แสงแดดยามเช้าส่องลอดม่านโปร่งของห้องพักหรูกลางเมืองเชียงใหม่ แต่ภายในห้องกลับเริ่มเคลื่อนไหวอย่างเงียบงัน ไลลาตื่นขึ้นในเสื้อคลุมของโรงแรม ผมยาวเปียกปลายเพราะเพิ่งล้างหน้าและอาบน้ำอย่างรีบเร่ง เธอเหลือบมองนาฬิกา ที่วางอยู่บนโต๊ะหัวเตียงก่อนจะเอ่ยเสียงแหบเบา
“คุณโปรด...ตื่นเถอะค่ะ ฉันต้องไปสนามบินแล้ว” เสียงของเธอเบาและแห้ง แต่มีน้ำเสียงของคนที่เพิ่งผ่านค่ำคืนที่วุ่นวายอย่างควบคุมไม่ได้ และเช้านี้เธอต้องรีบกลับกรุงเทพเพื่อเข้าคลาสสอนตอนบ่าย
คุณโปรดขยับตัวเล็กน้อย เขาลืมตาช้า ๆ อย่างคนที่ยังไม่เต็มตื่น แต่ไม่มีอาการงัวเงีย เขาพยักหน้าสั้น ๆ แทนคำตอบ ก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วเดินตรงไปหยิบผ้าเช็ดตัวโดยไม่พูดอะไร
ไลลาหันหลังกลับไปยังโต๊ะเครื่องแป้ง นั่งลงหน้าโต๊ะด้วยจังหวะรีบร้อนพร้อมคว้ารองพื้นขึ้นมาเกลี่ยอย่างรีบเร่ง ขณะที่เธอก้มหน้าก้มตาแต่งหน้าอยู่ เสียงซิปกระเป๋าเดินทางกลับดังเบา ๆ จากด้านหลัง
คุณโปรดที่เมื่อครู่ยังเพิ่งลุกจากเตียง บัดนี้กำลังนั่งยองอยู่หน้ากระเป๋าเดินทางของเธออย่างเงียบ ๆ มือหนาเรียงเสื้อผ้าให้เข้าที่ พับชุดที่วางเกลื่อนกลาดอย่างประณีตก่อนจะรูดซิปกระเป๋าให้เรียบร้อย ไลลาหันหน้าเล็กน้อยไปมองภาพนั้นผ่านกระจก เธอไม่พูดอะไร แต่รอยยิ้มบางเบาก็ปรากฏขึ้นอย่างห้ามไม่ได้ นี่มันอะไร คนแปลกหน้าที่เพิ่งรู้จักกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เพิ่งผ่านความสัมพันธ์ที่เธอไม่ควรหลงไปเกี่ยวพันด้วย แต่กลับกำลังนั่งจัดกระเป๋าให้เธอเหมือนเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่รู้จักกันมาเป็นปี เธอมองเขาในกระจกอย่างเงียบ ๆ แล้วเงยหน้ากลับไปแต่งหน้าต่อ
“เสื้อของคุณ แขวนไว้ในตู้ให้แล้วนะคะ” เธอพูดขึ้น พลางปัดแก้ม
“ครับ” เขาตอบแค่คำเดียว แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่หันกลับมา
ไม่นานนัก เสียงน้ำไหลจากฝักบัวก็ดังขึ้นข้างใน ขณะที่ไลลายังคงแต่งหน้าอย่างรีบเร่ง ปลายนิ้วสั่นนิดหน่อยเพราะเวลาบีบคั้น หัวใจก็เต้นไม่เป็นจังหวะเพราะไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เธอคว้า Chanel เบอร์ 5 มากดเบา ๆ หลังใบหู แล้วหันไปเช็คความเรียบร้อยของตัวเองหน้ากระจกอีกครั้งพอเขาออกมาจากห้องน้ำ
เขาอยู่ในเสื้อเชิ้ตแขนยาวตัวเดิมของเมื่อคืนแต่เรียบร้อยขึ้น รอยยับเหมือนถูกลูบเรียบด้วยไอน้ำจากห้องน้ำ เส้นผมเปียกหมาดยังไม่ทันแห้งสนิท เธอเก็บของทั้งหมดอย่างรวดเร็วแล้วลุกขึ้นยืน พวกเขาไม่พูดอะไรกันอีกเลยระหว่างเดินออกจากห้อง
แม้แต่คำว่า “แล้วเราจะเจอกันอีกไหม” ก็ไม่มีหลุดออกมาจากริมฝีปากใครสักคน ทุกอย่างสงบเกินกว่าความจริงของมัน แต่ในสายตาของไลลา ความนิ่งของเขาไม่ใช่ความเฉยชา มันคือความตั้งใจชนิดหนึ่งที่อันตราย เพราะต่อให้เธอจะดูเป็นฝ่ายควบคุมเกม แต่ลึก ๆ เธอกลับไม่แน่ใจเลยว่าเธอกำลังเป็นผู้เล่น หรือแค่เบี้ยตัวหนึ่งในกระดานของเขา
รถคันหรูสีเทาดำเงาวับแล่นออกจากโรงแรมตรงเข้าสู่ถนนใหญ่ในตัวเมืองเชียงใหม่ เช้าวันธรรมดา รถยังไม่ติดมาก แต่ในห้องโดยสารกลับเงียบจนได้ยินเสียงเพลงบรรเลงจากเครื่องเสียงอย่างชัดเจน
ไลลานั่งอยู่เบาะข้างคนขับในชุดกึ่งทางการ กางเกงขายาวสีครีม เสื้อเชิ้ตผ้าซาตินขาวปลดกระดุมคอเล็กน้อย ผมเปียกหมาด ๆ ถูกรวบขึ้นหลวม ๆ และใบหน้าที่แต่งเสร็จสมบูรณ์ ริมฝีปากแดงเข้มขยับช้า ๆ ขณะที่เธอพูดขึ้น
“เดี๋ยวถึงสนามบิน คุณแค่จอดตรงหน้าทางเข้าเลยก็พอ ฉันลากกระเป๋าเข้าไปเองค่ะ” เสียงเธอเรียบ แต่ชัดเจนเหมือนต้องการกำหนดระยะห่าง
คุณโปรดไม่ตอบ เขาเพียงพยักหน้าเบา ๆ สายตายังจับจ้องถนนเบื้องหน้าอย่างนิ่งเฉย ไม่นานนักรถก็ชะลอจอดหน้าอาคารผู้โดยสาร เขาดับเครื่องยนต์แล้วลงจากรถ เปิดท้ายรถ ยกกระเป๋าเดินทางของเธอลงมาวางข้างทางอย่างเงียบ ๆ ไลลาเปิดประตูลงมาตาม และกำลังจะเอื้อมไปหยิบกระเป๋าด้วยตัวเอง
“ขอบคุณนะคะ สำหรับ ทุกอย่างเมื่อคืนนี้ แล้วก็คืนก่อนด้วย” เธอพูดเสียงเบาแล้วก้มหน้าหลบสายตา ทันใดนั้นเอง มือของเขาก็คว้าแขนเธอไว้เบา ๆ แต่พอจะหยุดเธอให้หันกลับมา
“ถ้าคุณอยากลืมคนเก่าจริง ๆ” เขาพูดเสียงนิ่ง ไม่เร็วไม่ช้า แต่ชัดเจนจนลมหายใจเธอติดขัดไปหนึ่งจังหวะ “ให้กลับมาที่นี่อีกนะ แล้วติดต่อผมมาได้ตลอด” เขาพูดจบก่อนจะยื่นนามบัตรสีเทาเข้มที่เรียบหรู แต่พิมพ์ตัวอักษรนูนด้วยฟอยล์สีเงินลงในมือเธอ แล้วปล่อยมือเธออย่างสุภาพเหมือนเดิม
เขาไม่รอให้เธอตอบ ไม่รอดูว่าเธอจะทำอย่างไร เพียงเดินอ้อมกลับไปขึ้นรถ เปิดประตู นั่งเข้าไป แล้วขับออกไปทันทีอย่างไม่หันกลับ
ไลลายืนอยู่ตรงนั้น มองตามรถที่แล่นหายไปบนถนนสายหน้าอาคาร เธอกำมือรอบนามบัตรแน่นเหมือนกำลังบีบหัวใจตัวเอง ก่อนจะค่อย ๆ คลี่มันออกอ่าน ชื่อที่ปรากฏบนกระดาษเนื้อดีนั้นคือ ปราณต์ วิรงคพิทักษ์ ตำแหน่ง CEO บริษัทอสังหาริมทรัพย์และรีสอร์ตวิรงคพิทักษ์ เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ทว่า สิ่งที่ดึงความสนใจเธอไม่ใช่ชื่อตำแหน่ง แต่คือนามสกุล วิรงคพิทักษ์ นั่นทำให้เธอยืนนิ่ง
“มีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้...เลยเหรอ” เสียงในใจเธอถามเบา ๆ ขณะที่เธอยกกระเป๋าขึ้นแล้วเดินเข้าไปในอาคาร ทิ้งไว้เพียงกลิ่นหอมบาง ๆ ของน้ำหอมหลังใบหู และคำถามที่ยังไม่มีคำตอบในใจของทั้งสองคน
หนึ่งเดือนหลังจากกลับมาจากเชียงใหม่ โลกของไลลาก็กลายเป็นสิ่งที่เธอไม่รู้จักอีกต่อไป ความเงียบกลายเป็นเพื่อนสนิทของเธอในทุกเช้า เสียงแจ้งเตือนจากมือถือที่เคยดังตอนหกโมงเช้าเพื่อบอกว่าเขาส่งข้อความมา
กลับกลายเป็นหน้าจอที่นิ่งสนิทไม่มีใครเรียกหา ไม่มีคำว่า “ฝันดีนะ” ไม่มีเสียงโทรเข้าตอนตีหนึ่งว่า “คิดถึง” ไม่มีแม้แต่รอยยิ้มที่เคยเห็นทุกครั้งเวลา FaceTime กลายเป็นเพียงความว่างเปล่าที่ไม่รู้จะจัดวางหัวใจตัวเองไว้ตรงไหน
ไลลาผู้หญิงที่โตมาในบ้านหินอ่อนสี่ชั้นกลางสุขุมวิท ลูกสาวคนเล็กของตระกูลอัศวเกียรติ ตระกูลเก่าแก่ที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และการส่งออกระดับประเทศ เธอเติบโตมาในสังคมที่ความสมบูรณ์แบบ เป็นพื้นฐานของทุกสิ่ง
เสื้อผ้าของเธอไม่เคยซ้ำกันในหนึ่งสัปดาห์ กระเป๋าที่ใช้ในแต่ละวันถูกจัดเรียงในห้อง walk-in closet ขนาดยี่สิบห้าตารางเมตรที่มีแสงธรรมชาติส่องเข้าจากทุกมุม ทุกแบรนด์จากฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น เรียงตามโทนสีและฤดูกาลอย่างไม่มีที่ติ
บาริสต้าส่วนตัวที่บ้านจะชงกาแฟให้เธอทุกเช้าตามอุณหภูมิและความเข้มข้นที่เธอชอบ Flat White อุณหภูมิ 57 องศา เติมไซรัปวานิลลาแค่หนึ่งปั๊ม เพราะเธอเกลียดความหวานมากกว่าความขม แต่ทั้งหมดนั้นไม่มีอะไรช่วยเติมเต็มช่องว่างในหัวใจได้เลย ตั้งแต่วันที่ผู้ชายคนนั้นหายไปจากโลกของเธอ
วันเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว แต่หัวใจของเธอกลับยังไม่สามารถเคลื่อนตัวไปไหนได้ เธอย้ายออกจากคอนโดเก่า ที่ที่เธอกับเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากที่สุด ย้ายมาอยู่เพนต์เฮาส์หรูใจกลางทองหล่อที่แม่ซื้อให้เป็นของขวัญตอนเธอรับปริญญาเอก
เธอไม่อยากเห็นหมอนผืนนั้น โซฟาตัวนั้น หรือกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นที่เขาเลือกอีกต่อไป ห้องใหม่ไม่มีความทรงจำเดิม มีแต่ความเงียบใหม่ ๆ ที่เธอต้องทำความรู้จักทุกวัน และในทุกเช้า หลังจากแต่งหน้าอย่างไร้รอยยิ้ม สวมสูทของ Dior อย่างไร้ความมั่นใจ เธอก็จะนั่งอยู่หลังพวงมาลัยรถพอร์ชคันสีขาว แล้วขับตรงไปยังมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังย่านรังสิตที่เธอเป็นอาจารย์ประจำวิชาจิตวิทยาสังคม
ไลลาในห้องเรียนคือผู้หญิงอีกคนหนึ่ง เธอเฉียบคม ใจเย็น พูดน้อยแต่ลึก ทุกคำถามของนักศึกษาจะได้คำตอบที่มีชั้นเชิงอย่างที่สุด “ทำไมเราถึงยอมให้อดีตทำร้ายเราครับ?” หนึ่งในนักศึกษาถาม และไลลาก็ยิ้มเจื่อน ก่อนจะตอบว่า
“เพราะมันง่ายกว่าการยอมรับว่าเราเป็นคนเลือกมันเองตั้งแต่แรก” ไม่มีใครรู้เลยว่าคำตอบนั้น เธอไม่ได้ตอบให้นักศึกษาฟัง เธอตอบให้ตัวเองต่างหาก
เมื่อหมดคาบ เธอกลับขึ้นรถ นั่งเงียบ ๆ มองวิวผ่านกระจกแบบเดิม เปิดเพลงแบบเดิม และหยิบกล่องกำมะหยี่ใบเล็กที่ซ่อนไว้ในลิ้นชักหน้ารถขึ้นมาเปิดดูนาฬิกา Audemars Piguet ที่เขาเคยให้วันครบรอบปีที่เจ็ด ยังคงเดินอยู่ตรงเวลาทุกวินาที
“จะหยุดเดินบ้างได้ไหม…” เธอพูดกับมัน ก่อนจะปิดกล่องเก็บลงที่เดิมอย่างระมัดระวังแล้วเหยียบคันเร่งต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น