ตอนที่ 1
กรุงเทพมหานครฯ
ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงหาเสียงเพื่อเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั่วประเทศไทยหลังจากที่ท่านนายกคนปัจจุบันหมดวาระไปก็ต้องเลือกตั้งท่านนายกคนใหม่ของประเทศและตัวแทนของแต่ละพรรคก็ออกหาเสียงกันทุกเขต หัวหน้าพรรคและคณะกรรมการบริหารพรรคต้องไปช่วยลูกพรรคหาเสียงและปราศรัยนโยบายของพรรคว่าจะพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชนยังไงปรับกลยุทธ์แข่งกับพรรคอื่นๆที่ต่างก็ระดมหาเสียงกันทุกวันและต้องเดินทางไปทุกจังหวัดในประเทศไทยที่สมาชิกของพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งของจังหวัดนั้นๆ
“วันพรุ่งนี้ท่านจะเดินทางไปจังหวัดอุตรดิตถ์มั้ยครับ” โกวิทคนสนิทของนายเตชทัช ภัทรกิจโภคินวัยห้าสิบแปดปีหัวหน้าพรรคมหาชนชาวไทยจะต้องไปช่วยลูกพรรคหาเสียงเพื่อสร้างขวัญกำลังใจ
“ไปสิโก้ะ นายเตรียมรถแล้วบอกเจ้าจุลด้วยนะ” นายเตชทัชบอกคนสนิทให้บอกลูกชายของเขาที่ลงสมัครรับเลือกตั้งส.สครั้งแรกเขตสามย่านและออกหาเสียงทุกวันตระกูลภัทรกิจโภคิน เป็นตระกูลเก่าแก่ที่เล่นการเมืองมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตาทวดจนมาถึงยุคของเตชทัชที่ลงเล่นการเมืองตามรอยพ่อและเขากำลังส่งเสริมลูกชายคนรองให้เจริญรอยตามส่วนลูกชายคนโตนั้นจัดการเรื่องธุรกิจค้าเหล็กและผลิตวัตถุดิบกลุ่มทองแดง ขดลวด ผลิต ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า สายไฟ หลอดไฟ ของครอบครัวที่มีมาเนิ่นนาน เตชทัชแต่งงานกับคุณปิยะมาศ ก้องเกียรติวานิชลูกสาวของนายอมร ก้องเกียรติวานิช ตอนนั้นตาของเธอเป็นนายกรัฐมนตรีและปริวัตร ภัทรกิจโภคินพ่อของเตชทัชเป็นส.ส.และนั่งตำแหน่งรองนายกจึงทำให้ทั้งสองพบรักกันกลางงานเลี้ยงของพรรคจึงได้คบหากันและเป็นที่พอใจของผู้ใหญ่ที่จะได้ดองกันในที่สุดก็ได้แต่งงานกันมีลูกสามคนเป็นชายสองคนผู้หญิงหนึ่งคน
“ครับท่าน” โกวิทรับคำสั่งของเจ้านายที่เขาติดตามมายี่ห้าสิบปีตั้งแต่เตชทัชเริ่มเล่นการเมืองจากนั้นมาเขาก็เป็นเงาตามตัวเจ้านายมาตลอดจนกระทั่งลูกชายคนโตวัยเดียวกับลูกชายเจ้านายได้เรียนโรงเรียนเดียวกันมหาลัยเดียวกันและยังไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยกันด้วยทุนที่เตชทัชสนับสนุนและยังเป็นเพื่อนกันทำให้ครอบครัวของเขาเคารพนับถือเตชทัชกับปิยมาศและจงรักภักดีกับครอบครัวภัทรกิจโภคิน
“งั้นกลับบ้านกันเถอะวันนี้เหนื่อยกันทั้งวัน” เตชทัชบอกคนสนิทแล้วทั้งสองก็ออกจากห้องทำงานที่สำนักงานของพรรคมหาชนชาวไทยที่อยู่ห่างจากบ้านประมาณสองกิโลเมตรติดกับตึกสูงสามสิบชั้นของบริษัทPPK อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)
เมื่อส่งเจ้านายถึงบ้านโกวิทก็หมดหน้าที่เพราะมีลูกน้องอีกสองคนที่เป็นบอดี้การ์ดและคนขับรถคอยดูแลเจ้านายที่บ้านเขาก็กลับบ้านที่อยู่ห่างไปสามซอย
“คุณโก้ะอย่าเพิ่งกลับนะคะ พอดีฉันทำคุกกี้เสร็จเมื่อกี้จะฝากไปให้ชิมหน่อยน่ะ ตุ้มไปหยิบคุกกี้ที่ฉันวางไว้บนโต้ะในครัวมาให้คุณวิทหน่อยสิ” วีราบอกเด็กในบ้านไปหยิบโหลคุกกี้ให้คนสนิทของสามี
“ค่ะคุณผู้หญิง” ตุ้มรับคำสั่งของคุณผู้หญิงของบ้านแล้วเดินไปหยิบโหลคุกกี้ใส่ถุงมาให้โกวิท
“ขอบคุณมากครับคุณเดียร์ ผมขอตัวนะครับท่าน คุณเดียร์” โกวิทรับโหลคุกกี้จากเด็กในบ้านของเจ้านายแล้วยกมือไหว้ขอบคุณและขอตัวกลับบ้าน
สองสามีภรรยามองตามโกวิทเดินออกไปจากบ้านแล้วหันมาคุยกันเรื่องที่ลูกชายคนกลางลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส.สมัยแรกจึงต้องลงพื้นที่หาเสียงมากกว่าทุกคนถึงแม้จะมีฐานเสียงที่ปู่และพ่อสร้างไว้ก็ต้องเข้าถึงประชาชนเพื่อรับรู้เรื่องเดือดร้อนของประชาชนในเขตรับผิดชอบของตัวเอง
“ผมว่าจะดึงนายเมฆมาเป็นผู้ช่วยนายจุลนะคุณเดียร์” เตชทัชปรึกษาภรรยาที่ลงพื้นที่ช่วยลูกชายหาเสียงเหมือนกัน
“ก็ดีเหมือนกันค่ะคุณ สองคนนี่เขารู้ใจกันดีแล้วตาจเจ็ทจะยอมเหรอคะ” ปิยมาศตอบสามีตอนนี้เมฆาทำงานที่บริษัทในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงของบริษัทหนึ่งในห้าของ PPK อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือเรียกย่อๆว่า พีเคเค กรุ๊ปฯ ซึ่งมี พรรษชล ภัทรกิจโภคิน หรือ เจ็ท ลูกชายคนโตวัย30ปีนั่งเก้าอี้ประธานบริษัทและสามารถบริหารงานทั้งหมดของ พีเคเค กรุ๊ปฯ และ นวพรรษ ภัทรกิจโภคิน หรือ จุล ลูกชายคนรองวัย28ปี เป็นรองประธานบริษัทและเพิ่งลาออกเมื่อต้นปีเพื่อมาลงสมัคร ส.ส.เจริญรอยตามปู่และพ่อส่วน นวพร ภัทรกิจโภคิน หรือ จุ๊บ ลูกสาวคนเล็กวัย 26ปีเพิ่งเรียนจบปริญญาโทจากประเทศอังกฤษกลับมาช่วยงานพี่ชายเมื่อต้นปีพอดีกับนวพรรษลาออกพอดี
“ก็ต้องลองถามทั้งนายเมฆก่อนว่าสนใจมั้ยถ้าไม่ผมก็ไม่บังคับ” เตชทัชแค่คิดไว้หากเมฆาไม่อยากเล่นการเมืองเขาก็ไม่ว่าแต่ต้องหาคนที่ไว้ใจได้ให้มาช่วยงานลูกชายตอนนี้ก็มีเลขาของนวพรรษสองคนที่ดึงมาช่วยงาน
“ดีค่ะคุณ แต่เดียร์ว่าตาเมฆไม่น่าจะชอบงานทางการเมืองนะคะ” ปิยมาศพูดถึงเมฆาที่เธอเห็นมาตั้งแต่เด็กและรักเหมือนลูกคนหนึ่ง
“ยะหู้,มีใครอยู่มั้ยค้าจุ๊บคนสวยกลับมาแล้วค่า” เสียงแหลมเล็กของนวพรดังมาก่อนตัวซึ่งเป็นเรื่องปกติของลูกสาวคนเล็กที่เสียงมาก่อนตัวเสมอ
“ทำไมสอนไม่จำนะลูกคนนี้ ตะโกนโหวกเหวกเสียงดังไม่มีความเป็นกุลสตรีเลยจริง” ปิยมาศบ่นลูกสาวที่นับวันจะห้าวเกินหญิงจนเธอกลัวว่าลูกสาวจะกลายพันธุ์เป็นทอมถ้าจริงเธอก็รับได้ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไรขอแค่เป็นคนดีก็พอ
“โธ่คุณแม่ขา จุ๊บก็เป็นของจุ๊บมาตั้งนานแล้วนะคะ จะให้ทำตัวเหมือนผ้าพับไว้ไม่ไหวหรอกค่ะ” นวพรตอบแม่แล้วนั่งลงกอดท่านอย่างออดอ้อน
“แล้วแบบนี้จะมีบ้านไหนเขาอยากได้ไปเป็นสะใภ้ล่ะลูก” ปิยมาศส่ายหน้าไปมาโอบกอดลูกสาวไว้อย่างแสนรัก
“ไม่มีใครอยากได้ก็ดีสิคุณเดียร์ ลูกสาวคนเดียวผมเลี้ยงได้” คนเป็นพ่อหวงลูกสาวไม่อยากให้ออกเรือนจนกว่าเขาจะเห็นว่าผู้ชายคนนั้นรักลูกสาวของเขาจริง
“ใช่ค่ะคุณพ่อ จุ๊บกลัวเจอผู้ชายเจ้าชู้เหมือนพี่เจ็ทพี่จุลค่ะ” น้องเล็กของบ้านเห็นพี่ชายทั้งสองเดินเข้ามาในห้องนั่งเล่นพร้อมกันจึงพูดพาดพิงถึงพี่ชายทั้งสอง
“น้อยๆหน่อยน้องรัก พี่ไม่ได้เจ้าชู้แค่มีหลายรักเท่านั้นเองนะครับ” พรรษชลนั่งลงข้างพ่อแล้วตอบน้องสาวที่ย่นจมูกใส่เขา
“พี่เปล่าเจ้าชู้นะยัยจุ๊บ ที่เป็นข่าวก็เพื่อนกันพี่น้องกันทั้งนั้น” นวพรรษตอบน้องสาวยิ้มๆเขาไม่เจ้าชู้เพราะทุกคนเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องท้องชนกันเท่านั้นอยู่ที่ความสมัครใจแลกเปลี่ยนความสุขกันและเขาก็เลือกคบทีละคน
“พี่น้องท้องชนกันเหรอค้าคุณพี่จุล หรือว่ามีตัวจริงแล้วคะ” คนเป็นน้องแซวพี่ชายเพราะตอนนี้คบกับไฮโซสาวคนดัง
“มีที่ไหนล่ะ”
“แหม,พี่จุลคะคบพี่มิ้งค์มานานแล้วไม่ใจอ่อนบ้างเหรอคะ คิกๆๆ” นวพรแซวพี่ชายแล้วหัวเราะ
“ไม่อ่ะ พี่กลัวฟ้าผ่า"
“ค่าพี่ชาย”
“แล้วเมื่อไหร่แม่จะได้อุ้มหลานล่ะลูก จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววเลยนะตาเจ็ท ตาจุล” ปิยมาศถามลูกชายทั้งสองที่ยังไม่มีแฟนมีแต่เพื่อน
“เอาไว้ผมมีแฟนเมื่อไหร่จะบอกคุณแม่เป็นคนแรกเลยครับ” พรรษชลยิ้มให้แม่เขายังไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานเลยในหัวมีแต่เรื่องงาน
“ผมก็เหมือนกันครับ เอาไว้สักสามสิบห้าค่อยคิดครับคุณแม่” เขายังมีอะไรให้ทำอีกมากมายหากถามว่าอยากเป็นส.ส.มั้ยเขาแค่อยากลองหาอะไรใหม่ๆทำยังไงเรื่องงานบริษัทเขาก็ไม่ได้ทิ้งไปเลยเพียงแต่แอบช่วยทำที่บ้านหากเขาได้เป็นส.ส.เขาก็พร้อมสละเวลาเพื่อรับใช้ประชาชนและช่วยเหลือเท่าที่เขาจะทำได้
“เฮ้อ, รู้อย่างนี้แม่มีลูกสักครึ่งโหลก็ดี” ปิยมาศถอนหายใจค้อนลูกชายทั้งสองและพูดประชด
“งั้นเรามาปั้มลูกกันอีกสามคนที่เหลือดีมั้ยคุณ..”
“ฮ่าๆ/ ฮ่าๆๆ /คิกๆๆ..”
“จะบ้าเหรอคุณอายุปูนนี้แล้วเดียร์จะเอาแรงที่ไหนคลอดลูกล่ะ” ปิยมาศค้อนสามีและลูกๆทั้งสามที่หัวเราะขำ
“สมัยนี้เขาผ่าคลอดกันแล้วครับคุณแม่ ว่าแต่คุณพ่อไหวเหรอครับ หุหุๆ..” นวพรรษล้อพ่อแล้วหัวเราะในคอ
“ชะช้า,แกดูถูกพ่อซะแล้วเจ้าจุลระดับพ่อแรงดีไม่มีตกโว้ย” คนเป็นพ่อคุยข่มลูกชาย
“จริงเหรอครับ ผมเห็นเดินไปไม่ถึงห้าร้อยเมตรก็หอบแล้วทำเป็นคุย” นวพรรษยังยั่วเย้าพ่ออย่างขำๆ
“ถ้าแม่แกไม่ทำหมันซะก่อนป่านนี้แกมีน้องเป็นโขยงแล้วไอ้ลูกชาย จริงมั้ยแม่” คนเป็นพ่อก็ไม่ยอมแพ้
“พอแล้วค่ะ แยกย้ายกันไปอาบน้ำแล้วลงมากินข้าวกันดีกว่าลูก คุณด้วยค่ะ” ปิยมาศบอกลูกๆและสามีก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้าไปในครัวเพื่อสั่งให้แม่ครัวจัดเตรียมอาหารเย็นสำหรับครอบครัว
“วันนี้เป็นยังไงบ้างลูก” เตชทัชถามลูกชายคนรองที่ออกพื้นที่หาเสียงกับลูกทีมเพราะเขาไปช่วยลูกพรรคอีกเขตหนึ่งหาเสียง
“ก็ดีครับชาวบ้านให้การต้อนรับดี วันนี้ผมเจอนายวัชระไปช่วยลูกพรรคหาเสียงด้วยครับ” นวพรรษตอบพ่อและเขาก็ไม่ได้สนใจว่าฝ่ายคู่แข่งจะเล่นนอกกติกาเพราะฐานเสียงเขตคลองสานตระกูลของเขามีฐานเสียงแน่นหนามาตั้งแต่สมัยปู่ย่ามาจนถึงทุกวันนี้
“การแข่งขันมันมีมาทุกยุคทุกสมัยอยู่ที่ใครจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้านช่วยเหลือพวกเขาอย่างจริงใจไม่ใช่ทำตอนที่หาเสียงพอได้เป็น ส.ส.แล้วก็หายหัวไปไม่มาดูดำดูดีชาวบ้านถึงจะซื้อเสียงชาวบ้านเขาก็รับเงินแต่ไม่เลือก จุลก็เข้าถึงชาวบ้านถามไถ่ถึงความเดือดร้อนของพวกเขาหากวันหนึ่งได้เป็น ส.ส. เราก็จะได้ช่วยเหลือได้ถูกถ้าหากพลาดเราก็ส่งต่ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลต่อได้” เตชทัชสอนลูกชายคนรองที่ยอมทำตามคำขอของเขาลงสมัคร ส.ส.เพราะลูกชายคนโตไม่สนใจเลย
“ครับพ่อ แล้ววันศุกร์นี้คุณพ่อจะให้ผมไปอุตรดิตถ์ด้วยมั้ยครับ” นวพรรษถามพ่อตอนนี้เขาก็ออกหาเสียงทุกวันและนักข่าวก็ตามทำข่าวของเขาเพราะเป็นผู้สมัครอายุน้อยและหน้าตาหล่อเหลาเป็นพระเอกได้สบายแต่เขาเลือกทำงานรับใช้ประชาชน
“พ่อกำลังจะบอกจุลพอดี ยังไงก็ไปช่วยลุงพุดเขาหน่อยนะลูก” เตชทัชบอกลูกชายให้ไปช่วยเพื่อนหาเสียงถึงแม้ว่าวุฒิพงษ์จะมีฐานเสียงแน่นแต่เขาเป็นหัวหน้าพรรคก็ต้องลงไปช่วยลูกพรรคหาเสียงและใช้ชื่อเสียงหน้าตาของลูกชายไปช่วยตอนนี้ข่าวของนวพรรษกำลังดังในโลกโซเซียลเพราะรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาฐานะร่ำรวยนามสกุลดังจึงได้รับความสนใจมากกว่าวัชระผู้สมัครส.ส.เขตเดียวกันซึ่งสองตระกูลเป็นคู่แข่งกันมาตลอดและทางเดชาวงค์จะแพ้ตลอดเช่นกันช่วงหลังจึงลงส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ยังไงก็ได้แน่นอนเพราะเป็นกรรมการพรรคและยังเป็นผู้สนับสนุนพรรค
“ครับพ่อ”
“อ่อ,เจ้าเจ็ทพ่อว่าจะให้นายเมฆมาทำงานกับเจ้าจุลลูกจะว่ายังไง”
“ผมไม่ว่าอะไรครับพ่อ อยู่ที่นายเมฆว่าอยากมาทำงานการเมืองหรือเปล่า” พรรษชลตอบผู้เป็นพ่อและเขาสามารถตอบแทนเมฆาได้เลยว่าหนุ่มรุ่นน้องไม่สนใจแน่นอน
“ผมว่าพ่อไม่ต้องไปถามมันหรอกครับ นายเมฆมันไม่ทำหรอกผมมีคุณป๋อกับคุณเดลก็พอแล้วครับ” นวพรรษบอกพ่อเขารู้ใจเพื่อนดีว่าไม่ชอบงานการมืองที่ไม่มีเวลาให้ครอบครัวเพราะพ่อของเมฆาเป็นคนสนิทพ่อของเขาซึ่งทำงานเพื่อประชาชนมาตลอดจนไม่มีเวลาให้ครอบครัวสำหรับเขาก็เห็นมาตั้งแต่จำความได้พอโตขึ้นก็รู้สึกเฉยๆ เขาจะตามปู่และพ่อไปหาเสียงบ่อยเพราะสนุกดีและไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะมาไล่เคาะประตูบ้านเกือบทุกหลังในเขตคลองสาน เขตบางกอกใหญ่ เขตธนบุรีเพื่อขอคะแนนเสียง
“งั้นพ่อจะหาคนดูแลเพิ่มให้สองคนละกันแล้วให้นายทีขับรถให้” เตชทัชบอกลูกชายเพราะการสมัครส.ส.ก็มีทั้งดีและไม่ดีบางคนก็คดโกงบางคนก็เล่นสกปรกเพื่อให้ฝ่ายตัวเองได้รับความนิยมเขาเป็นส.ส.มานานก็รู้ดีว่าต้องทำยังไงบ้างเพื่อป้องกันความปลอดภัยให้ตัวเองและลูกน้องส่วนมากเขาไม่ค่อยมีปัญหากระทบกับใครและเขาไว้ใจทวีปให้ตามดูแลลูกชายการที่ให้ทวีปขับรถมันมีเหตุผลเวลาไปหาเสียงก็ต้องจอดรถไว้หากไม่มีคนดูแลอาจจะมีคนไม่หวังดีมาทำอะไรกับรถก็ได้ฉะนั้นเขาจึงเลือกทวีปเป็นคนดูแลความปลอดภ้ยในการเดินทางของลูกชายเช่นเดียวกับเขาไว้ใจสุวิทย์พี่ชายของทวีปขับรถให้มายี่สิบกว่าปี
“ครับพ่อ” นวพรรษเข้าใจพ่อที่เป็นห่วงเขา
“งั้นไปอาบน้ำกันเถอะลูกวันนี้เหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว” เตชทัชบอกลูกชายทั้งสองแล้วขึ้นไปอาบน้ำลงมากินอาหารเย็นพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว
เวลา 07.00น.
นวพรรษตื่นตามปกติทุกวันก็มาก็วิ่งออกกำลังกายรอบบ้านก็เห็นปู่เดินออกมาจากบ้านเพื่อออกกำลังเช่นกันชายหนุ่มจึงหยุดรอท่าน
“มอร์นิ่งครับปู่”
“ตื่นเช้านะเจ้าจุล” มิตร ภัทรกิจโภคิน หรือปู่มิตรของหลานๆทักทายหลานชายคนรองที่ตื่นแต่เช้ามาออกกำลังกายทุกวัน
“ถ้าผมไม่ออกกำลังกายก็แย่สิครับปู่ วันหนึ่งเดินหาเสียงรวมกันได้หลายสิบกิโลเลยนะครับ” คนเป็นหลานตอบปู่แล้วเดินออกกำลังกายเป็นเพื่อนท่าน
“ดีแล้วล่ะ เราทำงานเพื่อสังคมและเพื่อประโยชน์ส่วนรวมในเมื่อเราสมัครใจช่วยเหลือชาวบ้านก็ต้องยอมเหนื่อยกว่าพวกเขา หากเราอยากใด้ใจของชาวบ้านเราต้องเอาความจริงใจแลกกับเขาช่วยเหลือเกื้อกูลพวกเขาด้วยความจริงใจพวกเขาก็จะเห็นความดีของเราเอง” คนเป็นปู่ผ่านเรื่องงานการเมืองมาเกือบทั้งชีวิตและเขาหยุดเล่นการเมืองตอนอายุเจ็ดสิบปีเพราะทำเต็มที่แล้วก่อนจะส่งไม้ต่อให้ลูกชายและเป็นผู้ให้การสนับสนุนและเป็นที่ปรึกษาให้ลูกชายและลูกพรรคที่ให้ความเคารพนับถือและอุดมการณ์เดียวกันแต่ก็มีบ้างที่มีความขัดแย้งในพรรคและพรรคแบ่งพวกกันแต่ก็คุยกันด้วยเหตุผลซื่งมันก็มีปัญหากันทุกพรรค
“ครับปู่..”
“สวัสดีค่ะคุณปู่” ยุวันดาหลานสาวคนโตของมิตรทักทายคุณปู่ของเธอผ่านรั้วตั้นไม้ที่แบ่งเขตบ้าน เธออายุรุ่นเดียวกับนวพรรษ
“จะไปทำงานแล้วเหรอแม่ยู่ยี่” ปู่มิตรเห็นหลานสาวแต่งตัวเรียบร้อยพร้อมไปทำงาน
“ค่ะคุณปู่ ก็มีคนลาออกแล้วงานก็มาตกที่ยี่หมดเลย และเช้านี้มีประชุมและนัดลูกค้าไว้ด้วยค่ะ” ยุวันดาพูดแล้วค้อนญาติหนุ่มที่อายุเท่ากันแต่นวพรรษแก่กว่าเธอไปห้าเดือน
“ฉันรู้ว่าเธอทำได้นะยี่” นวพรรษพูดกับญาติสาวที่แยกเขี้ยวใส่เขา
“ไม่ต้องมายอหรอกย่ะ ยี่ไปก่อนนะคะคุณปู่สวัสดีค่ะ” ยุวันดาพูดจบก็ยกมือไหว้ปู่ก่อนจะไปทำงาน
“จนป่านนี้แม่ยู่ยี่ก็ยังไม่มีแฟนแล้วเมื่อไหร่ปู่จะมีหลานกับเขาบ้างล่ะ” ปู่มิตรบ่นกับหลานชายที่หลานๆไม่มีใครมีแฟนเลยสักคนยิ่งหลานชายคนโตก็เอาแต่ทำงานคนรองก็บอกว่าขอทำหน้าที่ส.ส.ก่อน ส่วนที่เหลือก็บอกว่าขอทำงานก่อน ท่านเองก็แก่แล้วก็อยากมีเหลนเหมือนพวกเพื่อนๆบ้างจะได้ไม่เหงา
“ปู่ต้องไปบอกพี่เจ็ทครับ ผมไม่อยากแซงหน้าพี่ชายถ้าพี่เจ็ทแต่งงานเมื่อไหร่ผมจะหาแฟนครับ” เขายังไม่พร้อมจะมีครอบครัวจึงโยนไปให้พี่ชาย
“งั้นปู่อาจจะตายก่อนที่จะได้เลี้ยงเหลนน่ะสิ” ปู่มิตรพูดอย่างปลงๆเพราะลูกหลานยังไม่มีใครอยากแต่งงานสักคน
“ปู่แข็งแรงจะตายยังไงก็ได้เลี้ยงเหลนแน่นอนครับ ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่าเดี๋ยวจะไปที่พรรคสาย ฝากลุงเชียรด้วยนะครับ” นวพรรษบอกปู่และวิเชียรคนสนิทของท่านที่ออกกำลังกายกับเจ้านายทุกเช้า
“ครับคุณจุล” วิเชียรยิ้มให้หลานชายเจ้านาย
นวพรรษก็เดินกลับเข้าบ้านหลังใหญ่ที่ครอบครัวของเขาพักอาศัยอยู่เพราะพ่อเป็นลูกชายคนโตของบ้านและมีพี่สาวหนึ่งคนและน้องสาวหนึ่งคนซึ่งบ้านอยูติดกันฝั่งซ้ายเป็นบ้านของ เยาวเรศ หรือเยาว์ พี่สาวคนโตที่แต่งงานกับสุระ หิรัญวัฒน์ เจ้าของบริษัทน้ำผลไม้และส่งออกทั้งผลไม้สดและอบแห้งแปรรูปซึ่งตลาดหลักๆอยู่ที่จีนและโซนเอเชียทั้งหมดและขยายไปยุโรปและอเมริกามีลูกสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่งคนโตเป็นผู้หญิงคือ ยุวันดา หิรัญวัฒน์ หรือยู่ยี่ วัย28ปี จบปริญญาโทจากอังกฤษและเป็นผู้บริหารหฯในห้าบริษัทลูกของPPKอินเตอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และลูกชายคนเล็ก ภาสกร หิรัญวัฒน์ หรือภาส วัย26ปีเรียนจบปริญญาโทจากเมลเบิร์นที่เดียวกับนวพรรษและจบพร้อมกับนวพรกับวัชระลูกชายของอาสาวซึ่งอายุเท่ากันแค่แก่เดือนเท่านั้น
ฝั่งขวาเป็นบ้านของอภิสร น้องสาวคนเล็กที่แต่งงานกับ ดร.วิทูร วิระโชติ หนุ่มไฮโซตระกูลเก่าแก่ซึ่งเป็นตระกูลที่รับราชการมานมนานเป็นทูตกันทั้งตระกูลแต่วิทรูลือกเป็นอาจารย์สอนนักศึกษาในมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศมีลูกสองคนชายหนึ่งหญิงหนึ่งคนโตเป็นผู้ชาย วัชระ วีระโชติ หรือเต้นท์ วัย26ปี จบปริญญาโทจากอังกฤษพร้อมกับนวพรและภาสกรจึงมาทำงานพร้อมกัน คนเล็ก อนิมา วีระโชติ หรือตาล วัย22ปี กำลังเรียนอยู่ที่เมลเบิร์นประเทศออสเตรเลียที่เดียวกับนวพรรษ
“ดีนะครับที่คุณจุลยอมลงเล่นการเมืองไม่งั้นท่านอาจไม่มีทายาทสานงานต่อก็ได้ครับ” วิเชียรมองตามหลานชายของเจ้านายที่เห็นมาตั้งแต่เด็กทุกคนแต่ไม่มีใครอยากเล่นการเมืองรวมถึงนวพรรษแต่ชายหนุ่มเลือกทำตามความต้องการของปู่และพ่อเพราะพี่น้องทั้งหมดไม่มีใครอยากเล่นการเมืองสักคน
“ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจุลจะทำได้แค่ไหน ฉันก็ไม่อยากบังคับลูกหลานให้เขาสมัครใจกันเองหากวันหนึ่งนายจุลเปลี่ยนใจก็ฉันก็ไม่ว่า” ปู่มิตรตอบคนสนิทที่อยู่ด้วยกันมานานเขาไม่บังคับหากหลานชายจะเลิกเล่นการเมืองเขาอยากให้ลูกหลานมีความสุขใครอยากทำอะไรก็ได้ไม่จำเป็นต้องเล่นการเมือง
นวพรรษอาบน้ำแต่งตัวทะมัดทะแมงด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสอดชายเสื้อเข้าในกางเกงยีนส์สีเข้มแบรนด์ดังคาดเข็มขัดหัวโตโลโก้ตัวเอชพร้อมจะออกหาเสียงแต่ต้องเติมพลังก่อน
“มากินข้าวก่อนลูก “ปิยมาศบอกลูกชายแล้วลุกขึ้นตักข้าวต้มให้
“วันนี้พ่อจะไปช่วยเขตสิบเขตสิบเอ็ดหาเสียงก่อนนะจุล” เตชทัชบอกลูกชายเพราะเขาได้ไปช่วยหาเสียงมาแล้วสองครั้งจึงต้องไปช่วยลูกพรรคคนอื่นด้วย
“ครับคุณพ่อวันนี้เพื่อนผมจะมาช่วยครับ” นวพรรษบอกพ่อเพราะเพื่อนรักทั้งสองสละเวลามาช่วยเขาหาเสียงในวันนี้
“สามเสือร้ายมาเจอกันจุ๊บว่าวันนี้ตลาดแตกแน่ๆเลยค่ะ” นวพรแซวพี่ชายเพราะเพื่อนทั้งสองของเขานั้นหล่อล่ำกล้ามแน่นเพียบพร้อมด้วยชาติตระกูลและฐานะเป็นที่หมายปองของสาวๆทั่วประเทศฉายารูปหล่อใจดีรักเด็กชอบแจกทุนการศึกษาให้เด็กมหาลัย