1 เดือนผ่านไป ลิลลี่มัวแต่เขียนทีสิสจนถึงดึกดื่นเกือบทุกวันเพียงเพราะกำลังเมามันกับเนื้อหาอยู่ ส่วนสุวิทย์พ่อของเธอตอนนี้มีคดีใหญ่ที่ต้องลงมือทำด้วยตนเองจึงไม่รบเร้าให้พาไปโรงพยาบาล
ป้าดาวแม่บ้านประจำบ้านที่คอยดูแลครอบครัวนี้อยู่นึกสงสัยว่าทำไมวันนี้ลิลลี่คุณหนูของบ้านไม่ยอมลงมากินข้าวเช้าเสียที ปกติเธอจะลงมาเร้ารือให้ทำเมนูต่างๆให้เธอทานหรือไม่ก็ขอขนมปังง่ายกินเท่านั้น แต่เช้านี้ไม่เป็นอย่างนั้นแม่บ้านหญิงวัยกลางคนจึงปลีกตัวขึ้นไปดู
ก๊อกๆ
"คุณหนูคะ วันนี้ป้าทำข้าวต้มกุ้งลงมาทานกันนะคะ"
"..."
มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ ป้าดาวถือวิสาสะเข้าห้องไปดูเจอลิลลี่นอนซมบนเตียง แอร์เย็นฉ่ำองศาแทบจะเป็นเลขตัวเดียว ลิลลี่ห่มผ้าห่มจนมิดแต่มีเหงื่อผุดเต็มหน้า หน้าตาไม่สู้ดีเลยจึงเอาหลังมือแนบหน้าผาก
"ตายแล้ว! ตัวร้อนมาก ป้าไปแจ้งคุณนายก่อนนะคะ!"
ป้าดาวรีบวิ่งไปบอกแม่ของเธอ แล้วเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็คตัวหวังช่วยคลายความร้อนให้
"ดาว! รีบพาลิลลี่ไปโรงพยาบาลกันเถอะ!"
เสียงทุ้มของกัลยาผู้เป็นแม่ตะโกนขึ้น แล้วพยายามพยุงตัวลิลลี่ลงจากเตียงแล้วพาไปขึ้นรถตู้ครอบครัวมุ่งไปโรงพยาบาลเอกชนประจำ
--
"อืม"
เสียงงัวเงียของลิลลี่ดังขึ้น ทำให้แม่กัลยาสวมแมสปิดปากกันไข้หวัด รีบลุกพรวดจากโซฟามาดูอาการ ลูกสาว ลิลลี่พบว่าตัวเองมีสายน้ำเกลือเสียบอยู่ที่หลังมือ ห้องขาวโล่งสะอาด
"ไงลูก"
"หม่าม๊า หนูมึนหัวมากเลย" เสียงแหบแห้งไร้พลังเอ่ย
"เมื่อเช้าป้าดาวเห็นขึ้นไปดูที่ห้อง ไข้สูงมากม๊าเลยพามาที่โรงพยาบาล ..หมอณทีบอกว่าแกเป็นไข้หวัดใหญ่ไปติดใครมาเนี่ย"
"ไม่รู้สิคะ แต่ 2 วันก่อนหนูไปวิ่งที่สวนมา ไวรัสมันคงเข้ามาจากแถวนั้นแหละ เหอะๆ"
"นอนพักไปนะ อยากกินไรมั้ยเดี๋ยวม๊าไปซื้อมาให้ น้ำผลไม้มั้ยลูก"
"อะไรก็ได้ค่ะ หนูคงทานได้ไม่เยอะอยู่ดี"
กัลยาออกไปซื้อของตามว่า สักพักก็ได้ยินเสียงเคาะประตูมีคนเดินเข้ามา เธอชายตามองพบว่าเป็นหมอคนที่คุ้นเคยสวมเสื้อกราวน์ขาว ร่างสูงชะลูด สวมแว่นสายตาและปิดแมส... หมอณที เขาเข้ามาเช็คร่างกาย เช็คสายน้ำเกลือและให้พยาบาลเข้ามาวัดไข้กับความดันตามรอบ และเอาแผ่นเจลลดไข้มาแปะบนหน้าผากเพิ่มอีก
"ออกไปก่อน" เขาหันไปบอกพยาบาลและผู้ช่วย พยาบาลคนนั้นก็ทำตามสั่งเข็นอุปกรณ์ออกไป ปล่อยหมอกับคนไข้อยู่ในห้องสองต่อสอง
"ต้องนอนอีกกี่คืนคะ" เธอพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้งหมดเรี่ยวแรง
"สัก 2-3 คืน" เขาพูดแล้วเอามือเท้าแขนบนเตียงคนป่วยแล้วโน้มตัวมาจ้องหน้าเธอ
"มีอะไรปะคะ?"
เธอเอ่ยถามด้วยความสงสัย คิดว่าเขาคงเช็คสีหน้าคนไข้หรือยังไง ถึงต้องโน้มตัวเข้ามามองใกล้ๆ หรือหน้าเธอมันซูบเกินคนป่วยปกติหรือเปล่านะหรือว่าป่วยแล้วผิวหน้ายังฉ่ำดีอยู่กันแน่
"พักเถอะ หายดีแล้วเราค่อยคุยกัน"
เขาทิ้งประโยคน่าสงสัยเอาไว้แล้วเดินออกจากห้องไป ปล่อยคนป่วยนอนงง ลิลลี่ไม่อยากคิดอะไรมากจึงหลับตานอนพักต่อปล่อยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเอง
.
วันออกจากโรงพยาบาล ลิลลี่หน้าตาสดใสขึ้นมากสวมเสื้อยืดลายการ์ตูน กางเกงยีนส์ขาสั้นตัวโปรด รองเท้าแตะง่ายๆ พร้อมกลับบ้านเต็มที สุวิทย์พ่อเธอเดินเข้ามาพร้อมหอบกระเช้าของฝากชุดใหญ่เข้ามา ทำให้ลูกสาวหรี่ตามองพ่อ
"ให้หนูหรือให้หมอ?" ลิลลี่ถาม
"ให้หนูเอาไปให้หมอ" สุวิทย์ตอบแถมยิ้มกรุ่มกริ่ม
"โอ้ย..เขาแค่รักษาตามหน้าที่จะขยันซื้อของฝากไปให้ทำไม"
"ปะๆ พยาบาลบอกว่าให้เข้าไปหาที่ห้องเขาได้เลย พ่อรอนี่นะ"
"เฮ้ออออออ" เธอกรอกตาไปมาด้วยความหน่าย
ลิลลี่ยอมทำตามพ่อสั่ง เธอไปยังชั้นห้องทำงานของหมอณที แล้วเคาะห้องเรียก
ก๊อกๆ
"เชิญครับ"
เสียงทุ้มขานรับ ลิลลี่เดินเข้าไปพบหมอณทีสวมแว่นและแมสปิดปากเช่นเคย กำลังพิมพ์คอมพิวเตอร์อยู่
"พ่อให้เอามาให้ค่ะ"
"ขอบคุณครับ ฝากวางไว้บนโต๊ะหน่อย"
"แล้ววันก่อนที่หมอบอกว่ามีเรื่องต้องคุยกับฉัน คือเรื่องอะไรคะ" ลิลลี่ฉุกคิดขึ้นมาได้เรื่องวันแรกที่เขาเข้ามาทำท่าทางแปลกๆ เธอวางกระเช้าที่โต๊ะรับแขก
ก๊อกๆ
"กาแฟค่ะคุณหมอ" พยาบาลเข้าในห้องพร้อมแก้วกาแฟมาเสิร์ฟหมอณที
"ขอบคุณครับ"
พอพยาบาลออกไปจากห้อง เขาก็ยกกาแฟเตรียมดื่มแต่ไม่ลืมที่จะถอดแว่นและเปิดแมสออก เผยใบหน้าเต็มที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
"กรี๊ดดดดดดด!!!"
ลิลลี่ร้องกรี๊ดทันทีที่เห็นหน้าตาของเขา จนหมอณทีตกใจรีบวิ่งมาปิดปากเธอไว้ ใบหน้าหล่อคุ้นเคยอยู่ใกล้แค่คืบ
"ร้องทำไม?!" หมอถามด้วยสีหน้าตกใจ เสียงกรี๊ดของลิลลี่ดังจนพยาบาลคนเมื่อกี้วิ่งกรูเข้ามาถาม
"เกิดอะไรขึ้นคะ?!" พยาบาลร้องถาม เห็นสภาพหมอณทีกำลังปิดปากลิลลี่ที่โซฟาอยู่
"เอ่อออ.. น่าจะ....แมลงครับ! คุณลิลลี่เห็นเลยกรี๊ดออกมา ขอโทษด้วยครับ" หมอณทีเฉไฉกุเรื่องบอก
"โธ่เอ้ยใจหายใจคว่ำหมด ... งั้นเดี๋ยวดิฉันให้แม่บ้านเข้ามาทำความสะอาดอีกรอบนะคะ ขอโทษด้วยนะคะคุณลิลลี่" พยาบาลเดินออกไป ส่วนหมอณทีก็ปล่อยมือออกจากปากเธอ
"คุณ!"