ตอนที่ 1 แหลกสลาย
ตอนที่ 1 แหลกสลาย
วิ้ว~ วิ้ว~
เสียงหวีดหวิวของสายลมยามดึกที่พัดปะทะผิวกายในฤดูหนาว แต่กลับไม่สามารถดับความร้อนผ่าวที่กำลังก่อขึ้นในใจของหญิงสาวได้เลยแม้แต่น้อย แสงจากดวงจันทร์หรือดวงดาวก็แทบไม่ส่องสว่างให้เธอได้เห็นเลยสักนิด
จัสมินหญิงสาวที่มีชะตาแสนอาภัพมาตั้งแต่เกิด ครั้งหนึ่งเคยคิดว่าชีวิตของเธอกำลังมีความสุขไปได้ด้วยดี กำลังเจอผู้ชายที่เป็นที่รัก กำลังทำให้ครอบครัวที่เธอเฝ้าทะนุถนอมและหวงแหนได้มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ใครจะไปคาดคิดว่าสุดท้ายทุกอย่างก็พังทลายต่อหน้าเธอในพริบตา
ในวันที่เธอคิดว่าชีวิตของเธอไม่เหลืออะไรแล้ว สองเท้านั้นก็ได้เดินขึ้นไปยืนอยู่บนระเบียงชั้นสองของคฤหาสน์หรู น้ำตามากมายที่ไหลอาบแก้มสะท้อนกับแสงไฟภายในบ้านนั้น เปรียบเสมือนดั่งคมมีดที่บาดลึกลงไปในหัวใจของชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้า ยิ่งเมื่อเขาได้ยินเสียงสั่นพร่าที่หลุดออกมาจากริมฝีปากซีด ก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกราวกับถูกเข็มนับล้านทิ่มแทงที่อกข้างซ้าย
“หากคุณไม่เข้ามาในชีวิตของฉัน.. น้อง ๆ ของฉันก็คงไม่ตาย ตอนนี้คุณก็ได้ทุกอย่างไปจากฉันหมดแล้ว ฉันไม่เหลืออะไรจะให้คุณทำลายอีกแล้ว เมื่อไหร่คุณจะปล่อยฉันไปสักทีเหรอคะ.. คุณมาร์คัส”
คำพูดนั้นเหมือนคมมีดที่กดลงเข้าไปกลางหัวใจของเขา มีคำพูดมากมายที่เขาอยากจะบอกกับเธอ แต่ความผิดที่เขาได้ทำไว้นั้นก็ยิ่งตอกย้ำให้ชายหนุ่มได้แต่ยืนอยู่กับที่
“ผม..” เสียงของมาร์คัสที่พยายามจะเอ่ยคุยกับเธอช่างแผ่วเบา ก่อนจะขาดหายไปกลางอากาศ เขาไม่สามารถหาคำอธิบายหรือแก้ต่างในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ได้เลย
ดวงตากลมสวยที่เคยสดใส บัดนี้กลับเอ่อล้นไปด้วยหยดน้ำใส ๆ ก่อนจะกลายเป็นสายน้ำแห่งความเจ็บปวดจนดวงตาคู่นั้นแดงก่ำ เธอที่ยืนนิ่งอยู่นานตะคอกเขาทั้งน้ำตา จนเสียงหวานที่เคยสดใสนั้นดังลั่นไปด้วยความเจ็บปวดที่อัดอั้น
“ฉันสูญเสียคนในครอบครัวไปจนหมดแล้ว! ไม่เหลือเลยสักคน! แล้วทำไมฉันถึงต้องมีชีวิตอยู่อีก! ทำไมคุณถึงต้องช่วยฉันกลับมา! ฉันยังทรมานไม่พออีกเหรอ!!”
จัสมินร่ำไห้ฟูมฟายจนร่างกายสั่นสะท้านด้วยความโกรธและความสิ้นหวัง ก่อนที่มือข้างหนึ่งจะเอื้อมไปแตะราวระเบียงแล้วถอยหลังไปอีกก้าว แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้หัวใจของมาร์คัสหยุดเต้นไปชั่วขณะ
หลังจากที่เห็นท่าไม่ดีแล้ว สองเท้าของชายหนุ่มก็เร่งที่จะเข้าไปคว้าตัวของเธอเอาไว้ แต่เพียงแค่เขาก้าวเท้าไปเพียงไม่ถึงครึ่งก้าว เสียงเล็กแหลมของเจ้าตัวก็หวีดร้องขึ้นมาดังลั่น และเพราะคำพูดนั้นของเธอทำให้สองเท้าของมาร์คัสถึงกับต้องชะงักค้างราวกับถูกตอกตะปูตรึงเอาไว้ไม่มีผิด
“อย่าเข้ามานะ!!! อย่าเอามือของคุณมาแตะต้องตัวฉัน! ถ้าคุณเข้ามาอีกก้าวเดียว.. ฉันจะกระโดดลงไปแน่!”
เขาที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรสุดท้ายก็ได้แต่ยืนนิ่ง จ้องมองใบหน้าของเธอด้วยความรู้สึกเสียใจและขอโทษ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะแสดงสีหน้าเสียใจหรือขอโทษเธอสักเท่าไหร่ แต่ในสายตาของจัสมินแล้วมันกลับช่างดูไร้ค่าเสียเหลือเกิน
เธอยังคงก้าวเท้าถอยหลังไปอยู่อย่างนั้น ทำให้ความเครียดของเขาเริ่มมากขึ้นจนเส้นเลือดที่ขมับเต้นแรงแต่กลับหมดหนทาง เขารู้ดีว่าต่อให้พูดอะไรออกไปในเวลานี้จัสมินก็ไม่มีวันยอมฟัง เพราะว่าน้ำเสียงของเธอนั้นเต็มไปด้วยความรังเกียจและสิ้นหวังเกินกว่าจะรับฟังคำอธิบายจากเขาไปแล้ว
เสียงสะอื้นหนักหน่วงก้องสะท้อนอยู่ในหัวใจของเขาอย่างไม่มีทางลบเลือนไปได้ ก่อนที่จัสมินจะเงยหน้าขึ้นช้า ๆ ดวงตาแดงก่ำที่เปียกชื้นสบกับสายตาของมาร์คัสนิ่ง มันช่างเป็นแววตาที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง สูญเสีย ไม่ให้อภัย
ยิ่งเขามองเห็นดวงตานั้น หัวใจของเขาก็ยิ่งเจ็บแปลบจนแทบจะไม่สามารถหายใจได้ ก่อนที่เธอกัดริมฝีปากแน่น พร้อมกับเปล่งคำขอร้องออกมาด้วยเสียงสั่นพร่าอีกครั้ง
“ฉันขอร้องเถอะค่ะคุณมาร์คัส.. คุณช่วยปล่อยให้ฉันเป็นอิสระได้ไหม.. ฉันไม่สามารถอยู่กับคุณต่อไปได้จริง ๆ”
คำพูดที่เป็นประโยคขอร้องนั้นของเธอ ราวกับเป็นหินก้อนใหญ่ที่หล่นกระแทกลงบนหัวใจเขาอย่างจัง มาร์คัสมองภาพของหญิงสาวผู้เจ็บปวดที่สะท้อนในดวงตาของเขา ก่อนที่ภาพในวันวานที่แสนมีความสุขจะแทรกขึ้นในความทรงจำของเขาอีกครั้ง
8 เดือนก่อน
เสียงกระดิ่งเล็ก ๆ ดังกรุ๊งกริ๊งเมื่อประตูร้านสะดวกซื้อย่านชุมชนถูกผลักออก หญิงสาวในชุดพนักงานสีซีด ที่ผ่านการซักซ้ำแล้วซ้ำเล่าก้าวออกมาพร้อมกับถุงผ้าใบเล็ก เธอเงยหน้ามองท้องฟ้าอันมืดมิดที่มีแสงไฟนีออนจากตึกสูงสาดลงมาแทนหมู่ดาว แต่เพียงเท่านั้นก็ทำให้ดวงตาที่ดูเหนื่อยล้าสดชื่นขึ้นมาเล็กน้อย
“พี่.. หนูไปก่อนนะคะ”
เสียงใสของจัสมินเอ่ยบอกเพื่อนร่วมงานที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์คิดเงินในร้าน ก่อนที่จะได้ยินเสียงตอบกลับจากรุ่นพี่ที่เข้ากะต่อเอ่ยเสียงใสมาตามหลัง
“จ้า! เดินทางดี ๆ นะน้อง”
ทำให้หญิงสาวหันไปยกมุมปากขึ้นน้อย ๆ แล้วฉีกยิ้มหวานจนตาหยี ก่อนจะก้าวขาอย่างเร่งรีบออกจากร้านสะดวกซื้อที่เธอเพิ่งมาทำงานพาร์ทไทม์ได้ไม่กี่เดือน ถึงแม้ว่าที่นี่เธอจะต้องทำงานมากถึง 9 ชั่วโมงต่อวัน แต่ก็เป็นงานพาร์ทไทม์ที่เธอได้ทำแค่เฉพาะเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น
หลังจากที่เธอวิ่งออกจากร้านก็มุ่งหน้าไปที่วินมอเตอร์ไซค์ ก่อนจะเรียกใช้บริการกับพี่สาวขับวินที่รู้จักมักคุ้นกันดี เพื่อมุ่งหน้าตรงกับยังบ้านพัก
“น้องไม่สบายหรือเปล่า”
ทันทีที่เธอนั่งซ้อนท้ายวินมอเตอร์ไซค์มาได้ไม่นาน คนขับวินก็หันมาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง
“เปล่านะคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พอดีพี่เห็นหน้าน้องซีดมาก ถ้าไม่สบายก็พักผ่อนเยอะ ๆ นะน้อง”
“ขอบคุณมากนะพี่ แต่ไม่เป็นไรค่ะหนูสบายดี”
ถึงแม้จะเป็นความสัมพันธ์ที่รู้จักกันฉาบฉวย แต่ต้องบอกเลยว่าพี่วินมอเตอร์ไซค์คนนี้ค่อนข้างจะใจดีและน่ารักไม่น้อย เรียกได้ว่าทุกครั้งที่เธอมาทำงานหรือกลับบ้าน ก็จะเป็นพี่วินมอเตอร์ไซค์ผู้หญิงคนนี้ที่ไปรับไปส่งตลอด
ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง พี่วินก็ขับพาจัสมินมาจอดหน้าบ้านไม้โทรม ๆ ในซอยแคบ ๆ หลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วสองเท้าก็เดินเข้าไปในบ้านแทบจะทันที
เธอมองแสงไฟสีส้มอุ่น ๆ จากหลอดไฟเก่าหน้าประตู ก่อนจะหายใจเข้าออกลึก ๆ แล้วเตรียมฉีกยิ้มเอาไว้ ทันทีที่เธอเปิดประตูบ้านเข้าไปก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเจื้อยแจ้วของเด็กเล็กจนดังลั่น
“พี่จัสมินกลับมาแล้ว!”