ปัจจุบัน…
เสียงเพลงอิเล็กทรอนิกส์จากชั้นล่างดังสั่นสะเทือนขึ้นมาถึงชั้นสอง ไฟสีม่วง น้ำเงินสะท้อนขึ้นมาแตะผิวโต๊ะกระจกในโซน VIP อย่างมีสไตล์ ผู้คนด้านล่างแน่นขนัด แต่โซนนี้กลับกว้าง โล่ง และให้ความรู้สึกพิเศษกว่าใคร
กลุ่มผู้หญิงสี่คนที่นั่งอยู่บนโซฟาหนังหรูคือแก๊งที่ใครก็รู้จัก
“ชีสเค้ก”
ประกอบด้วย วีนัส, ครีมมี่, เจนนิส และ เมลบี
สี่ตัวแม่ที่ต่างสไตล์แต่มีเสน่ห์รอบตัวจนใครก็เหลียวมอง
วันนี้ครีมมี่ไม่ได้ขึ้นมานั่งด้วย เพราะเธอกำลังเปิดเพลงอยู่เวทีชั้นล่างในนามดีเจ “ซันเดย์” ให้บรรยากาศทั้งผับส่งเสียงสดใสขึ้นอีกเท่าตัว
บนโซฟา VIP วีนัสยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวราวกับอยากลบความคิดบางอย่างออกจากหัวให้ได้
เจนนิสที่นั่งไขว่ห้างอยู่ใกล้ ๆ เธอ เอียงหน้าเข้าไปถามแบบไม่อ้อมค้อม
“แล้วยังไงต่อวะ? ตอนนั้นมึงเป็นคนบอกเลิกเขาเองไม่ใช่เหรอ ทำไมตอนนี้ถึงอยากกลับไปคบกันอีกอ่ะ?”
เมลบีที่กำลังดูดหลอดค็อกเทลอยู่เงียบ ๆ ก็ชำเลืองตามองเหมือนอยากฟังเหมือนกัน
วีนัสวางแก้วลงอย่างช้า ๆ นิ้วเรียวเคาะปากแก้วเบา ๆ
เสียงเพลงด้านล่างหมุนเข้าจังหวะหนักขึ้นพอดี
“เอาตรง ๆ ปะ…” เธอพูดเหมือนสารภาพบาป
“ตอนแรกที่เจอก็มองเฉย ๆ กูยังคิดว่าลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ…”
เธอหัวเราะเบา ๆ แบบขื่น ๆ
“แต่พอเห็นว่ามีผู้หญิงมาสนใจมัน มีคนมาคุยด้วย…กูถึงรู้เลยว่า กูแม่งไม่เคยลืมมันได้เลย”
เจนนิสกับเมลบีหันมามองหน้ากัน ก่อนจะหันกลับมาที่วีนัส
แววตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความสงสารผสมอยากรู้ต่อ
ด้านล่าง เสียงครีมมี่ตะโกน “ขอเสียงหน่อยค้า!” ดังขึ้นท่ามกลางเสียงเพลงที่หนักจนพื้นสั่น
แต่เสียงในหัวของวีนัส…มีแค่ชื่อเดียว
วิศวะ
ระหว่างที่วีนัสกำลังเล่าเรื่องอยู่ เสียงรองเท้าผ้าใบคู่คุ้นก็ดังขึ้นบนพื้นโซน VIP ก่อนที่ร่างสูงของวิศวะจะปรากฏเข้ามาในสายตาเพื่อนทั้งกลุ่ม
เขาเดินเข้ามาแบบไม่สนใจสายตาใคร ก่อนจะนั่งลงบนที่วางแขนโซฟาข้างวีนัสอย่างถือสิทธิ์เต็มที่ แล้วโน้มตัวลงมาคาดแขนรอบคอเธอด้วยท่าทีสนิทสนมจนบอกชัดว่า
นี่ของกู
“โทรหาทำไมไม่รับล่ะ…”
เสียงทุ้มดังข้างหูวีนัสแบบที่ทำให้ทั้งโต๊ะเงียบไปชั่วครู่
“กว่าจะหาโต๊ะเธอเจอ นึกว่าหนีไปไหน”
วีนัสยิ้มบาง ๆ หันไปหาเขาเหมือนลืมโลกทั้งห้อง
“เอ้า ตัวเองโทรมาหรอ ขอโทษนะ ไม่ได้ยินจริง ๆ อ่ะ กำลังคุยกับเพื่อนอยู่”
เมลบีที่นั่งฝั่งตรงข้ามยกมือกุมอกทันที
“โอ๊ยยย ลำไยชิบหาย!”
เจนนิสเอาผมทัดหูแล้วพูดตามด้วยน้ำเสียงร้าวหัวใจแบบกวน ๆ
“เออ ลำไยเหมือนกัน ขนลุกไปหมด! มึงจำปีที่แล้วได้ปะ อีดอกนี่ยังเดินตามจีบเขาเป็นหมาอยู่เลย คิดแล้วขำ”
วีนัสยืดตัวขึ้นอย่างไม่อายสักนิด
“ก็ให้ทำไงวะ ก็…กูอยากได้ คนของกู คืนอ่ะ”
คำว่า คนของกู ทำเอาวิศวะเลิกคิ้วนิด ๆ แต่ยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจ
เขาขยับมือจากคอมาโอบไหล่เธอแทนเหมือนประกาศความเป็นเจ้าของแบบเงียบ ๆ
เมลบีมองสลับสองคนก่อนถามอย่างสงสัยจริงจัง
“แล้วมึงสองคนกลับมาคบกันได้ไงก่อน? ไหนตอนแรกมึงบอกไม่เอาไง วิศวะ”
วิศวะกับวีนัสหันมามองหน้ากัน รอยยิ้มมุมปากเหมือนกันราวกับนัดกันไว้
ก่อนที่ภาพในหัวของทั้งคู่จะไหลย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
——
ย้อนกลับไปเมื่อปีที่แล้ว…
ทุกอย่างมันเริ่มจากวันรับน้องคณะวิศวกรรมเครื่องกล
ลานหน้าตึกคณะเต็มไปด้วยผู้คน เฟรชชี่หลายสิบชีวิตวิ่งวุ่นไปมาด้วยใบหน้าตื่นเต้นปนกังวล ทั้งเพราะแดด ทั้งเพราะเสียงรุ่นพี่ที่ดังจนไม่รู้จะยืนตรงไหนก่อนดี
เสียงประกาศจากรุ่นพี่ปีสามที่ถือโทรโข่งอยู่กลางลานดังขึ้นแบบโคตรชัด
“น้อง ๆ เฟรชชี่ที่ยังไม่ได้รับป้ายชื่อ มาติดต่อที่โต๊ะพี่ก่อนนะคะ! ใครไม่มีป้ายต้องไปต่อแถวใหม่ ไม่งั้นพี่มองไม่เห็นหน้าไม่รู้จักชื่อกันนะ!”
เสียงฮือฮาจากเด็กปีหนึ่งดังขึ้นทันที บางคนรีบวิ่ง บางคนยืนมองกันแบบงง ๆ
วีนัส ผู้หญิงตัวเล็ก ผมยาวตรง สะพายกระเป๋าผ้าสีขาว เดินเข้ามาในลานด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเรื่องวุ่นวายรอบตัวไม่เกี่ยวกับเธอ แม้แดดจะร้อนจนแสบผิว
แต่เธอกลับดูโดดเด่นกว่าใคร เพราะขนาดหน้าอกที่มันเด่นจนใครหลายคนต้องหันมามอง ขนาดยังไม่ได้เข้าแถวป้ายชื่อก็มีคนเหลียวมองแล้ว
เธอหยุดมองโต๊ะลงทะเบียน ก่อนพึมพำกับตัวเองเบา ๆ
“ป้ายชื่อ… อยู่ไหนวะเนี่ย”
วีนัสบ่นพึมพำพลางมองหาด้านหน้าตึก ก่อนจะยกมือกันแดดร้อน ๆ แล้วกำลังก้าวเท้าออกไปยังโต๊ะลงทะเบียน
ทว่า…
ปึก!
ร่างเล็กของเธอเซนิด ๆ เมื่อถูกใครบางคนเดินมาชนเต็มแรงพอให้สะดุ้ง
วีนัสหันขวับไปตามสัญชาตญาณ…แล้วชะงักทันที
หัวใจเหมือนหล่นวูบไปที่พื้น
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นแฟนเก่า… ที่เธอไม่คิดว่าจะมาเจอในวันแรกแบบนี้
วิศวะ
เขาสูงกว่าเดิม ไหล่กว้างกว่าเดิม แถมใส่ชุดนักศึกษาพร้อมรอยสักแบบเท่โคตร ๆ แบบที่วีนัสไม่คิดว่าเขาจะสักมัน
เงาจากลานแดดบังครึ่งหน้าเขา ทำให้ดวงตาคม ๆ นั้นดูคมกว่าเดิมอีกสิบเท่า
ส่วนวิศวะเองก็เหมือนถูกชะงักไปทั้งตัว
มือที่กำลังจะเอื้อมมาจับไหล่เธอเพื่อขอโทษค้างอยู่กลางอากาศ
คำว่า “ขอโทษครับ” ที่ตั้งใจจะพูด…กลืนหายไปหมดเมื่อเห็นหน้าคนที่เขาไม่คิดว่าจะเจอแบบนี้
ทั้งคู่ยืนนิ่ง
มองหน้ากันอยู่สอง สามวินาที
แต่กลับรู้สึกเหมือนเวลาหยุดไหล
จนกระทั่ง…
“เกะกะชิบหาย หลบดิ!”
เสียงทุ้มของ วิศวะหลุดออกมาอย่างหงุดหงิดในจังหวะที่เขา เดินชน ร่างวีนัสเต็มแรง โดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งเพราะแดด ทั้ง เพราะความรีบ และเพราะ
เขาไม่คิดว่าจะมาเจอหน้าเธอแบบนี้ในวันแรกด้วยซ้ำ
วิศวะยกมือดันวีนัสออกจากทางอย่างลน ๆ
ไม่รู้ว่าเพราะตกใจ หรือเพราะใจเต้นแรงจนทำตัวไม่ถูกกันแน่
วีนัสเซไปข้าง ๆ
ส่วนวิศวะก็ชะงักเหมือนถูกดึงออกมาจากภวังค์รวดเร็วเกินไป บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยเสียงเฟรชชี่เข้าคิว เสียงรุ่นพี่ตะโกน
แต่สำหรับสองคนนี้…
หัวใจมันดังจนกลบเสียงอื่นหมดแล้ว
“ไอบ้าผลักมาได้… เจ็บนะเว้ย!”
วีนัสบ่นตามหลังวิศวะทันทีด้วยความหงุดหงิด เสียงไม่ได้ดังมาก แต่ชัดพอให้เขาได้ยินถ้าใส่ใจ
วิศวะชะงักไปเสี้ยววินาที แต่ก็ไม่ได้หันกลับมา
ปล่อยให้วีนัสยืนมองแผ่นหลังเขาด้วยอารมณ์คุกรุ่นอยู่ในอก
เธอถอนหายใจแรง ๆ ก่อนจะส่ายหน้า
“บ้าชิบ… มาเจออะไรแต่เช้าเนี่ย”
แล้ววีนัสก็เดินไปต่อแถวเพื่อรับป้ายชื่อตามเดิม พยายามไม่ปล่อยให้อารมณ์เก่า ๆ กวนใจมากเกินไป
แต่หัวใจมันกลับเต้นแรงกว่าเดิมโดยไม่รู้ตัว…