จากวิมานหรูกลายเป็นวิมานรูหนูไปแล้ว...
“กรี๊ดดด! นี่มันบ้านคนหรือบ้านผีสิงเนี่ย! อีตุ๊กแกบ้า! อย่ามองหน้าฉันนะ!”
เสียงกรีดร้องระดับแปดหลอดของ ‘หนูอัญญา’ ดังลั่นสะท้านทุ่ง จนฝูงนกที่เกาะอยู่บนต้นมะขามแตกฮือบินหนีด้วยความตกใจ
หญิงสาวในชุดเดรสลูกไม้ราคาแพง (ที่ตอนนี้ยับยู่ยี่และเปื้อนฝุ่นแดง) ยืนตัวสั่นงันงกอยู่กลางห้องโถงของ บ้านพักคนงานหลังเก่า มือเรียวบางกำร่มกันยูวีแน่นราวกับเป็นอาวุธสงครามชิ้นสุดท้าย สายตาจดจ้องไปยังตุ๊กแกตัวลายพร้อยที่เกาะนิ่งอยู่บนขื่อคาน ส่งสายตาแป๋วแหววทักทายผู้มาเยือน
สภาพบ้านพักที่พ่อเลี้ยงหน้าขาวใจดำนั่นโยนกุญแจให้... บอกได้คำเดียวว่า ‘อนาถา’
พื้นไม้กระดานมีร่องห่างจนมองเห็นดินข้างล่าง ฝาผนังมีรูโหว่ให้ลมโกรก หรือให้ใครมาแอบดูได้สบายๆ ส่วนห้องน้ำ... โอ้โห อย่าให้บรรยาย เป็นสังกะสีล้อมคอกที่ตั้งอยู่แยกออกไปด้านนอก แถมไม่มีหลังคา! นี่ถ้าเธอแก้ผ้าอาบน้ำ เทวดาบนฟ้าคงได้เป็นตากุ้งยิงกันหมดสวรรค์!
“ฮึก... แม่นะแม่... ทำไมต้องส่งลูกมาตกระกำลำบากขนาดนี้ด้วย”
อัญภัทรทรุดตัวลงนั่งบนกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นมาคลอเบ้า อยากจะลากกระเป๋าเดินกลับออกไปโบกรถกลับกรุงเทพฯ เสียเดี๋ยวนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ทว่า... ภาพเหตุการณ์เมื่อสามวันก่อนก็แวบเข้ามาในหัวเหมือนฉายหนังซ้ำ เป็นเครื่องเตือนใจว่าทำไมเธอถึง ‘ถอยไม่ได้’
...
[ย้อนอดีต: 3 วันก่อน ณ สำนักซินแสเกียว]
“ดวงตก! ตกแบบดิ่งพสุธา! ตกแบบไม่มีร่มชูชีพ!”
เสียงแหลมสูงของซินแสเกียว ซินแสชื่อดังย่านห้วยขวาง ตวาดลั่นจนอัญภัทรสะดุ้งโหยง ไรขนอ่อนทั่วร่างลุกจนท่วมหัว
“หนูอัญญาเอ๊ย... ปีนี้หนูชงเต็มๆ ชงร้อยเปอร์เซ็นต์! การงานตกเกณฑ์พินาศ ความรักวิบัติ เห็นไหมแฟนก็ทิ้ง งานก็ไม่มีทำ แถมดีไม่ดีดวงอาจจะต้องเลือดตกยางออกก็ได้”
คำพูดนั้นแทงใจดำจนอัญภัทรหน้าเบ้ ใช่... เธอเพิ่งโดน ‘ไอ้พี่ท็อป’ แฟนหนุ่มรุ่นพี่บอกเลิกด้วยเหตุผลควายๆ ว่า เธอดีเกินไป แล้วหันไปคบกับน้องรหัสเฟรชชี่ใสๆ แทน
“แล้ว... แล้วหนูต้องทำยังไงคะซินแส?” เธอถามเสียงสั่น
แม่หมอหลับตาพริ้ม หยิบยันต์อะไรสักอย่างภาษาจีนใบสุดท้ายขึ้นมาดู ก่อนจะเบิกตาโพลง
“ต้องแก้เคล็ด! ภายในเดือนเมษานี้ เอ็งต้องเดินทางไปทิศอีสาน ไปหา ‘ดอกไม้มงคล’ ที่บานผิดฤดู... ดอกกระเจียวที่บานสู้แล้ง! ถ้าเอ็งหาเจอ แล้วได้อธิษฐานต่อหน้ามันนะ... เอ็งจะได้ผัวรวย! ผัวดี! ผัวระดับมหาเศรษฐีที่จะมาล้างซวยให้เอ็งได้!”
“แต่ถ้าเอ็งไม่ไป...” ซินแสหรี่ตาลง “เตรียมตัวเลือดตกยางออก และขึ้นคานนิรันดรได้เลย!”
“ร้ายแรงขนาดนั้นเลยเหรอคะ” อัญภัทรถามออกไปด้วยความตกใจ...แต่ทว่าซินแสก็ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ที่สำคัญฉันที่แอบไปพบซินแสลับ ๆ โทรกลับไปยืนยันกับแม่ จนทำให้ฉันได้ยืนเก้ออยู่ตรงบ้านคนงานผีสิงแบบนี้
[กลับมาสู่ปัจจุบัน]
อัญภัทรส่ายหัวไล่ภาพความทรงจำ ขนลุกซู่เมื่อนึกถึงคำว่า ‘ขึ้นคานนิรันดร’
“ไม่ได้! ยอมตายดีกว่ายอมขึ้นคาน! ไอ้พี่ท็อปมันต้องเสียดายฉัน ฉันต้องรวย ต้องมีผัวดีกว่ามัน!”
หญิงสาวฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้ง สายตาแห่งนักสู้ชีวิตลุกโชน แต่ชีวิตดันสู้กลับเมื่อสิ่งมีชีวิตบนหลังคาบ้านมองสบตาทักทายอย่างขนลุก
เธอปาดน้ำตา ลุกขึ้นยืนเท้าเอวประกาศสงครามกับตุ๊กแกบนเพดาน
“เอาสิ! แค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก! รอให้ฉันเจอไอ้ดอกกระเจียวบ้าบอนั่นก่อนเถอะ ฉันจะขอพรให้รวยล้นฟ้า แล้วจะจ้างรถแม็คโครมาไถบ้านรูหนูนี่ทิ้งซะ!”
~~~โครกคราก...~~~
เสียงท้องร้องคำรามดังแข่งกับเสียงจิ้งหรีดเรไร ความหึกเหิมเมื่อกี้หดหายไปในพริบตา ความหิวระดับวิกฤตเริ่มเล่นงาน เพราะตั้งแต่เช้าเธอมีแค่กาแฟแก้วเดียวตกถึงท้อง
“หิววว... หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้วเนี่ย”
เธอรื้อค้นกระเป๋าหวังจะหาขนมที่พกมา แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่า... ลืม! มัวแต่ห่วงเรื่องชุดสวยๆ จนลืมหยิบเสบียงมาด้วย!
“โอ๊ย...อีอัญญา...ลืมอะไรก็ลืมได้แต่อย่าลืมของกินไหมล่ะ!!!” เธอบ่นตัวเองแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ต้องจากมองไปยังที่ไกลลิบ ๆ กลับหลังคาสีน้ำตาที่ผสมผสานระหว่างภาคอีสานและล้านนาเอาไว้อย่างลงตัว จนอยากจะเจอคนออกแบบเสียจริง แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็นหลักในการแก้ปัญหาปากท้อง
ทางรอดเดียวคือ... ‘เรือนใหญ่’
บ้านไม้สักหลังงามบนเนินเขาที่รถกระบะพ่อเลี้ยงขับผ่านมาเมื่อกี้นี้ ที่นั่นต้องมีข้าว มีน้ำ และที่สำคัญ... มีเจ้าของบ้านหน้าขาวปากหมาคนนั้นอยู่
“เอาวะ ด้านได้อายอด! ไปขอกินมื้อเดียวไม่ถึงตายหรอกอัญภัทร สู้!”
เธอคว้ากระเป๋าสะพายใบเก่ง ที่ข้างในมีแค่ลิปสติกกับพาวเวอร์แบงค์ เดินออกจากบ้านพักคนงาน มุ่งหน้าฝ่าเปลวแดดยามบ่ายแก่ๆ เดินย้อนกลับไปตามทางลูกรังสีแดงมุ่งสู่เรือนใหญ่
บรรยากาศที่เรือนใหญ่เงียบสงบ ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ใหญ่ผิดกับโซนท้ายไร่ลิบลับ มีโรงจอดรถที่จอดเรียงรายไปด้วยรถไถ รถกระบะ และ... รถสปอร์ตหรูคันหนึ่งที่คลุมผ้าไว้
“โห... รวยจริงด้วยแฮะ” อัญภัทรตาลุกวาว นึกถึงคำทำนายเรื่อง ‘ผัวมหาเศรษฐี’ ขึ้นมาทันที
เธอก้าวเท้าเข้าไปในเขตบ้าน จมูกได้กลิ่นหอมๆ ของกาแฟคั่วบดลอยมาเตะจมูก กลิ่นนั้นนำทางเธอเดินอ้อมไปทางระเบียงไม้กว้างขวางด้านข้างตัวบ้าน
และที่นั่น... เธอก็เจอกับ ‘อาหารตา’ จานใหญ่เสิร์ฟร้อนๆ
พ่อเลี้ยงหมอกคราม กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวยาว มือข้างหนึ่งถือแก้วกาแฟควันฉุย อีกมือถือแท็บเล็ตเลื่อนดูข่าวหุ้นอย่างเคร่งเครียด
แต่สิ่งที่ทำให้อัญภัทรกลืนน้ำลายเอือก ไม่ใช่กาแฟ หรือแท็บเล็ตราคาแพง...
แต่เป็นเพราะตอนนี้... เขาไม่ได้ใส่เสื้อ!
ผิวขาวจัดจ้านกระทบแสงแดดยามบ่ายคล้อยจนแทบจะเรืองแสงได้ มัดกล้ามเนื้อแน่นตึงเรียงตัวสวยงามแบบคนออกกำลังกายหนัก หน้าท้องเป็นลอนคลื่น Six Pack ชัดเจนไร้ไขมันส่วนเกิน เม็ดเหงื่อใสๆ เกาะพราวอยู่ตามแผงอกกว้างและไรขนอ่อนๆ ที่ลากยาวหายเข้าไปในขอบกางเกงเลผ้าฝ้ายสีน้ำเงินเข้มที่ดูหมิ่นเหม่เสียเหลือเกิน
‘คุณพระช่วย... ขาวเจิดจ้าท้าแดดมากพ่อคุณเอ๊ยยย!’
อัญภัทรยืนอ้าปากค้าง ขาแข็งก้าวไม่ออก เหมือนโดนมนต์สะกดจากออร่าของพ่อเลี้ยงนั่น
‘โอ้โห...ขาวมากพ่อคุณเอ้ย...เมากล้ามมากให้ตายเถอะ’ อัญภัทรยกมือขึ้นปาดจมูกกลัวว่ากำเดาจะไหล ยิ่งไรขนอ่อนรำไรชวนในจินตนาการไปยังของที่อยู่ในร่มผ้า ทั้งยังหัวนมสีชมพูนั่นอีก...ตายเลย
ทันใดนั้น พ่อเลี้ยงหนุ่มก็ละสายตาจากแท็บเล็ต หันขวับมามองเธอด้วยสายตาดุ ๆ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันทีที่เห็นผู้บุกรุก
“ใครใช้ให้เดินทะเล่อทะล่าเข้ามา?” เสียงทุ้มต่ำทรงพลังถามขึ้น ทำเอาอัญภัทรสะดุ้งเฮือก
“เอ่อ... คือ...” เธอละสายตาจากหัวนมสีชมพูระเรื่อของเขาไม่ได้จริงๆ “คือหนู... หนูหิวข้าวค่ะ!”
หมอกครามวางแก้วกาแฟลงช้าๆ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวเดินเข้ามาหาเธอด้วยท่าทางคุกคาม เงาจากร่างสูงใหญ่บดบังร่างเล็ก ๆ ของเธอจนมิด
“หิวข้าว?” เขาทวนคำ มุมปากยกยิ้มร้ายกาจที่ดูอันตรายสุดๆ
“หิวข้าว... หรือหิว ‘อย่างอื่น’ กันแน่คุณอัญญา?”