EP.08
หาดทรายพาสเทล
หลังจากเล่นน้ำกันจนน้องเริ่มบ่นว่าเหนื่อย ไทม์จึงมาน้องขึ้นฝั่งเพื่อเล่นทรายต่อ เขาซื้ออุปกรณ์เล่นทรายมาด้วยซึ่งมีทั้งที่ตักทราย แม่พิมพ์เล่นทรายรูปสัตว์ต่าง ๆ แล้วก็มีหุ่นคนอีกหลายแบบเลย ไทม์ไม่รู้ว่าน้องชอบอะไรเลยสุ่มเลือกซื้อมาเยอะแยะไปหมด ทว่าเมื่อน้องมาค้นดูแล้วไม่เห็นการ์ตูนตัวโปรดจึงรีบถามหา
“ไม่มีมินเนี่ยนเหรอครับ หนูชอบมินเนี่ยน”
“ไม่มีครับ พี่ไม่รู้ว่าหนูชอบมินเนี่ยน ไว้รอบหน้าจะพาไปซื้อตุ๊กตามินเนี่ยนตัวใหญ่ที่ห้างนะครับ”
“โห พี่ไทม์นี่ใจดีเหมือนที่น้องเล่าให้ผมฟังจริงด้วย ถึงว่าน้ำตาลติดพี่จังเลย เป็นผมก็ชอบแหละคนคอยตามใจแบบนี้”
น้อยโหน่งพูดตามความคิดซึ่งก็ไม่มีตรงไหนที่ไม่จริงเลย ไทม์ดูใจดีและเข้ากับเด็กได้ง่าย ขนาดน้อยโหน่งเองยังไม่รู้สึกเกร็งเลยตอนอยู่กับไทม์ทั้งที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก แต่จะว่าไปเหตุผลที่ไทม์ตามใจน้ำตาลขนาดนี้น่ะไทม์มีคำตอบให้นะ
“ก็เพราะน้ำตาลน่ารักไงครับ เป็นเด็กดีพี่ไทม์เลยต้องตามใจบ่อย ๆ”
เจ้าเด็กพอโดนชมก็ดีใจรีบส่งยิ้มหวานให้ทันที ไทม์ยิ้มตามแล้วยื่นมือมาบีบแก้มกลมของน้องทั้งสองข้างอย่างมันเขี้ยว ท่ามกลางสายตาของน้อยโหน่งที่มองสองคนนี้สลับกันก็ต้องยิ้มตามอีกคน ไม่ว่าใครก็คงสัมผัสได้ว่าไทม์เอ็นดูน้องมากแค่ไหน แล้วตัวน้ำตาลเองก็ติดพี่ชายใจดีคนนี้ขนาดไหน
ไทม์พาเด็ก ๆ เล่นทรายโดยวางแผนกันไว้ว่าจะสร้างปราสาท ซึ่งก่อนหน้านี้น้อยโหน่งได้ทำกำแพงเมืองไว้ให้แล้ว เจ้าตัวเล็กบอกว่าทหารในเมืองนี้ต้องเป็นมินเนี่ยน เลยจะปั้นมินเนี่ยนสิบตัวเพื่อที่จะมาวางเป็นกองทัพทหารมินเนี่ยนที่หน้าเมือง แต่แล้วน้ำตาลก็ปั้นเป็นรูปร่างไม่ได้สักที ทำได้แค่บีบทรายให้แน่นจนเป็นก้อนกลม พอจะใช้ปลายนิ้ววาดหน้าตาทรายก็แตกเสียแล้ว
น้องเริ่มหงุดหงิดที่ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจ นั่งปั้นอยู่ตั้งนานไม่ได้สักตัวจึงเริ่มทำหน้าเบะ น้ำตาลปาทรายในมือลงพื้นแล้วกอดอกน้ำตาคลอ ยิ่งเห็นพี่ไทม์กับพี่น้อยโหน่งช่วยกันปั้นปราสาททรงแหลมนั่นเป็นรูปเป็นร่างก็ยิ่งน้อยใจตัวเองที่ทำไม่ได้อย่างพี่ ๆ เขา
“พี่ไทม์ ๆ มีเด็กแถวนี้งอแงแหละ”
น้อยโหน่งยู่ปากไปทางน้องที่นั่งน้ำตาคลอ ขอบตาเริ่มแดง แล้วไทม์จะอยู่เฉยได้ยังไงกัน เขาผละมือจากทุกอย่างแล้วใช้มือที่เปื้อนทรายเช็ดกางเกงตัวเอง ก่อนจะรีบเดินเข้ามานั่งซ้อนน้องจากทางด้านหลัง อุ้มน้ำตาลขึ้นนั่งบนตัก
“หนูเป็นอะไรครับ หืม”
“ปั้นยาก หนูไม่ทำแล้ว ไม่ทำมินเนี่ยนแล้ว”
“ครับ ๆ ไม่ทำก็ไม่ทำ งั้นมาทำเป็นรูปสัตว์กันดีกว่า พี่ซื้อแม่พิมพ์มา แค่หนูเอาทรายใส่แล้วกดให้แน่นมันก็เป็นรูปเป็นร่างตามพิมพ์แล้ว ส่วนมินเนี่ยนเดี๋ยวถ้าหนูอยากปั้นอีกพี่จะซื้อดินน้ำมันให้ปั้นแล้วกันเนอะ น่าจะปั้นง่ายกว่า”
“พี่ไทม์ซื้อตุ๊กตามินเนี่ยนให้หนูด้วยได้ไหมค้าบบ”
ก็ถ้าน้องทำเสียงออดอ้อนขนาดนี้ คำตอบก็คงมีอย่างเดียว...
“ได้ค้าบ หนูอยากได้อะไรพี่ไทม์จะซื้อให้หมดเลย”
หน้ากลมที่บึ้งตึงเมื่อครู่ตอนนี้แปรเปลี่ยนมาส่งยิ้มกว้างให้คนพี่ทันทีเมื่อโดนตามใจ ไทม์ก้มลงฝังจมูกลงที่หัวทุยของน้องทีหนึ่ง ก่อนจะพาน้ำตาลตักทรายใส่แม่พิมพ์ที่เขาซื้อมา เปลี่ยนแผนจากกองทัพมินเนี่ยนเป็นกองทัพสัตว์น้ำแทน พอน้องอารมณ์ดีก็พาเสียงหัวเราะกลับมาอีกครั้ง
น้ำตาลสนุกกับการนั่งตักพี่ไทม์แล้วเล่นทรายไปด้วย ไม่นานน้อยโหน่งก็ก่อปราสาทเสร็จพอดีจึงมานั่งทำกองทัพสัตว์ด้วยอีกแรง
“อ้าว เล่นกันอยู่ตรงนี้เอง”
เสียงคุ้นเคยทำให้ไทม์หันไปมองพ่อกับแม่ก่อนพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้ ในมือของพ่อถือกล้องถ่ายรูปแล้วหันมาที่หนึ่งเด็กเล็กสองเด็กโต ไทม์จับมือน้ำตาลให้ชูสองนิ้ว สะกิดน้อยโหน่งให้มองกล้อง ก่อนที่ไทม์จะเงยหน้าแล้วส่งยิ้มให้กล้องบ้าง เสียงชัตเตอร์สองครั้งติดกันดังขึ้นจากนั้นพ่อของไทม์ก็ลดกล้องลงแล้วย่อตัวนั่งยอง ๆ ดูว่าเด็ก ๆ กำลังเล่นอะไรกันอยู่
“คุณลุง คุณป้า สวัสดีครับ นี่ ๆ ๆ ๆ น้ำตาลทำปลาได้ห้าตัวแล้วครับ หอยอีกสองตัว สวยไหมครับ ๆ”
เจ้าตัวเล็กยกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างรู้มารยาททำให้น้อยโหน่งไหว้ตามเช่นกัน ก่อนที่น้องจะรีบอวดผลงานของตัวเองในทันที ทำให้พ่อและแม่ของน้ำตาลหัวเราะชอบใจใหญ่แถมชมเปราะว่าน้องเก่ง น้องทำปลาทำหอยสวยที่สุด เด็กน้อยได้รับคำชมก็ดีใจ แล้วพูดปิดท้ายไปว่า ‘พี่ไทม์สอนน้ำตาลทำครับ’
คนเป็นพ่อเป็นแม่เห็นลูกชายยิ้มหน้าบานก็เข้าใจ รู้สึกว่าของเล่นที่ไทม์ตั้งใจหาซื้อมาเล่นกับน้องจะได้ใช้ทุกชิ้นอย่างคุ้มค่าแล้ว เรื่องเล่นกับเด็กขอให้บอกเพราะไทม์จริงจังแบบนี้เสมอ เมื่อก่อนตอนเลี้ยงหลานก็ชอบมาขอเงินพ่อแม่ไปซื้อของเล่นใหม่ให้เจ้าทอร์ช ขยันหาของไปหลอกล่อเด็กมาแต่ไหนแต่ไร
“แม่ไปเดินถ่ายรูปกับพ่อก่อนดีกว่า เจอกันที่ห้องนะไทม์”
“ครับแม่”
เด็ก ๆ เล่นกันต่ออีกครู่หนึ่งก็เริ่มเบื่อ จากที่ช่วยกันสร้างเมืองนี้เสร็จก็พากันทุบทำลายทรายให้กลับกลายเป็นสภาพเดิม ไทม์เก็บของเล่นอย่างเป็นระเบียบก่อนจะเดินไปซื้อน้ำมะพร้าวมาให้น้องทั้งสองคนคนละลูก ส่วนของตัวเองน่ะไม่ซื้อหรอก
ร่างสูงยื่นมะพร้าวลูกหนึ่งให้น้อยโหน่ง อีกลูกหนึ่งให้เจ้าตัวเล็กของเขา ไทม์นั่งมองน้องดูดน้ำมะพร้าวราวกับรออะไรบางอย่าง กระทั่งดวงตากลมช้อนมองพี่ชายใจดีอย่างสงสัย
“พี่ไทม์ไม่กินเหรอ น้ำพี่ไทม์อยู่ไหนอ่า”
“พี่ไทม์ไม่มีน้ำครับ หิ๊วหิว คอแห้งด้วย”
“กินกับหนูก็ได้”
ไทม์ถึงกับเผยยิ้มกว้างรีบอ้าปากงับหลอดเดียวกับน้องทันทีที่น้ำตาลยื่นลูกมะพร้าวมาตรงหน้า นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้ใช้ปากสัมผัสภาชนะเดียวกับน้อง ครั้งแรกนั้นเป็นตอนที่น้ำตาลมาเล่นที่บ้าน ขณะกินข้าวก็มีป้อนกันบ้าง ชิมให้กันบ้างโดยใช้ช้อนเดียวกัน ส่วนดูดหลอดเดียวกันยังไม่เคย ก็เพิ่งจะเคยครั้งนี้แหละ
ว้า...น้ำมะพร้าวก็หวาน รอยยิ้มน้องก็หวาน ยิ่งน้องส่งยิ้มให้จนตาหยีก็ยิ่งหวานเข้าไปใหญ่
“พี่พอแล้วครับ หนูกินเถอะ”
พวกเขาสามคนนั่งเรียงกันหันหน้าเข้าทะเล มองผืนน้ำกว้างใหญ่พลางสูดหายใจรับลมที่พัดโชยไม่ขาดสาย แต่ก็มีสายตาคู่หนึ่งมองเด็กน้อยเจ็ดขวบมากกว่าวิวสวยของทะเลเสียอีก ไทม์เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมชอบแอบมองน้องนัก รู้แค่ว่าน้ำตาลน่ะน่ามองทุกมุมเลย นุ่มนิ่ม เพลินตา
ยิ่งตอนที่น้องเผลอกัดหลอดจนปลายเกือบแบน แล้วก็พยายามจะดูดน้ำต่อทั้งที่ปลายหลอดเป็นแบบนั้น เจ้าตัวเล็กตั้งใจดูดเสียจนปากจู๋ แต่พอดูดน้ำไม่ค่อยขึ้นก็ถอดใจหันมาหาไทม์ทันที
“หนูอิ่มแล้ว”
“อิ่มหรือดูดไม่ขึ้น ก็หนูเล่นกัดหลอดซะแบนเลย”
“ไม่อยากกินแล้วครับ อิ่มแล้ว”
“ป้อนหน่อย มือพี่เลอะ”
เลอะเพราะเพิ่งเอามือวางแหมะเล่นทรายในตอนที่พูดจบนี่แหละ น้ำตาลก็ตามพี่ไทม์ไม่เคยทัน บอกให้ป้อนก็รีบขยับตัวเข้าหาพี่ ใช้สองมือประคองลูกมะพร้าวยื่นไปให้ไทม์จนปลายหลอดแตะที่ริมฝีปากหยัก
“โอ๊ะโอ ใช้หลอดเดียวกันเหมือนจุ๊บกันด้วยไหมน้า”
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
ดูคำพูดคำจาของน้องเถอะ หัวใจของไทม์เต้นแรงอีกแล้ว...
อยู่ดี ๆ ไทม์ก็หลบตาน้อง มือที่วางอยู่บนทรายก็ยกขึ้นมาเกาท้ายทอยจนผมเลอะทรายไปหมด พอทิ้งมือวางบนตักก็ดูเกะกะ จะเอาไว้ตรงไหนก็เก้กังไปเสียทุกที่ สุดท้ายไทม์ก็เสียอาการไม่สามารถดูดน้ำได้อีกต่อไป
“เป็นไรอะพี่ มดกัดเหรอเห็นนั่งยุกยิก”
“อ๋อ ปะ เปล่า...พี่เมื่อยหลังเฉย ๆ น่ะครับ”
ไทม์ตอบน้อยโหน่งเท่าที่จะหาคำตอบแก้ขัดไปได้แล้ว ทว่าเมื่อน้ำตาลได้ยินว่าพี่ไทม์เมื่อยก็รีบวางมะพร้าวลงกับพื้นแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินอ้อมไปทางด้านหลังร่างสูง
“หนูนวดให้พี่ไทม์เอง หนูนวดเก่งนะ แม่ใช้นวดประจำเลยครับ”
ไม่ต้องรอให้ไทม์อนุญาต น้ำตาลก็จัดการวางมือลงบนบ่ากว้างแล้วออกแรงบีบนวดเป็นจังหวะ ไม่นานก็นั่งลงยอง ๆ แล้วใช้สองมือทุบสลับกันไปมาตามแนวหลังจากไหล่ลงมาถึงเอว ไทม์ก็นั่งให้น้องผลัดนวดผลัดทุบอยู่อย่างนั้นไม่หือไม่อือ ได้แต่นั่งยิ้มให้กับวิวทะเลอย่างไร้สาเหตุ
ส่วนน้อยโหน่งตั้งหน้าตั้งตาดูดน้ำมะพร้าวของตัวเองจนหมดเลยไม่ได้สนใจว่ามีพี่ชายแถวนี้ทำหน้าแบบไหนอยู่ แล้วไม่นานน้ำมะพร้าวที่น้ำตาลกินไม่หมดก็ถูกน้อยโหน่งขโมยไปกินแทน แต่น้องก็ไม่ได้หวงเพราะไม่ได้สนใจมะพร้าวลูกนั้นอีกแล้ว สนใจแต่ว่าพี่จ๋าจะหายเมื่อยบ้างหรือยังก็เท่านั้นเอง
“พอแล้วครับ พี่หายเมื่อยแล้วล่ะ”
“หนูนวดเก่งไหมมมม”
“เก่งมากเลยครับ”
น้ำตาลลุกขึ้นก่อนจะทิ้งตัวกอดไทม์จากด้านหลัง หน้ากลมเอียงซบไหล่กว้างอย่างแนบชิด สองแขนป้อมคล้องคอไทม์ไว้หลวม ๆ
“พี่ไทม์กับน้ำตาลดูสนิทกันจังเลยเนอะ ถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องแท้ ๆ กันก็เชื่อนะเนี่ย”
“ก็...สนิทกันอย่างที่เห็นแหละครับ ปกติไม่ค่อยได้เล่นกันแบบนี้หรอก เจอกันแค่ตอนเช้าแป๊บเดียวเอง”
“น้ำตาลเล่าให้โหน่งฟังแล้วว่าเจอพี่ไทม์ยังไง น้องพูดถึงพี่ทุกวันจนโหน่งกับพี่ลูกจันทร์อยากเจอเลย”
“พอเจอแล้วเป็นยังไงล่ะครับ”
ไทม์เอ่ยถามน้อยโหน่งด้วยความอยากรู้เหมือนกันว่าคนอื่นมองเขากับน้องในลักษณะไหน มือใหญ่หันไปหาน้องพลางตบตักตัวเองสองสามทีเป็นการเชื้อเชิญให้น้องมานั่งตัก และแน่นอนว่าเจ้าตัวเล็กก็ยิ้มร่ารีบทิ้งตัวนั่งตักให้พี่ไทม์กอด
“เอาจริง ๆ นะพี่ ผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยไว้ใจพี่หรอก กลัวคิดไม่ดีกับน้อง”
“ไม่ใช่นะ พี่ไทม์เป็นคนดี ดีกับน้ำตาลม๊ากมากด้วย ห้ามว่าพี่ไทม์!”
“เนี่ยพี่ น้ำตาลนะพูดแบบนี้ทุกครั้ง ใครก็ห้ามว่าพี่ไทม์เด็ดขาด”
ตัวแค่นี้ก็อยากปกป้องพี่ไทม์เหมือนกันสินะ ไทม์ยกมือขึ้นลูบหัวน้องด้วยความเอ็นดูอีกแล้ว
“แล้วน้อยโหน่งคิดว่าพี่เป็นยังไงล่ะ ไม่ใช่ญาติพี่น้องกันพี่ก็เอ็นดูน้ำตาลเหมือนลูกเหมือนหลานแท้ ๆ เลยนะ”
“โหน่งก็รู้สึกแหละว่าพี่รักน้องมันเหมือนกัน ถึงได้บอกไงครับว่าถ้าบอกว่าเป็นพี่น้องแท้ ๆ ก็เชื่อ วันนี้ได้เห็นกับตาแล้วว่าพี่เอ็นดูน้ำตาลแค่ไหน เพราะพี่ตามใจน้องไงน้องถึงติดพี่ขนาดนี้”
จะว่าไปที่น้อยโหน่งพูดมาก็คงจริงตามนั้นทุกอย่าง วันนี้ไทม์กับน้ำตาลก็แสดงความสนิทสนมกันให้เห็นในหลายมุม ด้วยความดีใจที่ได้เจอกันอีก ได้เล่นด้วยกัน ตื่นเต้นไปกับบรรยากาศและกิจกรรมที่ทำร่วมกันอย่างสนุกสนาน มันจึงเกิดการใกล้ชิดกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทั้งสองคนก็เพิ่งรู้วันนี้เองว่าพวกเขาสนิทสนมกันได้ขนาดนี้แล้ว
น้องกล้าที่จะเข้าหาไทม์โดยไม่กลัว ไว้ใจคนพี่จนไม่เหลือความกังวลแล้ว อยากแต่จะเข้าหาไทม์อย่างเดียวเลย ไทม์เองก็ชอบให้น้องอยู่ใกล้ ๆ ชอบที่จะได้คอยดูแลให้อยู่ในสายตา การได้มองน้องเงียบ ๆ นับได้ว่าเป็นการเรียกรอยยิ้มของไทม์อย่างหนึ่งเช่นกัน
“งั้นพี่ก็ตอบเหมือนเดิมว่าเพราะน้ำตาลน่ารัก เป็นเด็กดีพี่เลยอยากตามใจ”
“ถ้าถามความคิดโหน่งนะ โหน่งดีใจนะพี่ที่น้องมีความสุขกับพี่ขนาดนี้ ในฐานะคนที่พ่อทิ้งไปเหมือนกัน ใจลึก ๆ ก็อยากมีใครสักคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจน่ะพี่ โหน่งไม่ได้หมายความว่าเป็นแฟนนะ ไม่ได้บอกว่าพี่กับน้ำตาลเป็นแฟนกัน”
น้อยโหน่งรีบพูดแก้ตัวพัลวันกลัวไทม์จะเข้าใจความหมายที่จะสื่อผิดไป ทว่านอกจากไทม์จะไม่ดูตกใจกับคำว่า ’แฟน’ แล้วยังส่ายหัวเบา ๆ แล้วบอกว่าไม่เป็นไร ส่วนน้ำตาลที่ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ก็ได้แค่นั่งฟังนิ่ง ๆ
“พูดต่อเถอะ”
“ก็นั่นแหละพี่ โหน่งว่าโหน่งเข้าใจน้องนะ พอมีผู้ใหญ่มาคอยปกป้อง คอยเล่นด้วยแบบนี้มันสบายใจ สนุก เลยทำให้อยากอยู่ด้วย เหมือนมาเติมเต็มช่องว่างตรงที่ขาดพ่อไปได้บ้าง โหน่งอะยังดีหน่อยที่แม่มีธุรกิจของตัวเองเลยมีเวลาอยู่กับโหน่งเต็มที่ เป็นทั้งพ่อและแม่ให้โหน่งได้จนไม่รู้สึกขาด แต่น้ำตาลน่ะขาดนะพี่ น้องเพิ่งเลิกถามหาพ่อเมื่อไม่นานมานี้เอง”
ได้ยินแบบนี้ไทม์ก็กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น โน้มหน้าไปหอมขมับน้องค้างไว้ด้วยความรู้สึกประหลาดในอก เด็กตัวแค่นี้ต้องมาแบกรับความรู้สึกเหล่านี้ไว้ทำไมกันนะ ทว่ามันก็เป็นปัญหาของผู้ใหญ่ที่เด็กเองก็คงทำอะไรไม่ได้ แล้วจะเป็นไปได้ไหมหากไทม์จะเติมเต็มความรู้สึกที่ขาดหายของน้ำตาลแทนพ่อแท้ ๆ เอง
น้องจะให้ไทม์เป็นพ่อไทม์ก็จะเป็นให้ ให้เป็นพี่ชายก็ได้ หรืออยากให้เป็นอะไรไทม์ก็เป็นให้ได้ทั้งนั้น เขาไม่อยากให้น้ำตาลรู้สึกขาดหรือไม่มีความสุข ไม่อยากให้เด็กมีปมเรื่องนี้ไปจนโต ถึงไทม์จะเป็นพ่อแท้ ๆ ให้ไม่ได้แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะช่วยดูแลน้ำตาลให้เติบโตอย่างดี เหมือนตอนที่ตั้งใจเลี้ยงทอร์ช ความรู้สึกคงเหมือนเลี้ยงหลานคนที่สองแหละ...มั้ง
“น้อยโหน่ง พี่ถามหน่อยสิ สมมติว่าอีกสิบปีพี่ยังดูแลน้ำตาลอยู่แบบนี้มันจะดูแปลก ๆ ไหม ทั้งที่เราไม่ใช่ญาติกัน ถ้านับแล้วก็คงเป็นแค่คนรู้จัก”
“คนรู้จักก็ไม่ได้กำหนดนี่ครับว่าต้องรู้จักกันกี่ปี โหน่งว่าไม่แปลกนะถ้ามันอยู่ในขอบเขต ตอนนี้น้ำตาลยังเด็กมากผู้ใหญ่เลยจะห่วงเป็นพิเศษ แต่เมื่อไหร่ที่น้องโตและตัดสินใจอะไรเองได้มันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โหน่งก็เคยมีผู้ใหญ่มาดูแลนะ แต่เขาเข้ามาจีบแม่โหน่ง พอแม่ไม่เล่นด้วยเขาก็ไป เวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนแหละพี่ไทม์ ไม่แน่พอน้ำตาลโตขึ้นอีกหน่อยพี่อาจจะไม่เอ็นดูน้องเท่าตอนนี้แล้วก็ได้”
น้อยโหน่งเป็นเด็กม.5 ที่ดูเข้าใจโลกเสียจนไทม์ตกใจ อาจเพราะลักษณะครอบครัวคล้ายกันนั่นคือมีแม่เลี้ยงเดี่ยว น้อยโหน่งจึงเข้าใจว่าน้ำตาลจะอ่อนไหวเรื่องไหนเป็นพิเศษ แถมยังเข้าใจในความสัมพันธ์ของไทม์กับน้องด้วย ความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ญาติพี่น้องแต่อยากดูแลให้เจ้าตัวเล็กเติบโตไปด้วยกันน่ะ ไม่ใช่คนทุกคนจะเข้าใจหรอก แต่อย่างน้อยก็มีน้อยโหน่งคนหนึ่งที่พอจะเข้าใจอยู่บ้าง
“ถ้าหนูโตขึ้น หนูยังอยากจะให้พี่ไทม์ดูแลไหมน้า”
ไทม์ก้มหน้าถามเด็กน้อยที่นั่งบนตักด้วยน้ำเสียงติดเล่น แต่ในใจกลับอยากรู้จะแย่ อย่างที่น้อยโหน่งบอกว่าเวลาเปลี่ยนคนก็เปลี่ยนได้ วันข้างหน้าอาจมีใครสักคนที่อยากเติบโตด้วยตัวเองโดยไม่ต้องการใครคอยดูแลแล้วก็ได้
“หนูอยากกกกก หนูจะอยู่กับพี่ไทม์ไปจนแก่เลย”
“เฮ้อ ให้มันจริงเถอะ”
พวกเขานั่งคุยกันต่ออีกครู่หนึ่งฟ้าก็เริ่มมืดลงจึงชวนกันกลับเข้ารีสอร์ท โดยที่น้ำตาลดูเหนื่อยและเพลียพอสมควรเพราะออกมาเล่นริมหาดตั้งแต่แดดยังเปรี้ยงจนถึงตอนนี้ ไทม์จึงอาสาให้น้องขี่หลัง สองแขนป้อมคล้องคอพี่ไทม์ สองขาหนีบเอวสอบ
“เหมือนเล่นขี้ม้าชมเมืองเลย อยู่ที่โรงเรียนเพื่อนชอบกระโดดขึ้นหลังหนูให้หนูแบกวิ่งทั่วห้อง บางทีหนูก็ล้มเลยเพราะเพื่อนตัวหนัก มีครั้งหนึ่งหัวเข่าแตกด้วย แต่ว่าพี่ไทม์แข็งแรงกว่าหนูไม่มีทางล้มเหมือนหนูแน่ ๆ ฮ่า ๆ ๆ”
“หนูอย่าให้เพื่อนแกล้งบ่อยนักสิ ยอมเพื่อนมากเดี๋ยวก็เจ็บตัวหรอก”
“เปลี่ยนกันขึ้นหลังแหละครับ แต่ไม่มีใครแบกหนูไหวเลย เพื่อนบอกว่าหนูอ้วน”
ไทม์กับน้อยโหน่งถึงกับหัวเราะออกเสียงเพราะเพื่อนที่โรงเรียนน้องก็คงไม่พูดเกินจริงสักเท่าไหร่ น้ำตาลเป็นเด็กตัวป้อม จ้ำม่ำ ๆ แต่ไม่ถึงกับตัวอ้วนใหญ่เกินวัย น้อยโหน่งพูดเสริมอีกว่าเมื่อก่อนน้ำตาลน่ะอ้วนกว่านี้อีก ตอนนี้ผอมลงบ้างแล้ว
“อ้วนกว่านี้พี่ไทม์ก็แบกไหวน้า อยากขี่หลังเมื่อไหร่ก็บอก พี่จะแบกหนูเอง”
“พี่ไทม์ดูอบอุ๊นอบอุ่น แฟนพี่ต้องรักพี่มากแน่ ๆ นี่ขนาดกับน้องที่รู้จักกันไม่นานยังดูละมุนขนาดนี้เลยอะ”
“เอ่อ คือ พี่ไม่มีแฟนหรอกครับ”
น้อยโหน่งถึงกับเดินไปดักหน้าแล้วถามซ้ำ ๆ ว่าไทม์ไม่มีแฟนจริงหรือ เป็นผู้ชายอบอุ่นขนาดนี้ไม่มีสาวมาจีบได้ยังไงกัน
“ใคร ๆ เขาก็ไม่มีแฟนกันทั้งนั้น มีแต่พี่น้อยโหน่งนั่นแหละที่มีแฟน”
“ทำมาพูดเถอะเด็กอ้วน โตอีกหน่อยก็ไม่โสดแล้วเราน่ะ เผลอ ๆ มีแฟนก่อนพี่ไทม์อีกมั้ง”
“ไม่ได้! ห้ามมี!”
จู่ ๆ ไทม์ก็ตะโกนขึ้นมาเสียงแข็ง ทำให้น้ำตาลที่ขี่หลังไทม์อยู่ก็สะดุ้งโหยงเผลอใช้แขนรัดคอพี่ไปทีหนึ่ง จากนั้นทั้งน้อยโหน่งและเจ้าตัวเล็กก็มองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ คนที่พูดจาน่าฟัง น้ำเสียงนุ่มลึก ทำไมถึงดุขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุแบบนี้
“พี่จะตะโกนทำไม โหน่งตกใจหมด โกรธอะไรเนี่ย”
“พี่แค่...ยังไม่อยากให้น้องมีแฟน น้องยังเด็กอยู่ไง”
“โหน่งแค่แซวน้องเล่นเอง รู้น่ายังไงพี่ไทม์ก็มีแฟนก่อนอยู่แล้ว ฮ่า ๆ”
“ไม่แน่หรอก พี่อาจจะไม่มี แต่ถ้าอีกสิบกว่าปีก็ไม่แน่ ถึงวันนั้นคงพร้อมมีจริง ๆ แล้วมั้ง พี่ไม่ค่อยฝักใฝ่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เท่าไหร่”
น้อยโหน่งพยักหน้าเข้าใจ ก่อนจะมาหยุดยืนข้างไทม์เพื่อรอข้ามถนนกลับรีสอร์ท เมื่อได้จังหวะที่ต้องข้ามไทม์ได้กระชับมือที่จับขาน้องทั้งสองข้างให้แน่นขึ้น พากันข้ามถนนกันไปอย่างปลอดภัย
แต่แล้วเมื่อเดินมาต่อได้ไม่กี่ก้าว เจ้าของหน้ากลมก็ใช้ใบหน้าซุกไซ้หลังคอของไทม์อย่างออดอ้อน ตามมาด้วยเสียงเล็กที่เรียกชื่อไทม์เบา ๆ
“พี่ไทม์ค้าบบบบ”
“ค้าบบบ ว่าไงครับ”
“พี่ไทม์อย่ามีแฟนได้ไหม”
ความคิดของเด็กก็คงไม่มีอะไรซับซ้อนไปกว่าการกลัวเสียพี่ชายใจดีให้กับคนอื่น เพราะตอนนี้น้ำตาลติดไทม์มาก ยังอยากเล่นด้วย อยากเจอ อยากอ้อน ต่อไปก็ยังอยากเจอพี่ไทม์โดยที่ไทม์ยังคงให้ความสำคัญกับน้องเหมือนเดิม ถึงน้ำตาลจะไม่เข้าใจคำว่าแฟนอย่างถ่องแท้ แต่ก็รู้ว่าแฟนย่อมสำคัญกว่าสถานะพี่น้องอย่างแน่นอน
แต่ไทม์เองก็ดันมีคำตอบหนักแน่นพอที่จะตอบน้องให้มั่นใจเช่นกัน
“รีบโตสิ เดี๋ยวพี่รอ”
บทสนทนาที่เขาพูดคุยกันแบบที่ได้ยินสองคนจบลงที่รอยยิ้มของทั้งคู่ ไทม์หัวใจเต้นแรงแถมหน้าร้อนอีกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้มันถลำลึกขึ้นทุกวัน ไม่น่าเชื่อว่าความน่ารักของเด็กคนหนึ่งจะทำให้ไทม์ไม่เป็นตัวของตัวเองได้ขนาดนี้