“นี่ตกลงเราคิดถูกหรือคิดผิดกันเนี่ยที่บอกพวกนั้นไปอย่างนั้น”
“หวังว่าเรื่องนี้มันคงจะไม่ดังไปถึงหูของไจโรหรอกนะ” ขณะที่ไมลีย์ โจนส์กำลังนอนอยู่บนเตียงของตัวเอง เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม เมื่อจู่ ๆ เขาก็รู้สึกกลัวเหลือเกินว่าการโกหกเล็ก ๆ น้อย ๆ ในครั้งนี้มันจะกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ให้กับเขาในอนาคต
“แฝดพวกนั้นคงจะไม่ถามไจโรหรอกใช่ไหม เพราะพวกนั้นไม่น่าจะรู้จักไจโรเป็นการส่วนตัวนี่” ไมลีย์พึมพำเสียงแผ่ว จากนั้นเขาก็ยกผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมทั้งหน้าของตัวเองเอาไว้ เพราะหวังจะให้ตัวเองหยุดคิดมากเร็ว ๆ ทั้งที่ไมลีย์เองก็รู้ดีว่าต่อให้เขาจะทำแบบนั้น ยังไงไมลีย์ก็ไม่สามารถสลัดความคิดมากเหล่านั้นออกไปได้อยู่ดี
แน่ล่ะ… เพราะเขาไม่ใช่คนโกหกเก่งอะไรเลย มิหนำซ้ำตลอดทั้งชีวิตที่ผ่านมาเขาก็โกหกนับครั้งได้ด้วยซ้ำ เนื่องจากไมลีย์เป็นคนที่ละอายต่อบาปเอามาก ๆ ต่อให้สถานการณ์ ณ ตอนนั้นมันจะบีบบังคับให้เขาทำแบบนั้น เขาจำเป็นต้องโกหกเพื่อไม่ให้ตัวเองถูกตบจนหน้าแหก ต่อให้เขาจะไม่ได้ตั้งใจที่อยากโกหกสามคนนั้น แต่ยังไงมันก็คือการโกหกอยู่ดี
โดยจุดเริ่มต้นที่ทำให้ไมลีย์ โจนส์ตกเป็นเหยื่อของสามแฝดนรกนั่นก็เป็นเพราะเขาเป็นเด็กทุนของมหาลัยอันทรงเกียรตินี้แหละมั้ง
ย้อนกลับไปเมื่อตอนปีหนึ่ง วันที่ไมลีย์ก้าวเท้าเข้ามาเรียนที่มหาลัยนี้เป็นครั้งแรกในฐานะเด็กทุนจากบ้านเอสพรีหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งคือบ้านแห่งสติปัญญา เขาจำได้ว่าตอนนั้นเขาตื่นเต้นเอามาก ๆ เนื่องจากมันเป็นสภาพแวดล้อมใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นผู้คนหรือสถานที่
ในตอนนั้นนักศึกษาปีหนึ่งด้วยกันต่างเป็นมิตรต่อกันเอามาก ๆ เนื่องจากต่างคนต่างไม่รู้จักเบื้องลึกเบื้องหลังของกันและกันมาก่อน
เขากับแฝดสามได้รู้จักกันจากการทำกิจกรรมรวมบ้านของเด็กปีหนึ่งที่ทางมหาลัยจัดขึ้น ทุกอย่างมันดูดีเอามาก ๆ เมื่อสภาพแวดล้อมของสถานศึกษานี้ค่อนข้างดีและเพื่อนก็ดีด้วย ทว่าพอเขากับทั้งสามแฝดเริ่มรู้จักกันมากขึ้น และพวกเธอก็ได้รู้ว่าไมลีย์ได้เข้ามาเรียนในสถานศึกษานี้ด้วยทุนของมหาลัยแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ นั่นก็ทำให้พวกเธอเปลี่ยนไปเสียดื้อ ๆ
ต่อให้ทุนการศึกษาที่ไมลีย์ได้มานั้นมันจะแลกมาจากความสามารถทางมันสมองของเขา ไมลีย์ไม่ได้ลุ้นชิงโชคหรือว่าเขาได้ทุนนี้มาฟรี ๆ ต่อให้มันจะเป็นแบบนั้น แต่ยังไงในสายตาของพวกเธอก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี แฝดนรกทั้งสามคนต่างมองว่าไมลีย์แตกต่างจากพวกเธอ เพียงเพราะว่าเขาไม่ได้จ่ายค่าเทอม
แล้วเพราะอย่างนั้นมันจึงมีการรังแกข่มเหงกันเกิดขึ้น ซึ่งมันก็น่าจะเป็นโชคร้ายของไมลีย์แหละมั้งที่เขาไม่ใช่คนสู้คน และก็ไม่ได้มีทักษะการเอาตัวรอดในชีวิตจริงด้วย
เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาชีวิตของเขาก็มีแต่นั่งจมอยู่กับกองหนังสือเท่านั้น ไม่เคยได้ออกไปใช้ชีวิตหรือเที่ยวเล่นเหมือนอย่างเพื่อนวัยเดียวกันเลย นั่นจึงทำให้เขาไม่รู้วิธีการรับมือกับพวกเฮงซวยแบบนี้
“หยุดคิดเรื่องนี้สักทีเถอะ!” ไมลีย์บ่นให้ตัวเองด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดใจ หลังตอนนี้เขาพยายามข่มตานอนได้เกือบชั่วโมงแล้ว แต่ไมลีย์ก็นอนไม่หลับเสียที มิหนำซ้ำเขายังไม่มีอาการสะลึมสะลือทำท่าว่าเหมือนจะหลับอีกด้วย
สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะลุกขึ้นจากเตียงขนาดสามจุดห้าฟุตในตอนตีสามของวัน เดินไปเปิดโคมไฟแล้วทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะอ่านหนังสือของตัวเอง ตั้งใจจะอ่านหนังสือและทำสรุปวิชาต่าง ๆ แทน เพื่อไม่ให้เวลาทั้งหมดสูญไปโดยเปล่าประโยชน์
ช่วงเที่ยงของวันต่อมา
“เมื่อวานนี้ที่ฉันลาป่วย มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ไม่นะ ทุกอย่างราบรื่นดี”
“พวกแฝดนรกนั่นไม่ได้รังแกนายใช่ไหม หรือว่านายยอมทำรายงานให้พวกนั้นอีก?”
“ไม่ เมื่อวานนี้ฉันได้ปฏิเสธไปอย่างจริงจังเลยล่ะว่าจะไม่ทำรายงานให้พวกนั้นอีกแล้ว” ไมลีย์บอกเพื่อนสนิทของตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่น หลังฮาร์วีเพื่อนรักและเป็นเพื่อนแท้เพียงหนึ่งเดียวของเขากำลังคาดคั้นเอาคำตอบที่จริงใจจากเขาให้ได้ เพียงเพราะอีกฝ่ายเกรงว่าไมลีย์จะยอมอ่อนข้อให้สามคนนั้นอีกครั้ง
เพราะมันก็เคยเป็นแบบนั้นมาโดยตลอด
“แล้วพวกนั้นว่ายังไงบ้าง ฉันพนันได้เลยว่าสามคนนั้นคงไม่ยอมง่าย ๆ แน่” ฮาร์วีซักไซ้ต่อ ขณะเดียวกันอีกฝ่ายก็หรี่สายตามองกันคล้ายต้องการจับผิด
“ใช่ ตอนนั้นพวกนั้นก็ไม่ยอมหรอก” ไมลีย์ตอบเพื่อนของตัวเองเสียงแผ่ว คิ้วของเขาเผลอย่นเข้าหากันเล็กน้อย เมื่อไมลีย์ไม่รู้ว่าเขาควรอธิบายเหตุการณ์เมื่อวานนี้ให้ฮาร์วีฟังยังไงดี
เขารู้แค่ว่าที่แน่ ๆ ไมลีย์จะไม่ยอมบอกเพื่อนรักของตัวเองเด็ดขาดว่าเมื่อเย็นวันก่อนเขาได้โกหกสามคนนั้นเอาไว้ว่าเขาเป็นคนรักของไจโร หนุ่มหล่อจากบ้านสิงโตผู้ที่ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวกำลังถูกไมลีย์แอบอ้างชื่อ
“เล่าเหตุการณ์เมื่อวานนี้มาให้หมดเลยนะ แล้วก็พูดให้ละเอียดด้วย” ฮาร์วีเอ่ยเสียงเข้ม ทำเอาคนที่โกหกไม่เก่ง และไม่กล้าโกหกถึงกับสะดุ้งโหยง
“ม—มันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายหรอก พวกนั้นก็ไม่ยอมฉัน ส่วนฉันเองก็ไม่ยอมเหมือนกัน ซึ่งพอพวกนั้นเห็นว่าครั้งนี้มันไม่เหมือนอย่างทุกครั้ง พวกนั้นก็ยอมปล่อยตัวฉันมา”
“มันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ” เพื่อนสนิทของไมลีย์ถามกันคล้ายกับอีกฝ่ายไม่อยากเชื่อคำพูดเขา
“ฉันพูดจริง ๆ นะ” ไมลีย์ยืนกรานกลับไปเสียงซื่อ นาทีเดียวกันเขาก็พยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อลดอาการประหม่าของตัวเอง
“ฉันว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก ต่อให้เมื่อวานนี้เหตุการณ์มันจะเป็นอย่างที่นายเล่ามาจริง ๆ ก็เถอะ แต่ยังไงพวกแฝดนรกนั่นคงไม่มีทางยอมปล่อยนายไปง่าย ๆ แน่ เพราะพวกนั้นมีเกรดที่สวยงามได้ก็เพราะนาย” ฮาร์วีแสดงความคิดเห็น ซึ่งไมลีย์เองก็คิดแบบเดียวกันกับเพื่อนเขาเ
สามคนนั้นคงไม่มีทางยอมปล่อยเขาไปอย่างง่าย ๆ แน่นอน
“ถ้าพวกนั้นพยายามข่มเหงฉันอีก ฉันก็จะปฏิเสธกลับไปเหมือนอย่างเมื่อวานนี้” ไมลีย์ตอบเพื่อนเสียงจริงจัง
“เฮ้อ… เพราะนายเป็นแบบนี้ยังไงล่ะไมลีย์ นายถึงได้โดนแฝดนรกพวกนั้นรังแกอยู่เรื่อย” ไม่รู้ว่าฮาร์วีกำลังคิดอะไรอยู่ อีกฝ่ายถึงได้บอกกลับมาแบบนั้นพร้อมยื่นมือมาลูบศีรษะกันเบา ๆ เหมือนต้องการให้ความเอ็นดู จากนั้นเจ้าตัวก็พูดต่อ
“พวกเราไปกินข้าวกันเถอะ”
“แต่ฉันจะไปกินข้าวที่โรงอาหารรวมนะ” ไมลีย์บอกกลับไป ทำเอาคนที่กำลังจะเดินนำไปยังห้องอาหารของบ้านเอสพรีถึงกับชะงักไปโดยพลัน เนื่องจากโดยปกติแล้วทั้งคู่มักจะกลับไปกินข้าวที่บ้านตัวเองมากกว่า เพื่อไม่ให้ไมลีย์ได้บังเอิญเจอแฝดนรกพวกนั้นที่มักจะไปกินข้าวที่โรงอาหารรวมที่นักศึกษาทุกบ้านสามารถเข้าไปใช้งานได้
“อะไรกัน ทำไมจู่ ๆ นายถึงจะไปกินที่นั่นล่ะ” อีกฝ่ายถามกลับมาอย่างไม่เข้าใจ
“ก็ฉันอยากกินอาหารเอเชีย และที่นั่นก็เป็นที่เดียวที่มีร้านอาหารเอเชียขายในราคาย่อมเยาว์” ไมลีย์บอกเหตุผลกลับไปตามตรง
“โอเค งั้นเราไปโรงอาหารรวมกันก็ได้”
“แต่ถ้านายอยากกลับไปกินข้าวที่บ้านเอสพรี นายจะไปเลยก็ได้นะ เพราะฉันสามารถไปที่นั่นคนเดียวได้” เพราะคิดว่าฮาร์วีน่าจะอยากกลับไปกินข้าวที่บ้านเอสพรีมากกว่าจะไปกินอาหารเอเชียด้วยกัน ไมลีย์จึงรีบพูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วนายจะให้ฉันปล่อยนายไปกินข้าวที่โรงอาหารรวมคนเดียวเหรอ นายไม่กลัวว่าตัวเองจะบังเอิญเจอพวกนั้นหรือไง” อีกฝ่ายถามกลับมา
“ฉันคิดว่าฉันคงจะไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอกมั้ง” ไมลีย์ตอบกลับไปเสียงแผ่ว เมื่อเขาเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกันว่าตัวเองเป็นคนโชคดีหรือเปล่า เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโชคดีแบบนั้นเลย
เพราะเขาเดาอะไรไม่เคยถูก ทายอะไรก็ไม่เคยแม่น
อ้อ… ยกเว้นตอนที่เขาได้อีเมลจากทางมหาลัยว่าเขาได้รับทุนการศึกษาจากที่นี่แบบเต็มจำนวนก็แล้วกัน เพราะตอนนั้นไมลีย์รู้สึกว่าเขาเป็นคนโชคดีสุด ๆ ไปเลย
“ถ้านายคิดว่าตัวเองจะไม่บังเอิญเจอพวกแฝดนรกที่นั่น งั้นเราก็แยกย้ายกันตรงนี้เลยก็ได้ เพราะฉันอยากกินอาหารที่บ้านเอสพรีมากกว่า” ฮาร์วีพูดความต้องการของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา ขณะที่ไมลีย์เองก็พยักหน้าให้อีกฝ่าย
“แต่ถ้านายบังเอิญเจอสามแฝดนรกนั่นก็รีบโทรมาหาฉันเลยนะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปหาทันที” ฮาร์วีพูดต่อ เพราะทุกครั้งเวลาที่ไมลีย์บังเอิญเจอสามคนนั้นทีไร ไม่ว่ามันจะเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจก็ตาม แต่มันก็ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่สามคนนั้นจะปล่อยไมลีย์ให้เดินผ่านพวกเธอไปอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่หาเรื่องเขา
“อืม ฉันจะรีบโทรหานายเลย” ไมลีย์รับปากเพื่อนสนิทโดยปราศจากความอิดออด และหลังจากที่ทั้งสองตกลงกันได้แบบนั้นแล้ว นาทีต่อมาเขากับฮาร์วีก็แยกย้ายทางใครทางมันทันที
เพราะมหาลัยแห่งนี้มีนักศึกษาค่อนข้างเยอะ มันจึงมีโรงอาหารรวมไปถึงร้านอาหารหลายแห่งตั้งอยู่ทั่วมหาลัย เพื่อลดความแออัดลง
ซึ่งร้านอาหารต่าง ๆ ที่ตั้งขายอยู่ในมหาลัยก็จะเป็นราคาทั่วไปที่ขายอยู่นอกสถานศึกษา ส่วนโรงอาหารที่มีอยู่ในแต่ละบ้านก็จะไม่มีค่าใช้จ่าย เนื่องจากค่าอาหารได้รวมกับค่าเทอมไปแล้ว และที่สุดท้ายที่เป็นโรงอาหารรวมที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อให้นักศึกษาจากทุกบ้านสามารถเข้าใช้บริการได้ก็จะมีราคาย่อมเยาว์ มีอาหารที่ค่อนข้างหลากหลาย แต่มันก็ต้องแลกมากับความวุ่นวาย ทว่าถึงแม้มันจะเป็นแบบนั้นแต่ไมลีย์ก็ยังชอบที่จะไปกินข้าวที่โรงอาหารรวมมากกว่าอยู่ดี
เขาชอบกินที่นั่นจริง ๆ แต่เพราะแฝดสามก็ชอบไปใช้บริการที่นั่นเหมือนกัน ไมลีย์จึงต้องเปลี่ยนสถานที่มากินที่โรงอาหารประจำบ้านแทน เพราะคนนอกอย่างพวกเธอที่อยู่คนละบ้านกับเขาไม่สามารถเข้ามาใช้บริการได้
“สงสัยเราเป็นคนโชคร้ายจริง ๆ สินะ” หลังไมลีย์เดินทางมาถึงโรงอาหารรวมและเขาก็ได้อาหารเกาหลีที่เป็นจัมปงรสเผ็ดมาแล้ว ขณะที่เขากำลังเดินหาที่นั่งที่ดีที่สุด เพื่อที่ตัวเองจะได้นั่งกินข้าวเที่ยงได้อย่างสบายใจ เขาก็ต้องพูดขึ้นเสียงแผ่วเมื่อสายตาของเขาดันเหลือบไปเห็นกลุ่มนั้นเข้าพอดี
ซึ่งพวกเธอเองก็มองเห็นเขาเช่นกัน
โดยในวินาทีที่เขากับพวกเธอได้สบตากันอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไมลีย์ก็มีอาการสะดุ้งเล็กน้อยตามประสาคนขี้ตกใจ ก่อนที่เขาจะรีบกวาดสายตามองหาทางหลบหนีให้ตัวเอง
ไมลีย์เสียเวลามองหาที่ว่างที่พอจะเข้าตาเขาอยู่นานหลายวินาที ซึ่งพอเขาเจอที่ ๆ เหมาะสมแล้ว เขาก็รีบเดินถือถาดอาหารไปทิ้งตัวนั่งทันที
ปัง! นั่นเป็นเสียงตอนที่ถาดอาหารของไมลีย์กระทบกับโต๊ะ และเสียงนั้นมันก็ดังมากพอที่จะทำให้นักศึกษาคนอื่นที่นั่งทานข้าวอยู่ในบริเวณเดียวกันมองมาทางเขาอย่างให้ความสนใจ
“ข—ขอโทษครับ” เพียงแค่คิดได้ว่าตัวเองเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นตกใจ ไมลีย์ก็รีบกล่าวขอโทษและผงกหัวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะทิ้งตัวนั่ง ไม่ยอมหันมองรอบ ๆ ตัว เหตุเพราะเขากลัวว่าตัวเองจะได้สบตากับหนึ่งในสามคนนั้นอีก
“เฮ้… นี่นายไม่ดูหน่อยเหรอว่าโต๊ะนี้มีคนนั่งแล้ว” ทว่ายังไม่ทันที่ไมลีย์จะได้ลงมือจัดการอาหารตรงหน้าของตัวเอง ทันใดนั้นเสียงหนึ่งที่น่าจะพูดกับเขาก็ดังขึ้นพอดี นั่นจึงทำให้เขาต้องเงยหน้าไปมอง
เพื่อที่จะได้พบว่าเขามาทิ้งตัวนั่งโต๊ะเดียวกันกับเพื่อนของไจโร และไจโรที่นั่งตรงนี้อยู่ก่อนแล้วก็กำลังนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาด้วย