CHAPTER 04-01
บอดี้การ์ดเลี้ยงต้อย I
นับสองสัปดาห์ที่เฉินเศร้าใจหลังจากที่รู้ว่าภภีมบินไปหาหมอเมฆถึงอเมริกา ระยะทางหลายพันไมล์ที่พวกเขาต้องห่างกันมันยิ่งตอกย้ำว่าเขาควรตัดใจจากภภีมสักที หาคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจคลายความเจ็บปวดไปสักระยะหนึ่งน่าจะเป็นทางออกที่ดี เพิ่งรู้ว่าคนเข้มแข็งอย่างเขาจะอยู่คนเดียวไม่ได้เมื่อมีปัญหา
พอได้อยู่คนเดียวก็คิดมาก คิดถึงแต่ภภีมซึ่งเป็นบุคคลต้องห้ามไป
ซะแล้ว ห้ามรัก ห้ามคิดถึง ห้ามคิดเกินเลย สภาพจิตใจเฉินย่ำแย่ขนาดนี้เขาจึงต้องการคนดูแลเป็นพิเศษ
ปิ๊งป่อง
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้นขณะที่เฉินกำลังนอนขดตัวอยู่บนโซฟาชั้นล่าง ร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นเดินออกมาเปิดประตูบ้านให้ด้วยสภาพเหมือนผีตายซากจนผู้มาเยือนแอบตกใจ แต่ก็พอเดาออกว่าที่เป็นแบบนี้คงเป็นเรื่องเดิมๆ
“สวัสดีฮะ ไม่เจอกันนาน พี่ผอมลงนะเนี่ย”
“เข้ามาก่อนสิ”
อยู่กับใครจะสบายใจเท่าโฮสต์ประจำตัวล่ะ จริงไหม?
ทันทีที่เดลก้าวเท้าเข้ามายังตัวบ้านเขาก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเฉินเรียกเขามาที่นี่ทำไม
“โห..บ้านโคตรรกเลย”
“อือ”
“พี่กินข้าวรึยัง”
“ยังเลย แล้วนี่เพิ่งเลิกเรียนเหรอ? ป้านายเป็นไงบ้าง”
เดลชะงักเล็กน้อยที่เฉินถามเรื่องส่วนตัวของเขา ไม่คิดว่าร่างสูงยังให้ความสนใจกับเรื่องพวกนี้อยู่ แต่ตอบไปก็ไม่ได้เสียหายอะไรในเมื่อเฉินรู้เรื่องครอบครัวเขาหลายอย่างแล้ว
“ป้าพอมียากินก็ปกติครับ ส่วนผมก็เรื่อยๆนะ กลางวันเรียน กลางคืนไปเป็นโฮสต์ แต่ช่วงนี้เจอแต่แขกงกๆว่ะพี่ ได้ทิปวันละสองสามร้อย บางวันไม่ได้ทิปสักบาทเลยก็มี ช็อตอยู่เหมือนกัน ดีนะที่พี่เรียกผมมาทำงานวันนี้
จะได้มีเงินจ่ายค่าหนังสือเรียนอาทิตย์หน้า”
เขาพูดเยอะตามประสาก่อนจะเดินเข้ามาในครัวเพื่อหาของทำอาหารให้ทั้งตัวเขาและเฉินกิน ซึ่งของที่เหลือค้างในตู้เย็นแบบยังไม่เสียก็คงมีแต่
ไข่ไก่ ส่วนผักและเนื้อนี่เน่าคาตู้เย็นแล้ว
สกปรกฉิบหาย อยู่ไปได้ยังไงวะ!
แอบสบถในใจแต่ก็ยังคงเก็บออกมาทิ้งถังขยะอย่างที่มันควรจะเป็น โดยไม่รู้เลยว่าทุกการกระทำอย่างคล่องแคล่วของเดลอยู่ในสายตาเจ้าของบ้านตลอดเวลา เฉินยืนมองร่างเล็กเหมือนกำลังคิดตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“มาอยู่ที่นี่ด้วยกันไหม?”
“ห้ะ?”
คำถามของเฉินทำให้ร่างเล็กหยุดการกระทำทุกสิ่งแล้วหันมามองด้วยความสงสัย เขาไม่ได้หูฝาด ในบ้านมันเงียบจนเขาได้ยินมันชัดทุกถ้อยคำเลยต่างหาก
“พี่จ้าง..มาอยู่เป็นเพื่อนพี่หน่อย”
“ไปกลับก็ได้ ผมเป็นห่วงป้า”
“ช่วงนี้พี่อยู่คนเดียวไม่ไหวว่ะ นายมาอยู่เป็นเพื่อนสักระยะหนึ่งได้ไหม จนกว่าพี่จะตัดใจจากเขาได้”
“พี่รักเขาขนาดนั้นอ่ะ เมื่อไหร่จะตัดใจได้ แล้วผมจะมากินนอนที่นี่
ได้ยังไง ป้าผมก็ต้องดูแล”
หมับ
เฉินเอื้อมมือไปจับต้นแขนเดลไว้ได้ทันเมื่อเห็นว่าเดลทำท่าจะหันหลังหนี ร่างสูงไม่ลดละความพยายาม เขาต้องการใครสักคนที่จะมาทำให้เขา
ตัดใจจากภภีมได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นเด็กคนนี้
“ทำให้พี่ตัดใจจากเขาสิ ยิ่งเร็วยิ่งดี”
“พี่เฉิน พี่ตั้งสติหน่อย ผมไม่เคยมีแฟนนะพี่ ผมไม่รู้หรอกว่าจะทำให้พี่ตัดใจจากเขายังไง”
“นายทำได้ นายพูดปลอบคนเก่ง ถ้านายอยู่ที่นี่ชีวิตความเป็นอยู่พี่ต้องดีขึ้น นายดูแลพี่ได้ พี่จ้างนายด้วย นายจะมีเงินไปเรียน มีเงินค่ายาป้าทุกเดือน มีพี่คอยไปรับไปส่งที่มหาลัยด้วย”
“คนนั้นของพี่ มีอิทธิพลต่อชีวิตพี่จังเลยนะครับ”
ใครสักคนจะยอมทำขนาดนี้เพื่อให้ลืมคนคนหนึ่ง คงรักมากจริงๆ เดลก็พอดูออกว่าเฉินพยายามจะทำให้ตัวเองไม่ว่างเพื่อไม่ให้คิดมากเรื่องเก่าๆ
“พี่มีเงิน และนายคงต้องการมัน”
“พี่กำลังเอาเงินมาล่อผมเหรอ”
คิดหนัก... เอาเงินมาล่อคนหน้าเงินอย่างเดลถามว่ามันได้ผลไหม? มันก็ได้ผลนะ ลำพังตัวเขาไม่มีปัญหาหรอก มีข้าวให้กิน มีที่ซุกหัวนอนก็อยู่ได้แล้ว แต่ป้าเขานี่สิ ทิ้งให้อยู่คนเดียวคงไม่ดี
“นายติดเรื่องอะไร?”
“ป้าผมไง ผมเป็นห่วง”
“ก็ไปกลับบ้านได้ แต่ก็อย่าทิ้งพี่อยู่คนเดียวนานๆ”
“คือผมก็สามารถกลับไปบ้านได้ แต่หลักๆคือต้องกินนอนกับพี่ที่นี่?”
“อือ”
จะว่าไปมันก็ดีทั้งสองฝ่าย เดลอยู่ที่นี่บ้านคงไม่รกและเฉินคงไม่ต้องอดมื้อกินมื้อเพราะตรอมใจ ส่วนเดลก็มีเงินใช้จ่ายมากกว่าเดิม แถมยังมีคนคอยรับส่งที่มหาลัยอีก สบายยิ่งกว่าสบาย
“เราสนิทกันพอที่จะอยู่ด้วยกันได้เหรอฮะ ดูพี่จะโลกส่วนตัวสูงมากเลย แล้วพี่ไม่ทำงานทำการเหรอถึงคอยรับส่งผมได้?”
“อย่าถามมากน่า รับงานนี้ก็พอ”
“ก็แล้วทำไมต้องเป็นผมล่ะ”
“ดูนายไว้ใจได้ไง สรุปก็ตกลงตามนี้แหละ”
ก่อนหน้านี้เฉินเคยคิดจะจ้างลูกน้องที่สนิทมาอยู่ด้วยแทน แต่มันคงจะไม่ดีสักเท่าไร คนอื่นจะได้เห็นเฉินในมาดของหัวหน้าบอดี้การ์ดมากกว่าอยู่บ้าน ไม่เคยมีใครเคยเห็นเฉินใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้นเลย ซึ่งคนที่เห็นเขาในแบบที่เป็นตัวเองที่สุดตอนนี้ก็คงเป็นเดล นี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกเด็กคนนี้
“ก็..อยู่ที่ว่าพี่จะจ้างผมเท่าไร”
“เงินจะจ่ายตอนจบงาน เดือนสองเดือนนี้คงดีขึ้นแต่เงินมันอาจไม่มาก
อย่างน้อย นายอยู่ที่นี่ก็แทบไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรให้เสีย มีแต่พี่ให้เงินนายไปเรียนและจ่ายค่ายาป้านายทุกเดือน แล้วต่อไปนี้ห้ามโดดเรียนอีกล่ะ”
คล้ายว่าเดลคงเสียอิสระไปบ้างนิดหน่อย แต่แลกกับความเป็นอยู่ก็คงไม่เสียหายอะไรนัก เดือนสองเดือนเอง งานสบาย ได้เงินดีเป็นใครจะไม่ทำล่ะ ถึงแม้งานนี้จะเกิดขึ้นมาเพราะความเหงาเป็นเหตุก็เถอะ
เมื่อเฉินกล่าวสรุปทุกอย่างเสร็จสรรพ เขาก็เดินกลับมานอนที่โซฟาอีกเช่นเคย ทางด้านคนตัวเล็กก็ง่วนอยู่ในครัวหลังจากที่กำลังนึ่งไข่ตุ๋นเขาจึงทำความสะอาดตู้เย็นไปพลางๆจนไข่ตุ๋นชามใหญ่และข้าวที่หุงจะสุก
กลิ่นหอมฟุ้งของไข่ตุ๋นสีเหลืองน่ากินเตะเข้าจมูกโด่งรั้นของคนที่นอนหมดอาลัยตายอยากอยู่ที่โซฟาให้หันมาสนใจคนตัวเล็กที่กำลังเดินถือชามดังกล่าวเข้ามาหา มือเล็กสวมถุงมือกันร้อนไว้ทั้งสองข้างโอบอุ้มชามไข่ตุ๋นที่ร้อนระอุมาเสิร์ฟให้เจ้าของบ้าน
“งานนี่เริ่มวันไหนเหรอพี่ แล้วผมจะบอกป้ายังไง”
“ตอนนี้นายก็เริ่มทำอยู่นี่ไง เริ่มตอนนี้เลยแล้วกัน จะบอกป้ายังไงก็เรื่องของนาย”
“ถ้าเริ่มงานตอนนี้ พี่ต้องไปหาซื้อของมาเข้าตู้เย็นบ้างนะ พรุ่งนี้จะ
อดตายเอา แล้วพรุ่งนี้ผมมีเรียนแต่เช้าด้วย เอ้อ ยังไงคืนนี้ผมก็ต้องกลับไปเอาเสื้อผ้าที่บ้าน แล้วค่อยบอกป้า”
“พี่ไม่อยากอยู่คนเดียว งั้นพี่ไปบอกป้านายด้วย”
“เห้ย อะไรของพี่เนี่ย”
เดลชักจะหัวเสียกับการพูดไม่รู้เรื่องของเฉิน จะว่าตื๊อก็ไม่ใช่ เอาแต่ใจก็ไม่เชิง ออกจะอ้อนหน่อยๆซึ่งขัดกับบุคลิกหน้าตาที่นิ่งๆนั่นเหลือเกิน
ตัวใหญ่ใจมดชะมัด ดันมากลัวการอยู่คนเดียวทั้งที่ก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอดไม่ใช่หรือไง ร่างบางได้เพียงบ่นในใจขณะที่เดินกลับมาตักข้าวใส่จานและเดิน
นำมาให้เฉินรวมถึงตัวเขาด้วย
“กับข้าวมีอย่างเดียวเหรอ”
“ก็ในตู้มีแต่ไข่อ่ะพี่ เลยทำไข่ตุ๋น จะทอดไข่ก็น้ำมันไม่มีอีก”
“แค่นี้กินสองคนจะอิ่มอะไร”
“ผมกินมาบ้างแล้ว นี่นั่งกินเป็นเพื่อนพี่เฉยๆ พี่กินไปเถอะ”
กว่าจะกล่อมให้กินข้าวได้จำเป็นต้องใช้สมองเยอะขนาดนี้เลยเหรอ เฉินเป็นคนที่เดลค่อนข้างจะรับมือยากซะแล้ว ร่างสูงเริ่มเผยนิสัยออกมาให้เห็นทีละนิด ใครจะไปคิดว่าคนดูนิ่งๆแบบนั้นจะเป็นคนจู้จี้จุกจิกแบบนี้
พวกเขาตกลงกันว่าหลังจากกินข้าวเสร็จจะไปส่งเดลเอาของที่บ้านและพูดคุยกับป้าของเดล หลังจากนั้นคงต้องซื้อของเข้าบ้านสักหน่อย ตามที่พ่อบ้านคนใหม่ร้องขอ
“ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวจะค่ำซะก่อน”
“ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าหน่อยเหรอพี่ ตัวนี้พี่นอนทับจนมันยับหมดแล้วนะ ล้างหน้าล้างตาหน่อยก็ดี ทำหน้าให้ดูมีชีวิตชีวาหน่อยสิพี่”
“ไม่มีเสื้อผ้าใส่ ไม่ได้ซัก”
“...” วันๆอยู่บ้านทำอะไรบ้างวะ แค่ซักเสื้อผ้าใส่เองยังไม่ทำเลย
“ถึงต้องจ้างนายไง พี่ไม่อยากทำอะไรเลย มันเหมือนไม่มีแรง”
“เพราะพี่มัวแต่คิดซ้ำไปซ้ำมาไงมันเลยบั่นทอนตัวเอง ช่างมันเถอะ เหงาก็คุยกับผมไหนๆก็จ้างมาละ ไปกันเถอะ”
เดลเป็นคนที่ค่อนข้างห่วงรูปลักษณ์ภายนอกและความสะอาดมาก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีเสื้อผ้าใส่มากนัก แต่เขาจะทำให้เสื้อราคาหลักร้อยดูแพงขึ้นมาได้เมื่อมันประดับอยู่บนตัวเขาโดยการแมตช์เสื้อผ้า จัดทรงผมให้ดูดีรับกับใบหน้าหวาน ไม่เคยใส่เสื้อผ้าซ้ำกันหลายวันเหมือนที่เฉินกำลังเป็น
ที่เฉินเป็นอยู่ตอนนี้น่ะเรียกว่าซกมกถึงจะถูก
บนรถสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเมื่อเดลเอื้อมมือไปเปิดวิทยุฟังเพลงเพื่อทำลายความเงียบ ซึ่งมันไม่ค่อยชินหูสำหรับเฉินเท่าไร โดยปกติขับรถไม่ค่อยได้เปิดเพลงฟังนอกเสียจากว่ารถจะติดมากๆจึงจะเปิดเพลงฟังฆ่าเวลา
แต่ที่รู้สึกแปลกหูคือเสียงของเดลที่ร้องเพลง เขาไม่เคยได้ยินใครร้องเพลงนอกจากภภีม มันเลยแปลกๆนิดหน่อยที่คนที่ร้องเพลงข้างเขาเป็นเดล เด็กที่เขาเพิ่งจ้างมาเป็นพ่อบ้านจำเป็น คอยอยู่ด้วยแก้เหงาชั่วคราวในยามที่หัวใจยังไม่แข็งแรง
“โห พี่จำทางไปบ้านผมได้ด้วยเหรอ? เก่งว่ะ”
“ก็พอจำได้”
ร่างบางเอ่ยปากชมเมื่อรถเลี้ยวเข้าปากซอยบ้านตัวเอง เมื่อรถจอดเทียบหน้าประตูรั้วก็เห็นว่าป้าเดินออกมาเก็บผ้าพอดีเดลจึงรีบลงไปช่วยพร้อมทั้งบอกเรื่องที่เขาจะไปอยู่ที่อื่นสักพัก
“ป้า เดี๋ยวช่วงนี้เดลต้องติวสอบนะ จะไปค้างบ้านอาจารย์เขาสักระยะจนกว่าการสอบจะผ่านไป”
“อาจารย์?”
“นั่นไง คนที่เคยมาซื้อเกาเหลาเรา”
เฉินที่เดินตามมาได้ยินบทบาทที่เดลยัดเยียดให้เป็นก็ชะงักเล็กน้อย
“เกรงใจเขา ไปกลับไม่ได้เหรอลูก”
“เอ่อ..คืออย่างนี้นะครับคุณป้า ผมเปิดติวสอบให้กลุ่มของเดลเค้า
น่ะครับ มีพวกเพื่อนๆเขาอีกที่มาอยู่ติวด้วยกันครั้งนี้”
ร่างสูงตีบทแตกซะจนเดลอึ้งไปเลย ทั้งน้ำเสียงจริงจัง ท่าทางดูขึงขังต่างจากก่อนหน้านี้ที่เหมือนซอมบี้เดินได้
“แล้วอย่างนี้ไม่เป็นการเอาเปรียบเด็กคนอื่นเหรอ? ทำไมถึงติวให้แค่เดลกับเพื่อนล่ะ?”
“ก็เดลกับเพื่อนโง่ไงป้า นี่พี่เขาเป็นอาจารย์พิเศษไม่ใช่สอนประจำที่มหาลัย สนิทกันกับกลุ่มเดล ก็รวมตังค์กันจ้างสอนน่ะป้า ไม่อยากตกวิชานี้หรอกมันยากจริงๆเลยต้องติว”
“เดลไม่เคยสอบตกนี่ลูก เรียนเก่งจะตาย”
คนเป็นป้ามองหลานชายด้วยความเป็นห่วงและเกรงใจหากต้องให้หลานไปกินนอนอยู่กับคนอื่น
“ยกเว้นวิชานี้น่ะสิป้า แต่เดลก็แว้บมาหาป้าได้นะ สัญญาว่าจะโทรหาทุกวันเลย ป้าอยู่คนเดียวได้ใช่ไหม?”
“โอ้ย ไม่ต้องห่วงป้าหรอก สบายมาก ตามใจเราแล้วกัน ไปอยู่กับเขาก็ดูแลตัวเองดีๆอย่าทำให้อาจารย์เขาลำบากใจล่ะ”
เฉินนั่งคุยกับป้าอยู่ที่โซฟากลางบ้านเพื่อรอเดลเก็บของ ผู้หญิงตรงหน้าดูใจดี พูดเก่ง ชวนเขาคุยเรื่องหลานชายสารพัดด้วยความภาคภูมิใจที่หลานของเขาเป็นเด็กดีมาโดยตลอด ร่างสูงไม่ค่อยกล้าตอบอะไรนักเกี่ยวกับการเรียนจึงได้แต่ชมถึงการตั้งใจเรียนของเดลอย่างที่ตัวป้าได้ปูพื้นเรื่องเอาไว้
ในเสี้ยวความทรงจำของเฉิน เขาจำภาพวันที่ป้านอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนโซฟาตัวที่เขานั่งได้ดี ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงอารมณ์ดีตรงหน้าเขาจะผ่านความเจ็บปวดเหล่านั้นมา ถ้าเปรียบเทียบกับตัวเขาเอง เรื่องราวของป้ามันหนักหนาสาหัสกว่าการอกหักระหว่างตัวเขากับภภีมเสียอีก เธอยังผ่านเรื่องราวทั้งหมดมาได้แล้วทำไมเขาจะทำไม่ได้ ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับเวลาสินะ ป้าของเดลยังมีหลานชายคอยดูแล แล้วถ้าเขาได้เดลไปดูแลตัวเขาเองก็น่าจะเป็นเรื่องดี มันตอกย้ำว่าเขาเลือกคนดูแลได้ถูกคน