เช้าวันรุ่งขึ้น
พี่ผาไม่ได้อยู่ทานข้าวเช้าด้วยกัน เขาออกไปไร่ตั้งแต่เช้าตรู่ก่อนแสงตะวันจะส่องกระทบหน้าต่างห้องนอนเสียอีก มีแค่ฉันที่นั่งจับเจ่ากับชามข้าวต้มเพียงคนเดียว ความรู้สึกเหงาและเศร้ามันทำให้กินข้าวไปทำเอ็มวีไปได้อย่างน่าเหลือเชื่อ
ฉันยกหลังมือป้ายน้ำตาออก ละเลียดชิมข้าวต้มหมูสับกลิ่นหอม สองตามองวิวทิวเขาด้านหน้าที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ไม่น่าเชื่อว่าที่ดินสุดหวงแหนของพี่ผา เขาจะแปรเปลี่ยนมันเป็นเรือนหอของเรา
บ้านเชิงดอยถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยจำนวนคนมากมายจนเสร็จทันพิธีวิวาห์ของฉันและเขา พี่ผาให้เหตุผลว่าอยากมีบ้านใกล้ๆ ไร่สักหลังมานานแล้ว จะได้ไม่ต้องขับรถไปมาระหว่างบ้านพ่อและไร่ตัวเอง มันเสียเวลา เขาว่าอย่างนั้น
พอฉันแต่งงานกับเขาก็เลยย้ายสำมาอยู่ที่นี่ ส่วนบ้านคุณลุงไตรภพก็ปล่อยทิ้งไม่มีคนอยู่ จะมีก็แต่พวกแม่บ้านที่เข้ามาทำความสะอาดทุกๆ วัน เก็บรักษาคงสภาพเอาไว้เผื่อวันข้างหน้าจำต้องใช้
“คุณเหนือจะเข้าไร่ก่าเจ้า” (คุณเหนือจะเข้าไร่เหรอคะ)
“ค่ะ หนูว่าจะแวะไปดูที่รีสอร์ทด้วย” ฉันจับจักรยานคู่ใจที่พี่ผาคงให้คนเอาเข้ามาเก็บไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
“ไปก่อนเน้อน้าหมี่ หนูฝากบ้านตวย” (ไปก่อนนะน้าหมี่ หนูฝากบ้านด้วย)
จักรยานคันเก่งที่ลุงไตรภพเคยซื้อเป็นของขวัญให้เมื่อตอนสอบได้ที่หนึ่งของชั้นมัธยมปีที่สี่ จนถึงบัดนี้กาลเวลาผ่านไปแต่เจ้าจักรยานคู่ใจยังคงสภาพใช้งานได้เป็นอย่างดี
แต่กว่าจะปั่นจักรยานมาถึงรีสอร์ททำเอาลมจับ ฉันพักสูดอากาศหายใจก่อนจะเข้าไปทักทายพวกพี่ๆ ที่บาร์เครื่องดื่ม โซนนี้มีเหล่าคนรู้จักและสนิทสนมกันทั้งนั้น
“ยัยน้องเหนือ มาได้ไงคะเนี่ย”
“ก่อน้องกึ๊ดเติงหาปี้ๆ” (ก็น้องคิดถึงพี่ๆ)
“ขอความจริงอี่น้อง”
“เหนือเบื่อ อยู่บ้านเฉยๆ มันฟุ้งซ่าน” ฉันถอนหายใจทิ้งพร้อมยู่ปากตอบเมื่อพี่ๆ รู้ทันกันเสียทุกเรื่อง
“มาหาพวกพี่ หนูไม่ฟุ้งซ่านแต่อาจปวดหัวกว่าเดิม” พี่คิตตี้หรือชื่อเดิมกิตติ ชายไม่จริงหญิงไม่แท้เอ่ยพร้อมเสียงหัวเราะ
“ยัยน้องมาที่นี่ได้แต่หนูอย่ามาช่วยงานอะไรพวกพี่อีกนะลูก เดี๋ยวได้แผลกลับไปโดนพ่อเลี้ยงดุซ้ำเอาอีก เข้าใจ๋ก่อ”
“เข้าใจ๋เจ้า” ฉันรับคำพี่ปรียาเป็นมั่นเหมาะ เธอคือพี่ใหญ่ผู้ควบคุมบาร์เครื่องดื่มของรีสอร์ท
เหตุผลที่พี่ๆ ตักเตือนฉันคงเป็นเพราะครั้งหนึ่งอยากทำตัวเป็นคนดีมีประโยชน์ด้วยการช่วยชงกาแฟให้ลูกค้า ไปๆ มาๆ ฉันดันทำครัวไหม้และได้แผลที่นิ้วมานิดหนึ่ง แต่ก็เป็นนิดหนึ่งที่ทำให้พี่ผาโวยวายใหญ่ว่าทุกคนไม่ดูแลฉันทั้งที่ฉันน่ะทำตัวเองทั้งนั้น
ตอนพี่ผาโมโหน่ากลัวมาก เปลี่ยนไปคนล่ะคนกับตอนใจดีเลยล่ะ คิดแล้วก็เสียวแผ่นหลังวาบ
“น้องเหนือเอากาแฟไหม”
“เอาเจ้า น้องขอสองแก้ว”
“สองแก้วเลยก่า” ฉันยิ้มแหยเมื่อพี่ใบหม่อนขมวดคิ้วถาม
“น้องจะเอาไปให้พี่ผาตวยเจ้า” (น้องจะเอาไปให้พี่ผาด้วยค่ะ)
“โอเค พ่อเลี้ยงน่าจะอยู่ที่ฟาร์มม้านะ เอาเข้มๆ เลยไหม”
“เข้มๆ เลยเจ้า”
ระหว่างที่รอพี่ใบหม่อนชงกาแฟ ฉันมองลูกค้าบางส่วนของรีสอร์ทที่เข้ามานั่งเล่นทานเครื่องดื่มทานขนม ถ่ายรูปวิวตามประสา
“ได้แล้วอี่น้อง ถือดีๆ เน้อ”
“ขอบใจ๋จั๊ดนักปี้หม่อนคนงาม เดี๋ยวน้องมาเน้อเจ้า”
(ขอบใจมากๆ พี่หม่อนคนงาม เดี๋ยวน้องมานะคะ)
ฉันยิ้มแป้นก่อนรับแก้วกาแฟเพื่อเตรียมนำไปส่งให้พี่ผา คิดว่าเดี๋ยวจะไปแวะที่ร้านอาหารบนไร่ชาเพื่อเตรียมข้าวกลางวันให้เขาด้วย พี่ผาน่ะชอบโหมงานหนักแล้วทานข้าวไม่ตรงเวลา ต้องมีคนคอยกระตุ้น
ขณะเดินมาที่จักรยานกำลังจะเข็นออกมาจากหลืบที่ฉันจอดไว้ สายตาดันสบมองเห็นคนตัวสูงพอดิบพอดี ฉันคงโบกมือ หยอยๆ พร้อมร้องเรียกชื่อเขาไปแล้วหากไม่ติดตรงที่พี่ผามากับผู้หญิงคนหนึ่ง ดูท่าทางสนิทสนมกันพอสมควร
ในมือเขาเข็นกระเป๋าเดินทางสีชมพูใบโต คงเป็นกระเป๋าของผู้หญิงคนนั้น ใบหน้าชื่นมื่นมีความสุขของทั้งสองคนที่พูดคุยกันทำเอาฉันยืนเป็นใบ้อยู่นานสองนาน กระทั่งพี่ผาเดินไปยังหน้าฟรอนต์ คงพาผู้หญิงคนนั้นไปเช็คอินเข้าพัก ฉันมองแก้วกาแฟพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่
หรือจะรับจบทั้งสองแก้วดี เอาให้ตาถ่างไม่ต้องนอนไปเลย
“นั่นตัวอะไรน่ะ..”
“ไอ้เหนือไปยืนทำอะไรตรงนั้น”
เสียงที่คุ้นเคยของคนทั้งสองกระชากอารมณ์ดำดิ่งของฉันให้กลับมาสดใสและยิ้มได้อีกครั้ง
“ไอ้เปา ไอ้หนาว! มาที่นี่ได้ไงน่ะ” ฉันแทบจะทิ้งจักรยานเมื่อเจอเพื่อนรักทั้งสองคนที่ลากกระเป๋าใบโตลงมาจากรถแดง
“ก็มาหาแกน่ะสิ”
ฉันโผกอดทั้งสองคนทั้งน้ำตา จากที่คิดว่าตั้งแต่เมื่อเช้าอารมณ์เริ่มคงที่แล้วแต่มันไม่ใช่เลย
“ฮึก ฮือออ คิดถึงจะตายอยู่แล้วพวกบ้า ทำไมพึ่งมา”
กลายเป็นว่าเพื่อนต้องลากตัวฉันไปสงบสติอารมณ์ยังห้องพักที่จองเอาไว้ กว่าจะหยุดร้องไห้ฉันตาบวมปูดเป็นลูกมะนาว
“ขอโทษนะแกที่ไม่ได้มาวันเผา คิดว่าจะทันแต่มันผิดแผนไปหมดเลยว่ะ” น้ำหนาวเอ่ยพร้อมสีหน้ารู้สึกผิด ฉันก็พยักหน้าให้เพื่อนอย่างเข้าใจ
เธอเป็นเพื่อนรักของฉันตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับอั่งเปา น้ำหนาวและฉันมีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกัน อย่างเช่นอาหารการกิน หนัง เพลง แม้แต่ชื่อเราสองคนยังคล้ายๆ กันเลย
“ส่วนเจ๊ติดธุระค่ะ เอกสารเรื่องย้ายโรงเรียนมั่วไปหมด กว่าจะจัดการได้เล่นเอาเหงื่อตก” ยัยคนนี้มีนามว่าอั่งเปา เป็นคุณครูและเป็นชายไม่แท้เพียงคนเดียวที่เป็นเพื่อนรักฉัน
“พวกฉันรีบมาที่นี่ให้ไวที่สุดเพื่อที่แกจะได้ไม่ต้องคิดมากเวลาอยู่คนเดียว ตอนนี้ก็ยังไม่โอเคขึ้นเลยสินะ”
“ก็มีช่วงจังหวะดาวน์ๆ บ้าง แต่โอเคขึ้นเยอะแล้วนะ”
“แล้วเมื่อกี้อีตัวไหนมันร้องเพลง” อั่งเปาแซวที่ฉันร้องไห้
“อี่ตัวนี้แม่นก่อ” (อีตัวนี้ใช่ไหม)
น้ำหนาวชี้มาทางฉัน เป็นจังหวะที่เสียงขำดังขึ้นพร้อมกันอย่างไม่นัดหมาย
“ไอ้พี่ศรุตยังติดต่อแกมาอยู่ไหม” จู่ๆ น้ำหนาวก็วกมาถามเรื่องแฟนเก่าของฉัน
นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ ในหัวนึกถึงใบหน้าหล่อเหลาของอดีตคนรัก “ก็มีบ้าง ทั้งส่งข้อความและโทรมา แต่ฉันไม่ได้ติดต่ออะไรกลับไปนะ” แค่บอกเลิกเขาฉันก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้ว การที่ให้เขาได้ยินเสียงฉันหรือเห็นหน้า มันไม่ดูเป็นการใจร้ายตอกย้ำความรู้สึกคิดถึงของอีกคนเหรอ
ปล่อยให้เวลาลืมฉันไปเถอะ…
“ดีแล้วล่ะแก แกกับพี่ภูผาจะได้ไม่ผิดใจกัน”
ฉันหัวเราะ ไม่รู้ว่าทำไมต้องหัวเราะ
“พี่ผาเขาคงไม่สนใจหรอก ต่อให้ฉันแต่งงานกับเขา แต่สถานะของเรามันไม่ได้ขยับขึ้นมามากกว่าพี่น้องเลย”
“พึ่งแต่งกันไปได้ไม่เท่าไรเอง รอดูต่อจากนี้เถอะ ยังไงคนขึ้นชื่อว่าเป็นสามีภรรยา มีทะเบียนสมรส ความสัมพันธ์มันต้องยกระดับอยู่แล้ว แกน่ะอย่าคิดมาก”
ฉันถอนหายใจผะแผ่วในขณะที่เพื่อนกำลังปลอบใจ
สามีภรรยางั้นเหรอ?
สามีภรรยาในนามล่ะสิไม่ว่า