EP.09-1
เรื่องดี ๆ ในคืนที่ฝนตก
ปีหนึ่งเทอมสองนี้ไทม์มีตารางเรียนตอนเช้าแค่หนึ่งวัน...
ไทม์เห็นตารางเรียนในระบบลงทะเบียนของมหาวิทยาลัยก็ถึงกับกุมขมับ สัปดาห์หน้าจะเปิดเทอมแล้ว เขานั่งลุ้นมาทั้งช่วงปิดเทอมว่าขอให้มีเรียนเช้าเยอะ ๆ ทว่าผลออกมาว่ามีเรียนสายและบ่ายเสียส่วนใหญ่ไทม์ถึงกับนั่งหมดแรงติดเก้าอี้
ถ้าไม่ได้เรียนเช้าโอกาสที่จะได้เจอน้ำตาลก่อนขึ้นรถไปโรงเรียนก็คงยากหน่อย จะให้ไทม์ตื่นเช้าทุกวันเพื่อไปหาน้องทั้งที่ตัวเองเรียนบ่ายก็คงไม่ไหว เพราะกว่าจะเรียนเสร็จในแต่ละวัน กว่าจะกลับมาถึงบ้านและทำรายงานต่าง ๆ กว่าจะได้นอนก็คงดึก แน่นอนว่าคงตื่นเช้าเพื่อไปหาน้องอีกไม่ไหว
แต่จะได้เจอน้องแค่สัปดาห์ละครั้งไทม์ก็ไม่ไหวเหมือนกัน คงคิดถึงแย่...
นี่น้ำตาลเปิดเทอมได้สามวันแล้วไทม์ยังไม่ได้ไปเจอน้องเลยสักวัน ช่วงที่ผ่านมาบ้านของไทม์ก็วุ่นไปกับการเตรียมทำบุญให้กับคุณตาที่เสียไปได้ห้าปีแล้ว ครอบครัวของไทม์ต้องขึ้นไปทำบุญรวมกับญาติที่ลำปางและเพิ่งกลับมาถึงกรุงเทพฯวันนี้เอง ขากลับได้แวะซื้อขนมมาเพียบ แน่นอนว่าไม่ได้กินเองแต่ซื้อมาฝากน้องต่างหาก
พอนึกได้ว่าซื้อขนมมาให้น้อง ไทม์ก็เดินออกมาจัดแยกขนมของที่บ้านกับของน้อง บางส่วนแบ่งเอาไว้ฝากเพื่อนบ้านด้วย แต่น่าแปลกที่เมื่อแยกกันเป็นสามส่วนเสร็จปรากฏว่าถุงของฝากของน้ำตาลใหญ่ที่สุดเลย ไทม์เห็นอะไรน่ากินก็นึกถึงน้องตลอดทำให้มันมีมากกว่าคนอื่นเขา
“ของน้ำตาลใช่ไหมน่ะ ถุงเบ้อเร่อ”
“ใช่พ่อ ไทม์ซื้อไปฝากน้องกับแม่แหละ บ้านน้องไม่ค่อยได้ไปไหนเลย บางอย่างคงหากินแถวนี้ได้ยากเลยซื้อมาเยอะหน่อย”
“แล้วจะเอาไปให้น้องเมื่อไหร่?”
“พรุ่งนี้เช้า ก่อนน้องไปโรงเรียน”
“ถุงใหญ่ขนาดนี้จะให้น้องถือยังไง แบกไปโรงเรียนด้วยเหรอ เอาไปให้เลยสิไป มันมีน้ำพริก แคบหมู ไส้อั่ว อย่าเอาค้างไว้นานเดี๋ยวมันจะไม่อร่อย”
“จริงด้วย งั้นเย็นนี้ไทม์เอาไปให้น้องเลยก็ได้พ่อ”
ร่างสูงยกถุงใหญ่มาวางเตรียมไว้ที่โซฟา ซึ่งด้านในมีถุงย่อยบรรจุอาหารและขนมอีกที มองดูแล้วก็ซื้อมาให้เยอะจริง ๆ แต่ถ้าคิดว่าซื้อมาฝากสองคนทั้งแม่ทั้งน้องก็คงไม่มากเกินไป แถมเจ้าตัวเล็กคงได้มีขนมกินไปอีกเป็นเดือน ไม่เปลืองเงินแม่น้องต้องคอยซื้อให้อีก หวังว่าเป็นขนมที่พี่ไทม์ซื้อให้น้องอาจชอบเป็นพิเศษ
ว่าแต่ว่า...เย็นนี้จะเอาเข้าไปให้ยังไง ที่อยู่น้องไทม์ยังไม่รู้เลย เคยเจอกันแค่ป้ายรถเมล์นี่นา
คิดได้ดังนั้นไทม์ก็หน้ามุ่ย ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาข้างถุงขนมใหญ่ ในหัวพลันคิดหาทางออกได้วิธีหนึ่งนั่นคือจะออกจากบ้านไวหน่อยเพื่อไปดักรอน้องที่ป้ายรถเมล์เดิม จากนั้นก็ถือขนมไปส่งน้องที่ที่พัก แต่การทำแบบนี้โดยไม่บอกแม่น้องมันก็จะดูไม่ดีเข้าไปใหญ่ ยังไงถ้าแม่น้องเลิกงานกลับมาเจอขนมถุงใหญ่ขนาดนี้ก็คงต้องถามว่ามาจากไหน เผลอๆน้ำตาลอาจจะโดนแม่ดุด้วยซ้ำที่ต้อนรับคนนอกเข้าที่พักโดยลำพัง
ถ้าอย่างนั้นก็ควรบอกแม่น้องเสียหน่อยว่าจะกลับจากต่างจังหวัดแล้วมีของมาฝาก แต่ถ้าโทรไปตอนนี้แม่อาจทำงานอยู่ก็ได้ ไม่อยากจะรบกวนเลยจริง ๆ
“ไทม์ พ่อบอกแม่ว่าไทม์จะเอาของฝากไปให้น้ำตาลเย็นนี้เหรอ”
“ครับ แม่มีไรเปล่า”
“แม่เพิ่งอบคุกกี้ ฝากไปให้น้องกับแม่ด้วยสิ ตอนนั้นแม่เคยบอกว่าจะฝากเบเกอรี่ไปให้ชิม แม่น้ำตาลบอกชอบกินเบเกอรี่พอดี เห็นว่าชอบคุกกี้มากเลยด้วย”
“อ๋ออออ งั้นแม่ทำสุดฝีมือเลยนะ เอาให้อร่อย ๆ เลย”
ไทม์เริ่มคลี่ยิ้มออกมาเมื่อหาข้ออ้างที่จะติดต่อหาแม่ของน้ำตาลได้สำเร็จ ก็ถ้าแม่ไทม์กับแม่ของน้องเคยคุยกันเรื่องขนม มันก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้วที่ไทม์จะหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างด้วย
เขาเลือกที่จะแอดไลน์แม่น้องจากเบอร์โทรศัพท์ไป จากนั้นก็สูดลมหายใจพลางคิดเรียบเรียงคำพูดที่มันจะดูสุภาพที่สุด เพราะไทม์ก็ไม่เคยคุยกับแม่ของน้องทางไลน์เลย ตอนคุยโทรศัพท์กับน้ำตาลบางทีคุยนานไปก็จะได้ยินเสียงแม่ดุน้ำตาลแว่วมาในสายเล็กน้อยเท่านั้น คุยกันต่อหน้าก็แค่สองครั้งเห็นจะได้
การคุยกันผ่านตัวหนังสือครั้งแรกก็คงต้องสุภาพที่สุดเพราะตัวหนังสือมันไม่มีเสียง
The Time : สวัสดีครับคุณแม่น้องน้ำตาล ผมไทม์เองนะครับ
The Time : พอดีว่าวันนี้แม่ผมทำคุกกี้แล้วจำได้ว่าคุณแม่ชอบทาน แม่ผมเลยทำเผื่อเยอะเลย
The Time : แม่ให้ผมเอาไปให้วันนี้เลยเพราะเพิ่งอบเสร็จ อยากให้คุณแม่ได้ทานอร่อย ๆ ไม่ทราบว่าผมสามารถเอาเข้าไปให้ได้ตอนกี่โมงครับ
The Time : แล้วบ้านผมเพิ่งกลับจากลำปาง มีขนมมาฝากคุณแม่กับน้องน้ำตาลด้วย
The Time : พวกน้ำพริกหนุ่ม แคบหมู ไส้อั่ว ก็มีนะครับ กลัวว่าถ้าค้างหลายวันจะไม่อร่อย
The Time : คุณแม่สะดวกให้ผมนำเข้าไปให้กี่โมงบอกได้เลยนะครับ วันนี้ผมว่างนำของไปให้ทั้งวันเลย
ข้อความหลายประโยคข้างต้นถูกส่งไปทางไลน์ของแม่น้องน้ำตาล หัวใจคนส่งตุ้ม ๆ ต่อม ๆ แทบจะหลุดออกจากอกเมื่อทุกข้อความที่ไทม์ส่งขึ้นคำว่า ’Read’ จากปลายทาง ร่างสูงนั่งสั่นขาลุ้นกับคำตอบ
“แค่อนุญาตผมก็ไปรอน้องอยู่ดี แต่ตอบผมหน่อย ๆ ๆ ๆ น้ำตาลจะเลิกเรียนแล้ว”
เสียงทุ้มพูดกับหน้าจอโทรศัพท์ที่ปลายทางยังไม่ตอบกลับมาเลย ทั้งที่ขึ้นอ่านได้สักพักแล้ว ยิ่งแม่น้องเงียบไปนานเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ไทม์นั่งไม่ติดเบาะแล้ว
BAITOEY : วันนี้แม่ต้องอยู่ทำโอค่ะ เลิก 4 ทุ่ม ถ้าน้องไทม์มาก็ฝากไว้กับยามใต้อพาร์ทเมนต์ได้เลยค่ะ
ข้อความที่ปลายทางตอบกลับมา เมื่อไทม์อ่านจบก็เป็นห่วงน้องขึ้นมาทันที ถ้าแม่เลิกงานสี่ทุ่มงั้นน้ำตาลก็ต้องอยู่คนเดียวจนดึกขนาดนั้นน่ะหรือ แล้วข้าวปลาอาหารล่ะ น้องจะอยู่จะกินยังไง
The Time : ได้ครับ รบกวนคุณแม่ส่งโลเคชั่นอพาร์ทเมนต์ให้ผมหน่อยนะครับ ขอบคุณครับ
ไม่นานแม่ของน้ำตาลก็ส่งโลเคชั่นมาพร้อมกับสติ๊กเกอร์แต๊งกิ้ว ทั้งบทสนทนาในไลน์ไม่มีใครเอ่ยถึงน้ำตาลเลย เมื่อแม่ไม่พูดถึงไทม์ก็ไม่พูด แม้ในใจแอบหวังเล็กน้อยว่าแม่จะตอบมาว่า ‘แม่กลับดึก เอาของฝากไว้กับน้ำตาลก็ได้’ ทว่าก็ไม่ได้เป็นไปตามที่คิด นั่นก็ถือว่าเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าไม่อนุญาตให้ยุ่งกับน้องหรืออยู่กับน้องในที่ห้องในตอนที่แม่ไม่อยู่
แต่...ถ้าแม่ไม่รู้ก็คงไม่เป็นไร
ไทม์เดินไปหาแม่ในครัวเพื่อบอกว่าจะเตรียมตัวออกไปแล้ว ดีหน่อยที่อีกไม่กี่นาทีคุกกี้ในเตาอบก็จะเสร็จ คงทันเวลาที่ไทม์จะออกบ้านพอดี เขาไม่อยากออกไปช้ากว่านี้เพราะตั้งใจจะไปรอน้ำตาลที่ใต้อพาร์ทเมนต์ก่อน ทุกอย่างจะทำเสมือนว่าบังเอิญเจอน้องพอดีเลยเอาของฝากมาไว้ที่ห้องให้ แต่เรื่องจะอยู่ต่อหรือไม่นั้นก็ต้องดูหน้างานอีกทีหนึ่ง
17.15 น
หลังจากที่ไทม์มาถึงอพาร์ทเมนต์ได้สักพักหนึ่ง เขาจอดรถบริเวณด้านหน้าตึกโดยลอบสังเกตคนที่เดินผ่านไปมาอยู่ตลอดเผื่อจะเป็นคนที่อยากเจอ แต่แล้วเวลาผ่านไม่นานนักเจ้าเด็กตัวเล็กก็เดินมาพร้อมกับอมยิ้มสีชมพูในมือ เดินไปดูดอมยิ้มไปด้วยท่าทางร่าเริง
ไทม์รีบจัดแจงตัวเองทั้งเสยผมให้เป็นทรง ดึงเสื้อเชิ้ตที่ยับให้ตึง ก้มหน้าลงดมพิสูจน์วงแขนว่าจะไม่มีกลิ่นไม่พึงประสงค์มารบกวน หลังจากมั่นใจแล้วก็ลงจากรถโดยไม่ลืมหอบถุงของฝากจากเบาะหลังลงมาด้วย
“อ้าว น้ำตาล”
“พี่ไทม์ค้าบบบบบ”
พอน้ำตาลเจอไทม์ก็ดีใจมาก วิ่งกางแขนถืออมยิ้มข้างหนึ่งเพื่อมากอดคนพี่แน่น น้องซุกหน้าไว้ที่หน้าท้องแกร่งของไทม์โดยหารู้ไม่ว่าความยุกยิกของน้ำตาลพาให้ไทม์ยืนเกร็งท้องจนแทบเป็นตะคริว ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ไปฟิตเนสเลยพุงนิ่มเลยรีบเกร็งให้มันแข็ง ให้มันดูเฟิร์ม กลัวไม่เท่ในสายตาน้อง
“พี่มีของมาฝากเยอะเลย ขนมเพียบ แม่พี่ทำคุกกี้มาให้ด้วยนะ อร่อยมาก”
“โห เยอะจริงด้วย หนูอยากกิน ๆ ๆ”
“แต่ของหนักมากเลย ต้องมีที่เก็บนะครับ”
“ขึ้นไปบนห้องหนู เก็บไว้บนห้องก็ได้ มีที่ตั้งเยอะ”
“พี่ขึ้นไปห้องหนูได้เหรอครับ ถ้าแม่หนูรู้คงโดนดุกันทั้งคู่แน่เลย ที่ให้คนแปลกหน้าเข้าห้องแบบนี้”
ไทม์ยู่ปากพร้อมกับทำแววตาเศร้า ราวกับเป็นแผนหลอกล่อให้น้องติดกับ
“หนูไม่บอกแม่หรอก แม่รู้หนูก็โดนดุสิ แต่วันนี้หนูอยากให้พี่ไทม์อยู่เป็นเพื่อน แม่กลับดึกอะครับ”
“หนูไม่บอกแม่แน่นะ เกี่ยวก้อยก่อน”
“เกี่ยวก้อยสัญญาครับ หนูหวงพี่ ไม่อยากให้โดนแม่หนูดุ”
ไทม์รวบถุงให้อยู่ในมือเดียว แล้วใช้มืออีกข้างมาเกี่ยวก้อยกับน้อง ทว่าเจ้าเด็กน้อยก็พูดประโยคชวนให้ไทม์ตกใจไปกับคำว่า ‘หวง’ ทำไมเด็กเจ็ดขวบพูดมันออกมาได้หน้าตาเฉยขนาดนี้ ทั้งที่ตัวเองก็ใช่จะรู้ความหมายลึกซึ้งเสียเมื่อไหร่
“ยังไงนะ หวงอะไร แบบนี้เขาเรียกห่วงต่างหาก เฮ้อ เรานี่น้า”
“เข้าใจยากจัง งั้นหนูทั้งหวงทั้งห่วงพี่ไทม์เลยก็แล้วกัน”
“คำว่าหวงน่ะรอไว้ใช้กับแฟนเราตอนโตเถอะ”
“แฟนนี่ดูสำคัญจังเลยนะครับ หนูอยากเป็นแฟนพี่ไทม์บ้าง”
“อยากเป็นก็รีบโต”
ไทม์ตอบตัดประโยคส่งๆ ไปอย่างนั้น ไม่คิดว่าจะทำให้น้องดวงตาเป็นประกาย
“ได้ หนูจะกินนมเยอะ ๆ เพื่อนคนไหนไม่กินนมโรงเรียนหนูจะกินแทนเอง หนูอยากโตเร็ว ๆ”
เด็กหนอเด็ก ความโตที่คนพี่หมายถึงกับความโตเพราะอยากสูงของน้องมันคนละเรื่องกันเลย ทว่าหลังจากตกลงกันเสร็จน้ำตาลก็เดินนำพี่ชายใจดีไปด้วยตัวเบาหวิว ก็ไทม์เห็นน้องสะพายกระเป๋าหนังเลยรับมาสะพายไว้ที่ไหล่ให้ น้องแค่ถืออมยิ้มข้างหนึ่ง กุญแจห้องข้างหนึ่งเดินไปเท่านั้นก็พอ
ห้องพักขนาดกะทัดรัดถูกเปิดรับคนนอกเป็นครั้งแรก ไทม์ถือของเข้ามาวางก่อนจะถอดรองเท้าอย่างระมัดระวัง กลัวทำห้องน้องเลอะ
“ปกติแม่กลับดึกบ่อยไหม?”
“ไม่บ่อยครับ นาน ๆ ครั้งเลย แม่บอกว่าบางทีมันมีโอทีบังคับแม่ก็ต้องทำ”
“แล้วหนูจะกินข้าวกินปลายังไง รอแม่กลับมาเลยเหรอ ดึกนะ”
“มีข้าวเซเว่นในตู้เย็น เดี๋ยวหนูเวฟกิน”
ชีวิตการเป็นอยู่ของไทม์กับน้ำตาลถือว่าแตกต่างกันมาก ไทม์โตมาในครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่เข้าใจในตัวเขาและมีเวลาให้เสมอ ตั้งแต่เด็กจนโตไทม์ก็กินอาหารที่แม่ทำให้แทบจะไม่มีสักมื้อที่ขาดตกบกพร่อง โตมาหน่อยช่วยเหลือตัวเองได้ไทม์ก็เริ่มฝึกทำอาหารเอง แล้วดูน้ำตาลสิ การเลี้ยงดูที่มีขีดจำกัดทั้งเรื่องของเวลา สถานที่ แม้กระทั่งงบประมาณในการใช้จ่ายแต่ละวันก็เช่นกัน