เวลาต่อมาหลังจากที่ไมลีย์เดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเองแล้ว โทรศัพท์ส่วนตัวที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของเขาก็เริ่มสั่นเบา ๆ อย่างได้จังหวะ เมื่อแม่ของเขาชอบโทรมาหากันในเวลาเดิมเป็นประจำ เพราะเธอจะใช้ช่วงเวลาที่เธอเพิ่งเลิกงานและกำลังเดินทางกลับบ้านในการโทรมาหาไมลีย์ เพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเขาเสมอ เพราะเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ
“สวัสดีครับ” ทันทีที่กดรับสายแม่ของตัวเองแล้ว ไมลีย์ก็กล่าวทักทายเธอก่อนด้วยน้ำเสียงสดใสเหมือนอย่างทุกครั้ง
[ฮัลโหล ไมลีย์นี่ลูกกำลังทำอะไรอยู่น่ะ] แม่ถามกลับมา
“ผมเพิ่งกลับมาถึงห้องเมื่อกี้เลยครับ” ไมลีย์ตอบไปตามตรง นาทีเดียวกันเขาก็เดินไปทิ้งตัวนั่งที่เตียงนอนของตัวเอง
“แล้วแม่ล่ะครับ ตอนนี้แม่กำลังทำอะไรอยู่”
[แม่กำลังเดินกลับบ้านเราจ้ะ] แม่ตอบกลับมา จากนั้นเธอก็ยิงคำถามใหม่มาให้กัน
[วันนี้ที่มหาลัยเป็นยังไงบ้าง เพื่อน ๆ ของลูกเขาดีกับลูกหรือเปล่า]
“แน่นอนสิครับ เพื่อนผมดีกับผมทุกคนเลย” ไมลีย์ยังคงตอบด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วเหมือนเคย ทว่าแววตาของเขากลับหม่นลงอย่างเห็นได้ชัด หลังมันเป็นอีกครั้งที่ไมลีย์ต้องโกหกแม่ของตัวเอง เพื่อให้เธอสบายใจ
ก็แน่ล่ะ… แล้วใครจะกล้าบอกแม่ของตัวเองว่าถูกรังแกทุกวันกัน เพราะใคร ๆ ก็ไม่กล้าทำให้คนในครอบครัวไม่สบายใจอยู่แล้ว
[แล้ววันนี้ลูกทำอะไรบ้าง เหนื่อยหรือเปล่า]
“ไม่ครับ วันนี้ผมไม่เหนื่อยเลย… อ้อ วันนี้มื้อเที่ยงผมไปกินจัมปงที่โรงอาหารรวมมาด้วยครับ อร่อยสุด ๆ ไปเลย” ไมลีย์โม้ให้แม่ของตัวเองฟังพลางหวนนึกไปถึงอาหารเอเชียที่เขากินเป็นมื้อเที่ยงวันนี้ แม้ตอนนั้นไมลีย์จะต้องรีบกินรีบเสร็จ และเขาก็ไม่มีเวลามานั่งพิจารณารสชาติของมันอย่างถี่ถ้วนขนาดนั้น แต่ไมลีย์ก็พอจะจำได้ว่ามันอร่อยมาก ๆ
[ก็ลูกแม่ชอบอาหารเอเชียตามตัวละครในซีรีส์ที่ลูกชอบดูนี่นา] แม่เอ่ยกลับมาอย่างรู้ทัน ก่อนจะถามต่อ
[ตกลงวันนี้ลูกมีเรื่องอะไรที่หนักใจไหม เรื่องบางเรื่องที่ลูกไม่กล้าเล่าให้เพื่อนตัวเองฟังน่ะ ไมลีย์… ลูกรู้ใช่ไหมว่าลูกสามารถเล่าทุกอย่างให้แม่ฟังได้เสมอ] แม่ถามกัน
ซึ่งนี่ก็ไม่ใช่เพราะว่าเธอไปรู้ไปเห็นอะไรมา แต่เธอมักจะพูดแบบนี้กับไมลีย์อยู่เสมอ พยายามจะเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับเขา เนื่องจากเธอรู้ดีว่าเวลาไมลีย์เริ่มมีความคิดมาก เขาก็มักจะเก็บไปคิดคนเดียวและกลายเป็นคนชอบมีความลับไปในที่สุด
“ผม… ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ ว่ามันใช่เรื่องที่น่าหนักใจหรือเปล่า” นานเกือบนาทีกว่าที่ไมลีย์จะบอกคนปลายสายกลับไปแบบนั้น
[ดีเลย งั้นลูกก็เล่ามาเลยจ้ะ เผื่อแม่จะสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกได้] แม่บอกกลับมา และเท่าที่ไมลีย์ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้ว มันก็ดูเหมือนว่าเธอจะดีใจมากที่ไมลีย์คิดจะบอกเล่าบางอย่างให้เธอรับรู้ เพราะตั้งแต่ที่ไมลีย์ต้องย้ายมาเรียนมหาลัยและต้องหลับนอนอยู่ที่นี่ ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกก็ค่อย ๆ ห่างไปโดยปริยาย ซึ่งถ้าหากทุกวันนี้แม่ไม่คอยโทรมาหากันอยู่ทุกวัน ระยะห่างแม่ลูกมันก็คงมีมากกว่านี้
“ผมรู้สึกไม่เป็นตัวเองตอนที่ได้เจอกับผู้ชายคนหนึ่งครับ” ไมลีย์เลือกที่จะเกริ่นให้แม่ฟังก่อน เมื่อเขาอยากรู้ท่าทีของคนปลายสายว่าเธอจะทำยังไงต่อ หากรู้ว่าไมลีย์กำลังให้ความสนใจกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่
ต่อให้ตลอดเวลาแม่ของไมลีย์จะรับรู้มาตลอดก็เถอะว่าเขาเป็นเกย์
[อืม… น่าสนใจแฮะ เล่าต่อสิจ๊ะ]
“ผมกับเขาเราอายุเท่ากันครับ ผมบังเอิญเจอกับเขาที่โรงอาหารรวม มันเป็นครั้งแรกของเราเลยครับที่ได้นั่งโต๊ะเดียวกัน เขาแนะนำตัวกับผมด้วยครับ อันที่จริง… ผมอยากชวนเขาคุยนะ อยากถามไถ่เขามากกว่าแค่แนะนำตัวเองกลับไปนะครับ แต่ว่าผมไม่ค่อยกล้าคุยกับเขา”
[แล้วทำไมลูกถึงไม่กล้าคุยกับเขาล่ะ] แม่ถามต่ออย่างให้ความสนใจ
“เพราะผมรู้สึกผิดกับเขาครับ” ไมลีย์ตอบเสียงแผ่ว ขณะเดียวกันแววตาของเขาก็ฉายความรู้สึกผิดออกมา เมื่อมันเป็นอีกครั้งที่เหตุการณ์วันนั้นได้ตามหลอกหลอนเขา ต่อให้ตอนนี้คำโกหกมันจะยังไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับไจโร อีแวนสันก็เถอะ แต่ไมลีย์ก็ยังรู้สึกผิดต่ออีกฝ่ายอยู่ดี
หรือว่าเขาควรจะไปสารภาพความผิดของตัวเองให้ไจโรรับรู้ดีนะ? จู่ ๆ ความคิดนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวของไมลีย์
[แล้วทำไมลูกต้องไปรู้สึกผิดกับเขาด้วยล่ะ ลูกไปทำอะไรมาเหรอ] แม่ซักไซ้
“ไม่รู้สิครับ อยู่ ๆ ผมก็รู้สึกผิดขึ้นมา” เพียงเพราะถูกแม่จี้ถามแบบนั้น ไมลีย์จึงรีบพูดออกมาพร้อมทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ไปด้วย หลังเขาเพิ่งจะพูดโกหกแม่ไป ทั้งที่ไมลีย์ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าเขาจะไม่มีความลับกับแม่ของตัวเองเด็ดขาด
[แปลก ๆ แฮะ มันต้องมีสาเหตุสิ]
“…”
[โอเค ถ้าลูกไม่อยากบอก งั้นแม่ก็จะไม่เซ้าซี้ก็ได้จ้ะ ไว้รอให้ลูกพร้อมที่จะเล่ามันด้วยตัวเองก็ได้] สมกับที่ช่วงหนึ่งเธอเคยทุ่มเทเวลาให้กับเขาจริง ๆ เพราะแค่ไมลีย์เงียบ แม่ของเขาก็รู้แล้วว่าไมลีย์ต้องการอะไร
“ขอบคุณครับ” ไมลีย์กล่าวขอบคุณแม่ของตัวเองเสียงแผ่ว จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมระหว่างสองแม่ลูกอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เสียงของแม่จะดังขึ้นอีกครั้ง
[เมื่อกี้ไมลีย์บอกว่าไมลีย์รู้สึกไม่เป็นตัวเองตอนที่เจอเขา อาการมันเป็นยังไงเหรอจ๊ะ ใจสั่น? ไม่กล้าสบตา? หน้าร้อนผ่าวอะไรเถือกนั้นเหรอ] แม่ถาม
“ครับ ผมรู้สึกเหมือนตัวเองหน้าเห่อร้อนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งในวินาทีที่ผมได้สบตากับเขา… ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองหายใจไม่ค่อยออกครับ” ไมลีย์พยายามเล่าอาการของตัวเองให้แม่ฟังอย่างละเอียด
[ถ้าแบบนี้งั้นหมายความว่าลูกชายของแม่ชอบเขาหรือเปล่านะ ว่าแต่เขาชื่ออะไรเหรอจ๊ะ?] แม่ถามกลับมา
“เรื่องนั้นผมไม่บอกแม่หรอกครับ” ไมลีย์พูดอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาคนปลายสายถึงกับต้องกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอแล้วค่อยว่าต่อ
[ตายจริง นี่ลูกกำลังมีความลับกับแม่เหรอเนี่ย] แม่เอ่ยอย่างไม่จริงจังนัก
[โอเค ๆ ไม่บอกก็ไม่บอกจ้ะ แต่เท่าที่แม่ฟังจากอาการของลูกแล้ว มันดูเหมือนว่าลูกของแม่น่าจะชอบผู้ชายคนนั้นเอามาก ๆ เลยนะ เพราะถ้าลูกไม่ได้รู้สึกอะไรกับเขา ลูกก็คงไม่มีอาการแบบนั้นหรอก มันก็จะเหมือนอย่างฮาร์วีเพื่อนสนิทของลูกไงจ๊ะ]
“…”
[บางทีเขาอาจจะมีบางอย่างที่ลูกชอบ…]
“เขาเป็นลูกครึ่งครับ ลูกครึ่งอังกฤษกับเอเชีย… ผมไม่แน่ใจว่าประเทศไหนในเอเชีย แต่ว่าเขาเป็นลูกครึ่งแน่ ๆ ครับ” ไมลีย์บอกคนปลายสาย
[นั่นไงล่ะ เพราะลูกชอบคนเอเชีย ลูกก็เลยชอบเขา] แม่ให้คำตอบกลับมาอย่างมั่นใจ
เวลาต่อมาหลังจากที่ไมลีย์วางสายจากแม่ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แทนที่เขาจะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวที่จะอ่านหนังสือพร้อมทำสรุปเหมือนอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ ไมลีย์กลับเลือกที่จะนอนมองเพดานห้องอย่างใช้ความคิดแทน เมื่อบทสนทนาระหว่างเขากับแม่เมื่อครู่นี้มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเขา
“นี่เราชอบไจโรเหรอ” ไมลีย์ถามตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่แล้ว แม่จะต้องเดาผิดแน่ ๆ เราจะไปชอบไจโรได้ยังไง ในเมื่อเรากับเขาเพิ่งจะได้คุยกันวันนี้เป็นวันแรก แถมเราก็ไม่ได้ผูกพันกับเขาด้วย” เขาพึมพำต่อ นาทีเดียวกันคิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันตามประสาคนที่กำลังตบตีกับความคิดของตัวเองอย่างหนักหน่วง
อาจเพราะก่อนที่ไมลีย์จะย้ายมาอยู่หอพักของมหาลัย เขาได้มีโอกาสพูดคุยกับแม่แบบเปิดอกแหละมั้ง ไมลีย์มีการบอกถึงความชอบส่วนตัวให้แม่ฟังด้วยว่าเขาชอบเสพสื่อฝั่งเอเชีย และมีความอยากลองทานอาหารเอเชียอยู่บ่อย ๆ นั่นจึงทำให้เธออาจเข้าใจผิดคิดว่าเขามีสเป็กเป็นผู้ชายเอเชียก็เป็นได้
ไมลีย์คิดว่ามันน่าจะเป็นแบบนั้น แม้ในความเป็นจริงเขาจะยังไม่แน่ใจก็ตามว่าสเป็กของตัวเองเป็นผู้ชายเอเชียเหมือนอย่างที่แม่พูดหรือเปล่า เขารู้แค่ว่าเขาชอบดูซีรีส์ฝั่งเอเชียเอามาก ๆ ซึ่งมันก็เป็นความบันเทิงเพียงแค่ไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ไมลีย์ให้ความสนใจ
“เฮ้อ ชักจะหมกมุ่นกับเรื่องนี้เกินไปแล้วนะเรา” เพราะรู้สึกว่าตัวเองเอาแต่คิดเรื่องของไจโรมากเกินไป จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ไมลีย์จึงเอ่ยออกมาแบบนั้นพลางสะบัดหน้าไปมาเบา ๆ เพื่อให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องของผู้ชายคนนั้นเสียที
จากนั้นเขาก็ค่อย ๆ งัดร่างตัวเองขึ้นจากเตียงนอน เพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ามาอยู่ในชุดนอนสีชมพูที่เป็นสีโปรดของเขา หลังไมลีย์ตั้งใจจะนั่งทำสรุปทุกวิชาที่เรียนวันนี้ก่อนที่จะเข้านอนเหมือนอย่างทุกคืน