ช่อขมิ้นจำต้องออกมาหาอาหารทานก่อนที่โรคกระเพาะจะกำเริบ ขาเรียวคู่งามเดินทอดน่องมายังโรงอาหารที่อยู่ชั้นล่างสุดของตึกสูง โดยมีฟ้าใสและดาวนิลนั่งอยู่ก่อนแล้ว
“เห็นม่ะ ต้องให้บอสจัดการแกถึงจะลงมา”
“เฮ้อ ว่าแล้วต้องเป็นฝีมือฟ้า”หล่อนลอบถอนหายใจออกมาเมื่อคนที่ฟ้องพี่วาตะคือฟ้าใสเพื่อนซี้สุดแสบของเธอ
“ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้แกดื้อ”เกือบทุกครั้งที่ช่อขมิ้นโหมงานไม่ลงมาพร้อมกับเพื่อนๆ ฟ้าใสเลยแอบกระซิบบอกบอสใหญ่ด้วยช่องทางไลน์ แล้วก็ได้ผลทุกรอบ
“ดาวว่า ฟ้าก็ทำถูกนะช่อ เวลาพักเที่ยงไม่ใช่ทำงาน”
“ก็งานมันเร่งไง”
“งานแกที่ไหนช่อ พี่นิดาก็อีกคน”
ฟ้าใสเอือมระอากับความใจดีของเพื่อนซี้ โดนเบียดเบียนยังไม่รู้ตัวอีก แม่พระเหลือเกินช่อขมิ้นคนนี้ บทสนทนาเงียบเพราะใกล้เวลาเข้างานรอบบ่าย
ฟ้าใสกับดาวนิลแยกตัวไปก่อน ปล่อยให้ช่อขมิ้นนั่งทานอาหารเพียงลำพัง เธอเลทได้เพราะวาตะเจ้านายสุดหล่อสั่งไว้ว่า ถ้ายังไม่หมดเวลาก็อย่าพึ่งขึ้นไป
ครืด ครืด
เสียงมือถือสั่นเรียกเข้าทำให้ช่อขมิ้นหยุดชะงักมือบางล้วงกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดู ริมฝีปากบางคลี่ออกจากกัน
(“คิดถึงช่อละสิ”)
(รู้ใจอีกแล้ว ดื้อใช่ไหมช่อ)
(“ใครฟ้องอะไรคะ ช่อเปล่าดื้อซะหน่อย”)
(ไม่มีครับ ช่อไม่อยากอยู่เฉยๆเหรอ)
(“ไม่ค่ะ ช่ออยากทำงานมากกว่า”)
(โอเคผมไม่รบเร้าแล้วก็ได้ งั้นตอนเย็นเจอกันนะ)
(“ค่ะ รักวายุนะคะ”)
คำว่ารักจากหญิงสาวทำชายหนุ่มยิ้มแก้มปริ เขาคิดถึงภรรยาเลยอยากได้ยินเสียงหวานๆจากเธอ พี่ชายเขาส่งข้อความมาบอกว่าช่อขมิ้นดื้อ ไม่ทานข้าวเที่ยงและนี่จึงเป็นเหตุผลรองมาจากความคิดถึงศรีภรรยา
เสียงเคาะประตูดังขึ้นชายหนุ่มจำต้องละจากหน้าจอ
“ทำไมไม่โทรหาผม”วายุกดปุ่มถามเลขาหน้าห้อง ไม่เข้าใจว่าจะเคาะประตูทำไม
“มีผู้หญิงมาขอพบบอสค่ะ”เลขาบอกเขาให้ทราบ หลังจากที่รู้แล้วว่ามีคนมาขอพบ
“เข้ามา”
เขาเอ่ยเสียงเรียบนิ่งตามนิสัยส่วนตัว ประตูถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างบางของหญิงสาวคนหนึ่ง กำลังสืบเท้าเข้ามาหาวายุด้วยรอยยิ้มที่ยั่วยวน ทว่า ชายหนุ่มกลับแสดงสีหน้าที่เรียบเฉยไร้ความรู้สึกของความตกใจ
“มาทำไม”อีกฝ่ายถึงกับหน้าเจื่อนรอยยิ้มยั่วยวนหุบลงอัตโนมัติ
“แหม เจอหน้าก็ทักแบบนี้เลยนะคะ”หญิงสาวตนนั้นมาหยุดยืนตรงหน้าวายุ หล่อนสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูหวาบหวิว ใบหน้าเรียวได้รูปริมฝีปากสีแดงสดกรีดยิ้มยั่วยวนอีกฝ่าย
“เราไม่ควรจะเจอกันอีก” วายุพูดเสียงแข็ง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายนั้นเชื่อฟัง หล่อนสืบเท้าเข้าไปหาวายุ สะโพกงามงอนหย่อนลงที่ตักของชายหนุ่ม สองแขนโอบรัดคอเขาเอาไว้แน่น
“แหมแต่งงานแล้วลืมกันเลยนะคะ” หล่อนพูดกระซิบชิดริมหูหนา วายุลอบถอนหายใจออกมาเฮือกโต หล่อนไม่เคยยอมรับความจริงเลยว่าตอนนี้เขาไม่ใช่ผู้ชายเพลย์บอยเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว
“ลุกออกจากตัวผมเดี๋ยวนี้” เขาพูดเสียงขรึมปนความไม่พอใจที่หล่อนบังอาจมาทำตัวราวกับเป็นเจ้าเข้าเจ้าของเขาในตอนนี้
“ไม่เอานะวายุ”นิ้วเรียวกรีดกรายบนใบหน้าสาก หล่อนจือปากอย่างเซ็กซี่หวังจะให้ชายหนุ่มนั้นจุมพิตที่ริมฝีปากของหล่อนเหมือนทุกครั้งที่หล่อนทำแบบนี้
“อย่ามาทำแบบนี้ผมมีเมียแล้ว”ดึงรั้งสองแขนให้ออกจากการโอบรัด จนหญิงสาวที่นั่งตรงตักหน้าเจื่อนและยอมจำนนลุกขึ้นออกจากตักแต่โดยดี
“คุณลืมเรื่องของเราแล้วจริงๆหรือคะวายุ”วายุไม่ฟังที่หล่อนนั้นพร่ำเพ้อรื้อฟื้นความทรงจำที่เป็นเพียงอดีต แต่กลับกดเบอร์ให้เลขาหน้าห้องนั้นเข้ามาด้านใน
“ว่าไงคะบอส”เลขาหน้าคมเอ่ยถามผู้เป็นนาย วายุไม่ตอบเพียงแต่ใช้สายตาเบนไปทางผู้หญิงคนนั้นซึ่งเลขาก็เข้าใจดีว่าเจ้านายสื่อถึงอะไร
“เชิญคุณออกจากห้องด้วยค่ะบอสจะทำงานต่อ” เลขาสาวผ่ายมือเชื้อเชิญให้หญิงสาวคนนั้นออกจากห้องทำงาน
“ไม่ต้องมาไล่ฉัน”หล่อนพูดจากระแทกลงน้ำหนักเสียงยังไม่พอใจที่ถูกกระทำอย่างนี้
“เชิญค่ะหรือจะให้ฉันเรียกรปภมาลากตัวคุณออกจากห้องนี้”เลขาสาวพูดขู่
“ยัยนั่นคงจะประจบเก่งใช่ไหม คุณถึงหลงมันขนาดนั้นบางครั้งฉันก็อดที่จะสงสารมันไม่ได้เลยนะคะที่ไม่รู้เลยว่าผัวของมันเนี่ย สารเลวแค่ไหน”คำพูดที่หลุดออกมาจากปากหญิงสาวตรงหน้าทำให้วายุกำมือเข้าหากันแน่น
“อย่ามายุ่งวุ่นวายกับชีวิตส่วนตัวของผมไม่อย่างนั้นเราได้เห็นดีกันแน่” วายุเองก็ไม่ยอมหรอกที่จะให้ผู้หญิงคนนี้มาทำลายสถาบันครอบครัวของเขา
“งั้นหรือคะ ฉันจะคอยดูความพินาศของครอบครัวคุณก็แล้วกัน”
หล่อนทิ้งระเบิดลูกสุดท้ายเอาไว้ก่อนที่จะสะบัดตูดเดินออกจากห้องไปด้วยใบหน้าที่ยิ้มร่า แต่ข้างในเธอมันร้อนดั่งไฟลน ในใจหล่อนพูดว่าเกลียดผู้หญิงคนนั้น ที่ได้แต่งงานกับวายุอดีตคู่ขาของเธอ
ครืด ครืด
มือถือเครื่องหรูที่สามีซื้อใหม่มันสั่นถี่ ช่อขมิ้นที่กำลังแก้ไขงานกองโต จำต้องวางปากกาในมือ เบอร์ที่โชว์นั้นหล่อนไม่รู้จัก
(“ช่อพูดสายค่ะ”)เสียงหวานเอ่ยทักทายปลายสาย
(ไอ้ช่อฉันเอง)ปลายสายบอกเสียงร่าแนะนำตัวว่าคือใคร ช่อขมิ้นคิ้วชนกันก่อนจะถามออกไปอีกครั้ง
(“โทษทีนะ เราจำชื่อเธอไม่ได้”)
(มันน่าน้อยใจจัง ใบบัวไงเพื่อนข้างบ้าน)
(“เอ๋ ใบบัวคนที่ชอบมาเล่นกับแมวเราใช่ไหม”)
(เออนั่นแหละ ออกมาเจอกันหน่อยไหม)
(“ตอนนี้เราทำงาน เป็นวันอื่นได้ไหม”)
(เดี๋ยวไปหาเอง ส่งโลเคชั่นมา)
(“เอางั้นเหรอ”)
ช่อขมิ้นอึกอักและลำบากใจไม่น้อยที่อยู่ๆเพื่อนเก่าสมัยอนุบาลติดต่อกลับมา เธอจำได้เพียงเสี้ยวหนึ่ง ว่าเคยมีเพื่อนอีกคน แถมยังอยู่ข้างบ้านสมัยอาศัยอยู่ต่างจังหวัด แต่มีเหตุที่ทำให้สองคนนั้นพรากกัน
เพราะอีกฝ่ายย้ายไปต่างประเทศตอนจบชั้นประถมศึกษาปีที่หกพอดี เธอถึงไม่ได้ข่าวคราวของเพื่อนคนนี้เป็นเวลาหลายสิบปี