขาอยู่บนรถ เดลเองก็หันไปขอร้องให้เฉินแวะที่ร้านก๋วยเตี๋ยวอย่างร้อนรน หลังจากที่เขาโทรหาป้าแล้วไม่มีการตอบรับใดๆทั้งสิ้น เมื่อคืนเขาไม่ได้กลับบ้านและตอนนี้ชักจะเป็นห่วงคนเป็นป้าเหลือเกิน
“พี่ไม่ใช่คนขับรถให้นายนะ”
ก็จริงอย่างที่เฉินบอก คนตัวเล็กเองไม่ใช่เจ้านายของเขาที่มีสิทธิสั่งให้ตัวเขาขับรถพาไปไหนมาไหนได้ตามใจ
เดลเม้มปากแน่นด้วยความกังวล ในหัวกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงให้เฉินใจอ่อนพาเขาไป มือเล็กทั้งสองข้างประสานกันไว้ที่หน้าตัก ใบหน้า
เริ่มเกร็งเครียดจนเฉินจับพิรุธได้ เขาหันมองเดลที่นั่งเบาะข้างๆด้วยความสงสัย
“ถ้าผมขอค่าจ้างแค่ครึ่งเดียว แล้วให้พี่พาผมแวะหาป้าแป๊บนึงได้ไหมฮะ แล้วเดี๋ยวผมจะนั่งรถเมล์ไปเรียนเองก็ได้”
“บอกทางแล้วกัน พี่จำร้านไม่ได้”
เขาไม่ได้จะเอาค่าจ้างคืน เพียงแค่อยากรู้ว่าเด็กคนนี้มีปัญหาอะไรกันแน่ เขาคุมผู้คนมามาก เหล่าลูกน้องแต่ละคนก็ดื้อแพ่งและเขาก็ดัดสันดานมานักต่อนักแล้ว แต่อาการร้อนรนพร้อมทั้งเหงื่อแตกท่ามกลางอุณหภูมิเย็นฉ่ำของแอร์แบบนี้ มันไม่ปกติ ถ้าเด็กคนนี้เป็นเด็กเกเร เฉินเองก็พร้อมจะดัดสันดานเช่นกัน ถ้าเดลชอบเงินมากนัก เขาก็จะดัดสันดานด้วยเงินนี่แหละ
เดลผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเฉินยอมไปส่งเขาที่ร้านก๋วยเตี๋ยวก่อน เสียงเล็กตั้งอกตั้งใจบอกทางไปเรื่อยๆจนมาถึงจุดหมาย
ปรากฏว่าร้านปิด...
“พี่ไปส่งผมที่บ้านหน่อยครับ! เลยตรงนี้ไปอีกไม่กี่ซอยเอง ผมว่าป้าผมต้อง... เฮ้อ”
อยากจะบอกให้เฉินเข้าใจว่าทำไมเขาถึงได้ร้อนใจขนาดนี้ แต่มันก็เป็นเรื่องส่วนตัวในครอบครัว เพียงแต่ครั้งนี้จำเป็นต้องพึ่งเฉินก่อนเกรงว่าจะไม่ทันเวลา ทุกขณะที่รถเคลื่อนตัวไปตามทางเพื่อไปบ้านของเขา เดลจดจ่ออยู่กับเบื้องหน้าจนละความสนใจอย่างอื่นไปหมดสิ้น
“ทำไมนายต้องห่วงป้าขนาดนั้น?”
ในที่สุดเฉินก็ถามออกไปจนได้ ร่างบางไม่สนใจคำถามอีกต่อไปเมื่อรถเคลื่อนมาถึงหน้าบ้านพอดี มือเล็กเอื้อมเปิดประตูรถลงไปทั้งที่ยังจอดไม่สนิทเสียด้วยซ้ำ
ไอ้เด็กนี่ รีบร้อนอะไรของมันนักหนา...
สีหน้าของเดลไม่ค่อยดีนักทำให้เฉินเองร้อนใจตามไปด้วย ร่างสูงก้าวลงจากรถมองสำรวจทาวน์เฮาส์เก่าๆที่เดลเพิ่งวิ่งเข้าไป
“แฮ่กๆ พี่เฉิน ช่วยผมหาป้าหน่อย น่าจะเดินอยู่แถวนี้แหละ ต้มน้ำทิ้งไว้น้ำยังไม่แห้งแสดงว่าออกไปได้ไม่นาน จำป้าผมได้ไหม?”
คำพูดยืดยาวนี้อาจลำบากไปหน่อยกับคนฟังที่ผ่านการเมามายอย่างหนักมาทั้งคืน
“พี่จำป้านายไม่ได้หรอก”
“ป้าผมจะผอมๆ ผมยาวแต่มัดผม ผิวขาวๆหน่อย ถ้าเจออยู่ตรงไหนให้อุ้มกลับมาบ้านเลยนะพี่ ถึงแม้ว่าป้าผมจะอาละวาดก็อย่าตกใจล่ะ เดี๋ยวผมจะวิ่งไปดูท้ายซอย พี่ไปดูทางหน้าซอยนะ”
สิ้นเสียงเล็กของตัวเอง เดลจึงรีบออกตัววิ่งตามหาป้าของตัวเองทันที เฉินเองก็ตกอยู่ในสภาวะจำใจต้องช่วยเดลเช่นกัน เขารู้แค่ว่าป้าของเดลหายตัวไปก็เท่านั้น สองเท้าใหญ่ออกแรงวิ่งพร้อมกับสอดส่องสายตาหาผู้หญิงมีอายุ ผมยาว มัดผม ผิวขาวๆหน่อย แต่ก็ไม่พบสักที บอดี้การ์ดหนุ่มใช่ว่าจะจำลักษณะป้าของเดลได้อย่างแม่นยำ ถึงแม้จะเจอกันตอนมาสั่งเกาเหลาแล้วครั้งหนึ่งก็เถอะ
ร่างสูงหยุดยืนตรงข้ามร้านค้าเล็กๆร้านหนึ่งที่มีหญิงสูงวัยยืนคุยกันอยู่หลายคน
ตัวผอมๆหน่อย
ผมยาว
มัดผม
ผิวขาว
สายตาคมเพ่งมองลักษณะดังกล่าวทีละคนจนพบเป้าหมาย เพียงเสี้ยวอึดใจร่างใหญ่ก็วิ่งเข้าไปอุ้มหญิงมีอายุดังกล่าวด้วยท่าเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวเข้าเรือนหอ ก่อนที่สองขาแกร่งจะออกแรงวิ่งกลับไปยังบ้านของเดลทันที
อั่กๆ ผลั้ว
“ไอ้หนุ่มเป็นบ้าอะไรของเอ็ง ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้!! ช่วยด้วยยยยยย!!”
เสียงโวยวายลั่นซอยยิ่งทำให้เฉินมั่นใจว่าคนที่เขาอุ้มต้องเป็นป้าของเดลแน่ จากที่เดลบอกเอาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าหากอาละวาดก็อย่าตกใจ ซึ่งบอดี้การ์ดหนุ่มไม่ตกใจสักนิด งานของเขาส่วนมากก็ต่อยตีกับผู้ชายเสียส่วนใหญ่ ครั้งนี้เพียงแค่ผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งอาละวาดเขาไม่รู้สึกอะไรหรอก
ใบหน้านิ่งแบบฉบับของเฉินยังคงมุ่งมั่นต่อไปจนกระทั่งเดลเองมาถึงหน้าบ้านพอดีจึงหันมองร่างสูงใหญ่ที่กำลังมาถึง
“พี่เฉิน... พี่ไปอุ้มใครมาเนี่ย!!”
บอดี้การ์ดหนุ่มชะงักเล็กน้อยก่อนจะวางคุณป้าในอ้อมกอดลงให้ยืนกับพื้น ถึงแม้ว่าจะเสียหน้าไปบ้างแต่ใบหน้านิ่งของเฉินก็ยังคงรักษามาดตัวเองได้เช่นเดิม
“จับตัวฉันมาทำไม!”
“...”
แม้เฉินจะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่มันยากเกินไปสำหรับคำว่าขอโทษที่เขา
ไม่เคยพูดกับใครนอกจากภภีมหรือคนที่มีอำนาจสั่งการเขาได้เท่านั้น
“เข้าใจผิดนิดหน่อยฮะป้า”
หญิงมีอายุเดินฟึดฟัดกลับไปทันที ตรงนี้จึงเหลือแค่สามคนคือเฉิน เดล และป้าของเดลที่ยืนลูบท้องตัวเองตลอดเวลา
“มาเรียกป้ากลับบ้านทำไม!! กำลังพาน้องไปเดินเล่นอยู่ไม่เห็นเหรอเดล!!”
คนเป็นหลานกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ แต่ยังคงแสดงสีหน้ายิ้มแย้มออกไปเพื่อเอาใจคนเป็นป้า แม้ว่าจะกังวลกับเรื่องนี้แค่ไหนก็ตามแต่
“ฮะๆ ผมกลัวน้องหิวไง เห็นป้าต้มน้ำทิ้งไว้เลยรีบตามหาป้า รู้ว่าป้าต้องกำลังจะทำอาหาร ไม่รีบกลับมาทำน้องหิวแย่เลยนะ”
“มีเด็กอีกคนเหรอ ไหนล่ะ? ไม่กลับมาด้วยหรือไง?”
“พี่เฉิน! จุ๊ๆ”
ร่างสูงถามออกไปด้วยความสงสัยที่ได้ยินทั้งเดลและป้าของเขาพูดถึงน้อง ก็น่าจะเป็นเด็กคนหนึ่งแต่ที่ตรงนี้ไม่มีเด็กที่ไหนเลยสักคน เฉินเองก็แค่คิดว่าหากเด็กยังไม่กลับมาด้วยจะได้ออกไปตามให้ก็เท่านั้น ไม่คิดว่าคำถามของเขาจะเป็นชนวนอารมณ์ให้ป้าของเดลมองเขาตาขวางได้ขนาดนี้
“อ่าๆ ผมว่าเราเข้าบ้านก่อนเนอะ พี่เฉินมาพักดื่มน้ำสักแก้วค่อยกลับดีกว่าฮะ ขอบคุณที่ช่วยตามหาป้าผมนะพี่”
“นายมีเรียนบ่ายสองไม่ใช่เหรอ?”
“วันนี้ผมคง...ไม่ได้ไปเรียนแล้วครับ”
พวกเขาพูดคุยกันขณะที่กำลังเดินเข้าไปยังด้านในของบ้าน เฉินกำลังจะทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาตรงข้ามกับป้า แต่ทว่าเดลกระชากแขนเขาให้เดินเข้ามาในครัวด้วยกัน
บ้านหลังนี้เป็นเพียงทาวน์เฮาส์เก่าๆแคบๆ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเท่าไรนัก เขากับป้าอยู่อย่างพอมีพอกินไปวันๆ ห่วงปากท้องกันและกันมากกว่าสภาพการเป็นอยู่
“ดึงพี่เข้ามาทำไม”
“พี่ดูโน่นสิ”
เดลสกิดให้เฉินมองดูหญิงมีอายุคนเดียวของบ้านที่ตอนนี้ล้มตัวลงนอนบนโซฟาและใช้มือกุมท้องก่อนจะดิ้นทุรนทุราย เสียงสะอื้นไห้ดังลั่นบ้านสะท้อนหัวใจคนเป็นหลานให้เจ็บปวดมากกว่าเดิม
มือเล็กที่กำลังรินน้ำสั่นระริกทำให้น้ำหกเลอะเทอะ เฉินเห็นท่าทางเดลไม่ดีเลยเอื้อมไปจับเหยือกน้ำที่เดลถือมาวางไว้ แล้วจับหัวไหล่เล็กทั้งสองข้างให้หันหน้ามาสบตากัน
ใบหน้าคมดุเริ่มจริงจังขึ้นมา ประกอบกับสายตาเอาเรื่องที่เหมือนจะเค้นถามความจริงจากเดลโดยที่เขาไม่ต้องใช้เสียงพูดเลยสักนิด ร่างเล็กก็สามารถรู้ได้ว่าเฉินต้องการที่จะถามอะไรผ่านทางสายตาคมดุนั่น
“ผม...อายพี่ว่ะ สิ่งที่พี่มาเจอวันนี้มันไม่ค่อยน่ามองเท่าไร ทั้งที่มันเป็นปัญหาของผมแท้ๆ แต่ผมกลับดึงพี่เข้ามาเกี่ยวด้วย”
“ป้านายเป็นอะไรกันแน่”
“ป้าผมเคยแท้งลูกมาสองครั้ง เขารับเหตุการณ์สูญเสียที่เกิดขึ้นไม่ได้จนเสียสติ ตอนแท้งครั้งที่สอง สามีก็เลิกลากันไปด้วยเหตุผลที่ว่าป้าผมมีลูกให้ไม่ได้ ยิ่งเหมือนตอกย้ำว่าเป็นความผิดของป้า ก็เลยหลอกตัวเองล่ะมั้ง
คิดว่าตัวเองตั้งท้องอยู่ตลอดเวลา ถ้ายาไม่หมดก็ไม่เป็นแบบนี้หรอกฮะ
แต่ผมไม่มีเงินค่ายาของป้า รับยามาทีก็เสียเงินหลายพัน ผมไม่มี...”
เดลพยายามประคับประคองน้ำเสียงไม่ให้สั่นมากนัก เหตุการณ์เหล่านี้มันสะเทือนใจเขาทุกครั้งที่เกิดขึ้น เพราะเขาหาเงินมาได้ไม่มากพอ ป้าเลยอาการกำเริบแบบนี้
“ป้านายก็ทำงาน ทำไมไม่มีเงิน นายเองก็เป็นโฮสต์ เงินดีจะตายแล้วทำไม..”
“เราหนี้เยอะฮะ ทำงานใช้หนี้จนจะไม่มีเงินกินข้าวอยู่แล้ว อีกอย่างผมต้องเรียน ค่าเทอมค่าอุปกรณ์ก็ต้องจ่าย มันหมุนเงินไม่ทันอ่ะพี่ ถ้าจนตรอกอีกหน่อยผมคงได้ขายตัวจริงๆ”
เฉินยืนฟังสิ่งที่เดลเล่าเหมือนสะท้อนภาพตัวเองสมัยก่อนผ่านแววตาเศร้าของคนตัวเล็ก กว่าเฉินจะมาเจอภภีมผู้ที่ชุบชีวิตเขาขึ้นมาใหม่นั้น
เขาเองลำบากไม่ต่างจากเดลเลย อาจจะลำบากกว่าด้วยซ้ำเพราะเขาไม่มีพ่อแม่มาก่อน ไม่มีคนคอยเลี้ยงดู คนที่เคยผ่านเส้นทางชีวิตยากลำบากมามันก็อดสงสารกันและกันไม่ได้
“ค่ายาป้าเท่าไรล่ะ”
“ตอนแรกไม่มีหรอก แต่ได้จากพี่ก็พอค่ายาแล้วล่ะ”
“พอดีวันนี้พี่ว่าง ขับรถไปโรงพยาบาลก็ได้ ไปมหาลัยก็ยังได้ คงน่าจะต้องทำเวลาหน่อยนะไอ้หนู”
เฉินเองไม่รู้จะช่วยเดลได้ยังไง จึงออกกลอุบายแบบนี้ เป็นประโยคที่เหมือนพูดลอยๆทว่าทำให้เดลหัวใจพองโตขึ้นมาด้วยความดีใจ สิ่งที่ร่างบางกังวลอยู่ตอนนี้คือเขาจะเลือกไปโรงพยาบาลเพื่อเอายามาให้ป้าหรือจะไปเรียนก่อนดีแล้วค่อยไปโรงพยาบาลวันอื่นแทน ลำพังตัวเขาคงเดินทางได้เพียงนั่งรถเมล์ ไม่ได้มีรถส่วนตัวที่จะไปไหนมาไหนก็สะดวกและประหยัด เวลา ทำให้สามารถเลือกไปได้เพียงหนึ่งที่เท่านั้น
“พี่เฉินจะไปส่งผมจริงๆเหรอฮะ”
รอยยิ้มแรกของวันฉายขึ้นบนใบหน้าหวานอย่างปิดไม่มิด
“ก็ว่างอ่ะ”
แม้ว่าจะไม่ได้พูดออกไปตรงๆว่าอาสาไปส่งเพราะสงสาร แต่มันช่างเป็นคำพูดที่น่าฟังเหลือเกินสำหรับเดล
“ผมไม่คิดว่าพี่จะใจดีเลยนะ แต่พี่ใจดีจัง ถึงหน้าพี่จะนิ่งๆ หยิ่งๆ แต่มันดูจริงใจโคตรๆเลยฮะ”
“หุบปาก แล้วรีบไปแต่งตัวสักที!”
เฉินเผลอดุเดลอย่างลืมตัว ทำเหมือนประหนึ่งกำลังดุลูกน้องอยู่ยังไงอย่างงั้น แต่มันทำให้เดลตกใจที่โดนดุจนหน้าเจื่อนไปเลย ได้แต่วิ่งไปแต่งตัวตามคำสั่ง
เขาไม่ได้อยากดุ เพียงแต่ไม่เคยมีใครมายืนชมเขาแบบนี้...
อาการหน้าร้อนผ่าวอย่างประหลาดเกิดขึ้นกับบอดี้การ์ดหนุ่มที่ยืนกอดอกพิงซิงค์ล้างจานอยู่
สายตาเขาจ้องมองไปยังหญิงมีอายุบนโซฟาที่ยังคงตะโกนว่าปวดท้องใกล้คลอดตลอดเวลา ความรู้สึกที่เห็นมันทั้งสงสาร ทั้งเวทนา ปัญหาในครอบครัวของเดลอาจมีมากมายเท่าไรเฉินไม่อาจรู้ได้ เพียงแต่สิ่งที่เขาได้มาสัมผัสเรื่องราวที่เป็นอยู่ มันไม่ใช่สิ่งที่ใครๆจะทำใจรับไหว หากเดลต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้บ่อยครั้ง เดลต้องใช้ความอดทนมากมายแค่ไหนถึงจะผ่านไปได้แต่ละครั้ง
งานบอดี้การ์ดของเฉินเป็นงานที่ไม่ต้องใส่ใจใครมากนักนอกจากเจ้านาย เขาเลยไม่ค่อยรู้ว่าโลกภายนอกทั่วไปเป็นยังไง ไม่เคยสนใจอะไรนอกจากงาน แต่ตอนนี้ที่ได้มาพบเห็นเรื่องราวของเดล ความรู้สึกแรกที่แล่นเข้ามาคือเขาอยากช่วยเหลือ
เดลก็ปากกัดตีนถีบเลี้ยงดูตัวเองไม่ต่างจากเฉินตอนเด็กจะเป็นอะไรไปหากเขาจะชุบชีวิตเด็กคนนี้ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนอย่างที่ภภีมทำกับเขา
“มาแล้วฮะ นี่ผมรีบสุดชีวิตเลยนะพี่ รอนานไหม?”
“นายเดินมาใกล้ๆพี่สิ”
เดลมองร่างกำยำที่ยืนกอดอกด้วยความประหม่า เขาก้าวเข้าไปหาตามคำสั่งของเฉิน สายตาคมที่มองกลับมาเหมือนว่าเดลทำอะไรผิดไป
สักอย่าง
มือใหญ่เอื้อมไปปลดกระดุมเสื้อนักศึกษาของเดลออกจนหมดเพราะมันติดผิดตั้งแต่กระดุมเม็ดแรก เดลเองเพิ่งรู้ตัวตอนที่เฉินปลดกระดุมออก
นี่แหละ ทั้งที่ก็สามารถติดเองได้แต่ปากเดลพูดอะไรไม่ออก เลยยืนให้เฉินติดกระดุมใหม่ให้จนเสร็จ
“พี่เล่นแบบนี้ผมใจสั่นหมดเลยนะเนี่ย”
“ไปกันได้แล้ว อ่อ แล้วป้านาย..”
“เดี๋ยวก็หลับฮะ ไม่ต้องห่วง เขาไม่คิดสั้นหรอก”
เหตุการณ์เหล่านี้มันฉายวนในชีวิตของเขาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนเขาเดาทางออกหมดว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากป้าของเขาไม่ได้ทานยารักษา เรื่องของความรู้สึกมันอธิบายยาก เขาไม่ได้เข้าใจความรู้สึกที่ป้าเป็นมากนักเพียงแต่เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดภายในจิตใจของผู้เป็นป้ากับการสูญเสียทั้งลูกและสามีไปเพียงเพราะคิดว่าเป็นความผิดของตัวเอง
“นายจะไปไหนก่อน?”
“ผมเกรงใจพี่จัง”
“งั้นไปเรียนก่อน เลิกเรียนค่อยไปรับยาให้ป้า”
“อ่อ เอาแบบนั้นก็ได้ครับ”
มหาวิทยาลัยรัฐบาลชื่อดังเป็นสถานที่เล่าเรียนของคนตัวเล็ก เขาสอบติดที่นี่ด้วยความสามารถของตัวเองในคณะบริหารธุรกิจอันเลื่องชื่อ แม่ของเดลสนับสนุนเขาเต็มที่ทำให้ตัวเขาตัดสินใจที่จะเรียนทันที แต่แล้วหลังจากนั้นไม่นานแม่ก็เสีย เขาเลยต้องส่งตัวเองเรียนต่ออย่างสุดความสามารถ
จ๊อกกกก
เสียงท้องร้องดังกังวาลท่ามกลางความเงียบภายในรถ
“หิวทำไมไม่บอกพี่?”
“ผมบอกพี่ได้ด้วยเหรอครับ?”
“เบาะหลังมีนมอยู่แพ็กนึง”
แม้ว่าเฉินไม่ได้ตอบคำถามของเดล แต่ประโยคที่เขาตอบกลับนั้นทำให้ร่างบางคลี่ยิ้มอีกครั้ง เขาเริ่มปรับตัวกับนิสัยของเฉินได้บ้างแล้ว แม้ว่าตอนนี้จะเกรงใจเฉินมากมายแค่ไหน หรือเฉินจะตีหน้าเข้มดุเขาเพียงใด
สิ่งหนึ่งที่เดลสัมผัสได้คือความจริงใจจากร่างสูงใหญ่คนนี้
“พี่ดื่มสักกล่องไหม?”
เดลหันไปถามขณะที่กำลังแกะนมแพ็กใหม่ที่วางอยู่เบาะหลังออก
“ไม่ล่ะ ไม่ชอบกินนม”
“อ้าว แล้วพี่จะซื้อมาทำไม เสียดายตังค์”
คำถามของเดลทำให้เฉินชะงักคิดเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจแล้วตอบออกไปเสียงแผ่ว
“พี่ซื้อมาให้ภภีม ภภีมกินข้าวไม่ตรงเวลากลัวเขาจะปวดท้อง พี่เลยซื้อติดรถเอาไว้ให้เขา”
“...”
เดลได้ยินดังนั้นก็ฉุกคิดเรื่องภภีมขึ้นมาได้ ทำให้เขานั่งดูดนมเงียบๆและไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่อ เพียงแต่อยากขอบคุณเฉินโดยการทำให้ลืมภภีมสักที ไม่สิ ทำให้เฉินยอมรับความจริงและรักษาใจตัวเองได้ คนกำลังเศร้า น่าจะต้องหาอะไรทำไม่ให้เหงา หากอยู่คนเดียวมากๆจะทำให้จมปักกับ
เรื่องเดิมๆ
“ผมว่า... ช่วงนี้พี่ให้ผมไปอยู่เป็นเพื่อนได้นะ วันไหนบ้านพี่รกบอกผมได้นะเดี๋ยวจะไปเก็บบ้านให้”
“ก็รกทุกวัน”
“เก็บครั้งหนึ่งก็จะไม่รกไปอีกหลายวันไงฮะ แต่ต้องจ้างนะ ผมต้องหาเงินพี่ก็รู้ เดี๋ยวค่ำๆผมต้องไปเป็นโฮสต์ต่อด้วย เบอร์ผมอยู่ในโทรศัพท์พี่
แล้วนะ ผมแอบบันทึกไว้กันพี่ชิ่งเงิน เวลาผมโทรไปทวงพี่จะได้รู้ว่าเป็นผม”
“งก”
ไม่นานรถของเฉินก็จอดสนิทอยู่หน้าตึกคณะบริหาร ภายในรั้วมหาวิทยาลัยอันกว้างขวาง
“พี่เฉินหิวข้าวไหมครับ รอแป๊บนึงนะ”
ไม่รอคำตอบของคำถาม ร่างเล็กก็รีบลงรถก่อนจะวิ่งเข้าร้านสะดวกซื้อใต้ตึกเพื่อหาซื้ออาหารมาให้ผู้มีพระคุณของเขาในวันนี้
คนแบบนั้นจะชอบกินอะไรนะ?
นั่นคือสิ่งแรกที่เดลคิดหลังจากก้าวเท้าเข้ามายังร้านสะดวกซื้อแล้วกวาดสายตามองไปทั่วร้าน ที่มั่นใจตอนนี้คือเฉินไม่ชอบดื่มนม งั้นก็เปลี่ยนเป็นกาแฟก็แล้วกัน อะไรร้อนๆอาจช่วยอาการแฮงค์ได้ ถึงแม้ว่าเฉินจะเก็บอาการทุกสิ่งอย่างไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งงันก็ตาม แต่กลไกร่างกายคนเรามันก็เหมือนๆกัน เมื่อคืนเมาหนักขนาดนั้น ตอนนี้อาจปวดหัวตุ้บๆอยู่ก็เป็นได้
กาแฟร้อน..
ข้าวต้ม..
เครื่องดื่มจำพวกวิตามิน..
สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในมือเล็กเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ข้าวต้มนี่เวฟด้วยนะครับ”
ทางด้านเฉินที่นั่งมองร่างเล็กวิ่งหายไปในร้านสะดวกซื้อเพียงไม่นานเดลก็วิ่งหน้าตั้งกลับมาหาเขาที่รถ โดยที่เฉินเปิดกระจกฝั่งคนขับรอการมาถึง
“เลิกเรียนกี่โมงเราน่ะ”
“สี่โมงฮะ อ่ะ อันนี้ข้าวต้มร้อนๆ ส่วนแก้วนี้เป็นกาแฟร้อนๆ อันนี้ดื่มแก้แฮงค์นะพี่ กินรองท้องไปก่อนนะ แล้วนี่พี่จะไปไหนรึเปล่า ไปทำธุระก็ได้นะครับผมเกรงใจถ้าพี่จะอยู่ที่นี่รอผมเรียนเสร็จ”
“นายไปเรียนได้แล้ว”
เฉินรับถุงจากมือเล็กมาก่อนจะเอ่ยปากไล่ให้เดลขึ้นไปเรียน เพราะตอนนี้จวนจะบ่ายสองเต็มทีแล้ว ตอบตามความจริงว่าการที่มาส่งเดลในวันนี้มันอดคิดถึงภภีมไม่ได้ เมื่อก่อนตอนภภีมเรียน เขาเองก็มาส่งและเฝ้า
ภภีมแบบนี้แหละ ส่วนตัวเฉินเรียนมหาวิทยาลัยไม่จบ ซิ่วมาหลายปีแล้ว ตอนนั้นคิดว่าเอาเวลาเรียนของตัวเองมาสนใจกับงานและใส่ใจภภีมมากขึ้นดีกว่า แต่ตอนนี้..ชักแอบเสียดายนิดๆที่เขาทิ้งโอกาสของตัวเองเพื่อคนอีกคนที่ไม่เคยเห็นความสำคัญของเขามากกว่าการเป็นลูกน้องเลยแม้แต่น้อย
____________________
15.00 น.
ก๊อกๆ
ขณะที่เฉินนอนเหยียดตัวอยู่บนเบาะรถฝั่งคนขับที่ถูกปรับเอนอยู่นั้น
ก็มีเสียงเคาะกระจกดังขึ้น เขาจึงละมือจากการเล่นมือถือแล้วลุกขึ้นมามอง
“ผมโดดเรียนมาฮะ เราไปโรงพยาบาลกันเถอะ”
“...”
ทันทีที่เลื่อนกระจกลง หน้าเรียวก็ยื่นเข้ามาพร้อมกับบอกว่าตัวเอง
โดดเรียนด้วยสีหน้าภาคภูมิใจซะเหลือเกิน ก่อนที่เดลจะเดินมาอีกฝั่งเพื่อเปิดประตูรถ ทว่าเฉินไม่ปลดล็อกประตูให้เพียงแต่เลื่อนกระจกฝั่งที่เดลยืนอยู่ลงเล็กน้อย
“พี่เฉิน เปิดประตูให้หน่อยฮะ”
“ไปเรียน!”
“ผมส่งงานเสร็จแล้ว ฝากเพื่อนเลคเชอร์ไว้ไม่เป็นไรหรอก”
“เสียนิสัย โดดเรียนทำไม นายขึ้นไปเรียนเดี๋ยวนี้”
“ก็เพื่อนเลคเชอร์ให้แล้วไง พี่ไม่เคยเรียนเหรอ ฝากเพื่อนทำให้ก็จบอ่ะ นี่ก็ไปธุระต่อไม่ได้ไปเที่ยวนี่”
“เออ! กูเรียนไม่จบไง!!”
เกิดความเงียบขึ้นทั้งสองฝ่าย แต่เฉินก็ยอมปลดล็อกประตูให้เดลขึ้นมานั่ง ร่างเล็กหน้าเจื่อนลงทันทีที่เผลอพูดไม่ดีใส่เฉิน
“พี่ ผมขอโทษนะฮะที่เมื่อกี้พูดแบบนั้น”
สองมือยกขึ้นไหว้ด้วยความรู้สึกผิดจริงๆ การที่เฉินมาเป็นธุระให้วันนี้
ก็ไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว และเขาดันมาพูดไม่เข้าหูมันยิ่งทำให้รู้สึกผิดขึ้นมาอีกเป็นเท่าตัว
“พี่ไม่มีสิทธิสั่งนายอยู่แล้ว เป็นแค่คนรู้จักกัน จะดีจะเลวก็ตัวนาย”
“โห...คือผม..”
“จะไปรับยาที่โรงพยาบาลไหนก็บอกทางมาแล้วกัน”
เฉินเปลี่ยนเรื่องพูดด้วยน้ำเสียงดุดันจนเห็นได้ชัด และสิ้นคำตอบของเดลที่บอกสถานที่นั้น บรรยากาศภายในรถช่างน่าอึดอัด เฉินก็เงียบ เดลก็ยิ่งไม่กล้าปริปากพูด มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศภายในรถเท่านั้นที่ทำลายความเงียบ
เดลจะไม่แคร์เฉินเลย หากเฉินไม่ให้ความช่วยเหลือเขาในวันนี้ เฉินไม่จำเป็นต้องมาส่งเขาไปเรียนหรือพาไปโรงพยาบาลก็ได้ มันไม่ใช่ธุระของเฉิน แต่เฉินมาเพราะอยากช่วย มันยิ่งทำให้เดลจำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกของ
ร่างสูง หากไม่มีเฉินวันนี้เขาคงไม่ได้มาเรียนซึ่งเขามีนัดส่งงานอาจารย์ สำหรับตัวเดลเอง เขาคงจะสละเรื่องส่วนตัวและเลือกเรื่องของป้าก่อน ต่อให้วันนี้ไม่มาส่งงานแล้วโดนอาจารย์สั่งซ่อมหรือโดนตัดคะแนนมันก็คงไม่สำคัญไปกว่าความผิดปกติของป้า
“เอ่อ...พี่เฉิน.. หายโกรธยังฮะ?”
ความร้อนใจทุกขณะที่รถเคลื่อนตัวไปข้างหน้าคือคนข้างกายจะทุเลาความโกรธที่เขาพูดจาไม่เข้าหูไปหรือยัง
“ไม่ได้โกรธ”
คำตอบเย็นยะเยือกของบอดี้การ์ดหนุ่มดังกังวานภายในรถ ยิ่งตอกย้ำความรู้สึกผิดให้คนตัวเล็กหน้าเจื่อนลงอีกเป็นครั้งที่สอง
ทว่า...เฉินคล้ายจะได้ใจเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ตนมาเป็นธุระให้สนใจเขา มันเป็นเรื่องน่าตลกที่ใครสักคนจะมานั่งแคร์ความรู้สึกกันโดยที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆ
“โอเค ไม่โกรธก็ไม่โกรธ วันนี้ผมจะเอาใจพี่ให้สุดๆไปเลย ซึ้งใจที่พี่ดีกับผม เพราะไม่รู้ต่อไปเราจะเจอกันอีกรึเปล่า”
“นายจะตายแล้วเหรอ”
“เอิ่ม...นี่มุกหรือกวนตีนอ่ะครับ”
เฉินแอบยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อกวนประสาทได้สำเร็จ แต่ยังคงรักษามาดนิ่งเอาไว้ได้เสมอต้นเสมอปลาย คนตัวเล็กจากที่เดาทางไม่ถูกว่าจะเข้าหาเฉินยังไง และเฉินเป็นคนยังไง วินาทีนี้ได้รู้แล้วว่าผู้ชายคนนี้มันร้ายเงียบ!
จากรถที่เคยเงียบเมื่อครู่แปรเปลี่ยนบรรยากาศมาเป็นทั้งสองพูดคุย
กันตลอดทาง ส่วนมากจะเป็นเดลที่คอยชวนคุย คอยเล่าอะไรให้เฉินฟัง
บอดี้การ์ดหนุ่มฟังเสียงเล็กพูดจ้อแจ้เพลินทำให้รถติดบนท้องถนนไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
จนเฉินลืมเรื่องราวมัวหมองในใจได้เป็นปลิดทิ้ง...
_______________________
AT HOSPITAL
ลำดับคิวรันไปตามที่มันควรจะเป็น มาก่อนได้พบคุณหมอก่อน มา
ทีหลังได้พบทีหลัง ในเคสของเดลเขาไม่จำเป็นต้องพาป้ามาก็ได้ เดลสามารถมารับยาให้ป้าได้ด้วยตนเองเพราะมีประวัติอยู่ที่นี่แล้ว เพียงเขาเล่าอาการดังกล่าวให้ฟัง หมอก็จัดยามาให้เหมือนเดิม ซึ่งอาการมันจะเป็นแบบนี้
ทุกครั้งไป ยาไม่สามารถทำให้ลืมเรื่องในอดีตได้ ทำได้เพียงบรรเทาอาการให้ทุเลาลงคล้ายว่าคอยกดประสาทให้ผ่อนคลาย เพราะหากเริ่มเครียดเมื่อไหร่ เรื่องราวเหล่านั้นมักจะกลับมาทำร้ายป้าเขาได้เสมอ เขาจึงจำเป็นต้องใช้ยา และต้องใช้เงิน
“คุณนดล เชิญรับยาช่องสี่ค่ะ”
ได้ยินเสียงคนเรียกชื่อตนแล้วคนตัวเล็กก็หูผึ่งหลังจากนั่งรอมานาน
“พี่เฉินๆ เขาเรียกผมแล้วฮะ”
ร่างสูงลุกขึ้นและเดินนำไปยังช่องรับยาที่สี่ตามเสียงเรียก ครั้งนี้หน้าที่จ่ายเงินมันเป็นหน้าที่ของเขา ชดใช้ที่เรียกเดลมาเจ็บตัวเมื่อคืน ว่าแต่..
“หัวนายเป็นยังไงบ้าง ไม่ให้หมอดูหน่อยเหรอ?”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ มันแห้งหมดแล้วแผลไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แค่นี้สบาย”
เดลยิ้มประกอบคำตอบเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ทั้งที่เวลาหันซ้ายขวาแรงๆอาจมีเจ็บที่แผลบ้าง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากเขาทำแผลก็ต้องเสียเงินเพิ่ม คนงกอย่างเดลยอมเจ็บตัวดีกว่า
“ตัวนี้ทานหลังอาหารนะคะ ส่วนสามตัวนี้ทานก่อนอาหาร ตัวนี้ทานก่อนนอนทำให้หลับสบาย ตัวสุดท้ายไว้ทานตอนตื่นนอน”
ร่างสูงฟังไม่ทัน ได้แต่มองตามมือของเจ้าหน้าที่ที่คอยเขียนหน้าซองยาแล้วอธิบายไปด้วย ทว่าเป็นเดลเองที่ยื่นหน้าเข้าไปตอบรับแทนคนที่ยืนเป็นคนแก่ทำตัวงกๆเงิ่นๆอยู่หน้าช่องรับยา
“ครับผม ทั้งหมดเท่าไรฮะ”
“ทั้งหมดสี่พันหนึ่งร้อยเจ็ดสิบบาทค่ะ”
เฉินควักเงินจ่ายค่ายาตามจำนวน ก่อนจะยื่นถุงยาให้เดลที่ยืนไหว้ขอบคุณเขาอยู่
“หิวข้าวว่ะ เดี๋ยวพี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วไปกินข้าวกัน”
“ครับ ผมก็หิวเหมือนกัน”
ร่างเล็กทิ้งตัวนั่งบนเก้าอี้มองแผ่นหลังกว้างของบอดี้การ์ดหนุ่มเดินไปยังห้องน้ำ ในใจนึกอยากขอบคุณให้มากกว่านี้อีก อยากจะเอาใจเฉินให้เฉินได้ยิ้มมีความสุขเวลาอยู่กับเขา คนจนอย่างเขานอกจากสร้างความสุขให้
คนอื่นก็ไม่มีหนทางไหนแล้วเพราะความสุขทางอื่นมักต้องใช้เงิน
ขณะที่เฉินทำธุระในห้องน้ำเสร็จก็ได้รับข้อความจากลูกน้องเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องจากภภีมกับหมอเมฆ ผู้ที่ดึงความสนใจของเฉินจนหมดสิ้น สองเท้าก้าวออกจากห้องน้ำอย่างมาดมั่นและเดินไปยังลานจอดรถทันทีโดยไม่สนใจเรื่องอื่นอีกเลย เพราะเรื่องคุณหนูของเขาสำคัญเป็นที่หนึ่งเสมอ
ต่างจากเดลที่ยังคงชะเง้อรอเฉินเดินมาหา นานนับชั่วโมงก็ยังไม่มีวี่แวว ด้านนอกฝนเริ่มตกหนักแล้วด้วยยิ่งกดดันให้เขาตัดสินใจลุกขึ้นและเดินไปตามเฉินในห้องน้ำ แต่ก็ไร้ซึ่งร่างสูงที่เขารอ
พี่เขาหายไปไหนนะ?
คำถามแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคือเฉินหายไปไหน ร่างบางไม่ลดละความพยายาม เขายังเดินออกมาชะเง้อหาเฉินไปรอบบริเวณ สองขาเล็กก้าวเดินตามหาเฉินจนทั่วแต่ก็ไม่พบ จนนึกขึ้นได้ว่าเขาเองมีเบอร์เฉินนี่นา คิดได้ดังนั้นจึงหยิบมือถือขึ้นมาโทรออกหาบอดี้การ์ดหนุ่มทันที
ตู๊ดดดด
ตู๊ดดดด
เสียงสัญญาณยังคงดังต่อไปจนสุดสายแต่ก็ไม่มีคนรับ
พี่เขาคงกลับไปแล้วมั้ง ใครจะเสียเวลาไปส่งคนที่ไม่รู้จักที่บ้าน แค่นี้ก็ลำบากเขาจะแย่อยู่แล้ว
แก้มป่องพู่ลมออกมาเมื่อเห็นสภาพฝนฟ้าด้านนอก จากตรงนี้ไปถึงหน้ารั้วโรงพยาบาลมันก็ไกลพอสมควร เขาต้องเดินไปขึ้นรถเมล์ตรงนั้น ครั้น
จะนั่งรอให้ฝนหยุดตกก่อนก็คงเสียเวลา
ที่นี่ฝนยังตกขนาดนี้ แล้วที่บ้านฝนจะตกหนักไหม ป้าจะตื่นรึยัง และจะทำอะไรอยู่ ผ้าที่ตากไว้ข้างนอกล่ะ ถ้าป้ายังไม่ตื่นคงเปียกหมดแน่
นิสัยที่ชอบนึกถึงคนอื่นมากกว่าตัวเองของเดลทำให้เขาก้าวเท้าออกไปจากตรงนี้ทันที โดยไม่ลืมที่จะนำห่อยาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงและออกตัววิ่งฝ่าสายฝนออกไป