“เลิกกันเถอะ”
“เลิกกันเถอะวิศวะ… วีเบื่อเธอแล้วอ่ะ แล้ววีก็มีคนใหม่แล้วด้วย”
เสียงของวีนัสดังนิ่ง แต่ปลายนิ้วเย็นเฉียบจนแทบชาหนึบ คำพูดที่เธอปล่อยออกไป… ไม่ต่างอะไรกับมีดที่กำลังกรีดลงกลางอกตัวเอง
วิศวะชะงักไปเหมือนถูกตบหน้า
“พูดบ้าอะไรของเธอว่ะ วีนัส”
เขาแทบไม่เคยขึ้นเสียงใส่เธอ แต่วันนี้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและความเจ็บที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ
วีนัสกัดฟันแน่น ไม่กล้ามองสบตา
“ก็เนี่ย… วิศวะใจร้อนแบบนี้ไง วีเลยเบื่อ เลิกกันเถอะ”
เธอพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ตั้งใจให้เย็นชา ทั้งที่หัวใจด้านในกำลังสั่นจนแทบยืนไม่ไหว
“เธอคิดดีแล้วหรอ…”
เสียงของวิศวะสั่นน้อย ๆ แบบที่เจ้าตัวเองก็ไม่ได้ตั้งใจ “ฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยหรอวีนัส ทำไมถึงมีคนใหม่… ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ตกลงเลิกกันเลยนะ”
วีนัสหลุบตาลง ไม่กล้าสบสายตาที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเขา
เธอกัดริมฝีปากแน่นก่อนฝืนยิ้มเย็น ๆ ออกมา
“ก็อย่างที่บอก… วีเบื่อ วีเหนื่อย”
เธอเน้นคำทีละคำราวกับกำลังตัดสัมพันธ์ของตัวเอง “แล้วคนใหม่เขาก็สนใจวีมากกว่าเธอด้วย เพราะงั้น… ต่อไปนี้ไม่ต้องโทรหรือส่งข้อความอะไรมาแล้วนะ เลิกกันเถอะ”
เธอพูดย้ำอีกครั้งราวกับจะปิดประตูทุกบาน
ก่อนหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่นิดเดียว
เสียงรองเท้ากระทบพื้นเบา ๆ ของวีนัสดังไกลออกไปเรื่อย ๆ แต่หัวใจของวิศวะกลับหนักขึ้นทุกก้าวที่เธอเดินหนี
เขายืนมองแผ่นหลังของเธอที่ค่อย ๆ ไกลออกไป…
ไกลจนเขารู้ว่า ต่อให้ยื้อมากแค่ไหน ครั้งนี้เขาก็เสียเธอไปจริง ๆ แล้ว
——
สามวันต่อมา…
โรงอาหารของโรงเรียนมัธยมเต็มไปด้วยเสียงจอแจ เด็กหลายกลุ่มกำลังกินข้าว คุยกันเสียงดัง บางโต๊ะมีเด็กชายวิ่งไล่กันจนคุณครูเวรต้องเดินมาเตือน บรรยากาศวุ่นวายตามสไตล์โรงเรียนช่วงพักกลางวัน
ที่มุมโซนโต๊ะยาวริมหน้าต่าง วิศวะนั่งนิ่งอยู่กับถาดข้าวแทบไม่ได้แตะกิน ข้าง ๆ เป็นภูผาและอาทิตย์ สองเพื่อนสนิทที่โตมาด้วยกันตั้งแต่ประถม เขาอยู่กลุ่มเดียวกันมาตลอดจนใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นแก๊งสามหนุ่มประจำสายวิทย์-คณิต
ภูผาเพิ่งลากเก้าอี้เหล็กฝืด ๆ ออกนั่ง ก่อนจะถามทันที
“เห้ย ไอวิศวะ… มึงเลิกกับวีนัสแล้วจริงดิ?” เสียงเขานี่ดังจนโต๊ะข้าง ๆ แอบหันมามอง
“เมื่อกี้กูเห็นวีนัสเดินคู่กับไอ้นนท์ ห้องแปดอยู่ด้วยนะเว้ย”
วิศวะชะงักไปนิด แต่ตอบเสียงเรียบ
“อืม… วีนัสบอกเลิกกู แล้วก็ไปคบกับไอ้นนท์”
“ห๊ะ?! ไปคบกันตอนไหนวะ?” อาทิตย์ ที่กำลังเขี่ยหมูทอดในจานอยู่ถึงกับเงยหน้าขึ้น
“กูว่ามึงสองคนยังดี ๆ กันอยู่เลยนี่หว่า…”
“ไม่รู้ว่ะ…” วิศวะวางช้อนลงเหมือนไม่อยากแตะข้าวต่อ
“ช่างมันเหอะ กูไม่อยากเก็บมาใส่ใจแล้ว”
อาทิตย์หลุบตาเหมือนเพิ่งรู้ว่าถามแรงเกิน
“เออ ๆ โทษทีว่ะ กูแค่สงสัยเฉย ๆ ไม่ได้จะซ้ำเติม”
ภูผามองหน้าเพื่อนตรง ๆ ก่อนถามประโยคที่แทงใจสุด
“แล้วมึงจะมองหน้ากันติดปะวะ? อยู่ห้องเดียวกันด้วย”
โต๊ะเงียบไปชั่วครู่
เสียงเด็กโดนบอลกระแทกดัง “ป้าบ!” ที่ลานกว้างยังดังอยู่ แต่ในโต๊ะของพวกเขาเหมือนทุกอย่างหยุดลงแค่ตรงนั้น
วิศวะยิ้มจาง ๆ แบบฝืนสุดชีวิต “ก็ต้องติดแหละ… จะทำไงได้ล่ะ”
แต่เพื่อนทั้งสองรู้ดี
ว่าวิศวะไม่ได้โอเคเลยแม้แต่นิดเดียว
——
เข้าเรียนภาคบ่าย…
เสียงออดดังได้ไม่นาน คุณครูประจำวิชาก็เก็บเอกสารก่อนหันมาบอกเด็กทั้งห้อง
“เอาล่ะนะคะ การบ้านที่ครูสั่งไปอย่าลืมมาส่งกันด้วยนะ ใกล้สอบแล้ว ถ้าไม่อยากติดศูนย์ก็รีบทำมาให้เรียบร้อยค่ะ”
ว่าจบคุณครูก็เดินออกจากห้อง ปล่อยให้บรรยากาศในห้องเริ่มวุ่นตามสไตล์ช่วงเย็นใกล้เลิกเรียน
“วีนัสสสส~ เลิกเรียนแล้วไปหาอะไรกินหน้าโรงเรียนกัน!”
เสียงเพื่อนสาวของวีนัสดังลั่นจนคนทั้งห้องหันมามอง
วีนัสเงยหน้าขึ้น ยิ้มบาง ๆ
“เออ เอาดิ กูอยากกินมะม่วงอ่ะ เปรี้ยว ๆ หน่อย”
เสียงหัวเราะคิกคักของกลุ่มผู้หญิงดังไปทั่วโต๊ะริมหน้าต่าง
ด้านหลังห้อง แถวติดประตู วิศวะนั่งนิ่ง มือเก็บสมุดใส่กระเป๋าช้า ๆ แต่สายตากลับจับจ้องที่วีนัสตลอด เหมือนหัวใจมันเผลอทำงานเองโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะไม่ใช่คนของเขาแล้ว
ภูผาที่นั่งติดกันเหลือบตามองเพื่อน ก่อนถอนหายใจเบา ๆ
เขามองตามสายตาของวิศวะไปยังโต๊ะวีนัส แล้วหันกลับมาเตือนอย่างอ่อนใจ
“ไปเถอะมึง… เลิกสนใจเขาได้ละ”
น้ำเสียงไม่ได้แข็ง แต่หนักแน่นพอให้รู้ว่าเขาเป็นห่วงเพื่อนจริง ๆ
วิศวะกำมือบนหูซิปกระเป๋าแน่นเล็กน้อย
แต่ก็ยังหันไปมองวีนัสอยู่ดี เหมือนจะเลิกไม่ได้ง่าย ๆ อย่างที่เพื่อนพูด
หลังเลิกเรียนไม่นาน วิศวะ ภูผา และอาทิตย์ ก็เดินออกมาหน้าโรงเรียนเหมือนทุกวัน โซนขายของกินส่วนหน้าประตูเต็มไปด้วยเสียงคนจอแจ กลิ่นลูกชิ้นทอดและไก่ปิ้งลอยตลบอบอวลจนท้องร้องตามแบบเด็กมัธยม
ทั้งสามหยุดที่ร้านลูกชิ้นเจ้าประจำของลุงหนุ่ม วิศวะกำลังส่งจานลูกชิ้นที่เลือกแล้วให้ลุง
ทว่า…
เสียงฝีเท้าเบา ๆ ดังขึ้นข้าง ๆ วีนัสเดินเข้ามาหยุดที่ร้านเดียวกันแบบไม่ทันตั้งใจ เธอเห็นเขาก่อน และเหมือนจะยิ้มทักทาย
เป็นรอยยิ้มแบบเพื่อน… แบบที่ดูพยายามทำให้ธรรมดา ทั้งที่มันไม่ธรรมดาเลยสำหรับเขา
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะเอ่ยชื่อเขา…
“วีนัส!”
เสียงของนนท์ดังขึ้นดักทันทีจากด้านหลัง
วีนัสหันไปตามเสียง
“อ้าว เลิกเรียนแล้วหรอ ว่าจะซื้อลูกชิ้นเสร็จแล้วไปนั่งรอหน้าตึก”
นนท์เดินเข้ามาใกล้จนแทบชิด ยิ้มกว้างเหมือนโลกนี้มีแค่เธอ
“อื้ม อาจารย์ปล่อยเร็วอ่ะ วันนี้เราไปส่งเองนะ วันนี้เอามอไซค์มา”
เขาว่าพร้อมยื่นมือไปคล้องคอเธอแบบสนิทสนม อีกข้างก็ชูพวงกุญแจรถแกว่งไปมาอวดอย่างภูมิใจ
ภาพสองคนนั้นอยู่ในสายตาวิศวะเต็ม ๆ
ใกล้กว่าเมื่อสามวันก่อน ชัดกว่า แล้วยิ่งเจ็บกว่าเดิมหลายเท่า
“ไอหนุ่ม! ลูกชิ้นเอ็งนี่ ราดน้ำจิ้มเลยไหม?”
เสียงลุงเจ้าร้านดังขึ้นพอดี ทำให้วิศวะสะดุ้งออกจากภวังค์
“อ่—อ่อ… ราดเลยครับลุง”
เขาตอบตะกุกตะกักเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองยืนทำอะไรอยู่
ลุงหนุ่มราดน้ำจิ้มแล้วส่งถุงลูกชิ้นให้ วิศวะยื่นเงินให้เร็ว ๆ เหมือนอยากรีบออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
แต่เสียงหัวเราะของวีนัสกับนนท์ยังดังตามหลัง แสบเหมือนน้ำร้อนราดลงบนแผลสด
อาทิตย์มองหน้าเพื่อน แล้วรีบแตะไหล่วิศวะ
“ไปเถอะมึง… อย่าอยู่ตรงนี้เลย”
วิศวะไม่ตอบ แต่แรงบีบกระชับที่ด้ามถุงลูกชิ้นบอกแทนทุกอย่าง เขาเจ็บจนแทบหายใจไม่ออกแล้วจริง ๆ
วิศวะเดินเร็ว ๆ ออกจากหน้าโรงเรียน โดยมีภูผาและอาทิตย์เดินตามมาด้วย สีหน้าเขานิ่งจนน่ากลัว แต่มือที่กำถุงลูกชิ้นยังสั่นเล็ก ๆ แบบที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว
เขาเดินไปจนพ้นแนวร้านค้า จนลับสายตาของวีนัสและนนท์ไปไกลแล้ว เงียบจนได้ยินแค่เสียงรถที่วิ่งผ่านบนถนนหน้าโรงเรียน
อยู่ ๆ วิศวะก็หยุดยืนกลางทางอย่างกะทันหัน
ภูผากับอาทิตย์มองหน้ากัน ก่อนจะเดินเข้ามาหาเพื่อน
“พวกมึง…”
เสียงของวิศวะเบามาก เหมือนพูดกับลมมากกว่าเพื่อน เขายกมือขึ้นกดหว่างคิ้วเหมือนกลั้นบางอย่างไว้
“กูไม่ดีหรอวะ…”
อาทิตย์ชะงักทันที ภูผาก็หยุดหายใจไปวินาทีหนึ่ง
วิศวะหัวเราะเบา ๆ ทั้งที่ดวงตาแดงจัด
“ทำไมมีแต่คนจะทิ้งกูวะ… แม่งโครตเจ็บเลย… กูโครตเจ็บเลยว่ะ”
น้ำเสียงเขาสั่นหนัก คล้ายจะร้องไห้แต่ก็พยายามกลั้นเต็มที่จนไหล่เกร็งไปหมด
ภูผาเอามือตบหลังเพื่อนเบา ๆ
“มึงไม่ได้แย่นะเว้ย… มึงแม่งดีที่สุดคนหนึ่งที่กูรู้จักแล้ว”
อาทิตย์พยักหน้าเสริม
“เออ ถ้าใครทิ้งมึง แสดงว่าเขาโง่… ไม่ใช่มึงไม่ดี จำเอาไว้”
วิศวะหลุบตาลง มองลูกชิ้นในถุงเหมือนไม่ได้เห็นมันจริง ๆ ลมหายใจสั่นเฮือกหนึ่งหลุดออกมา
“กูอยากลืมเขาว่ะ… แต่ทำไมมันโครตยากเลย”
ทั้งสองคนมองเพื่อนที่พยายามเข้มแข็ง ทั้งที่ใจพังแทบไม่เหลือชิ้นดี
พวกเขาไม่ได้พูดอะไรต่อ แค่ยืนอยู่ข้าง ๆ ไม่ไปไหน เพราะรู้ว่า บางครั้งการอยู่เป็นเพื่อนเฉย ๆ ก็ช่วยได้มากที่สุดแล้ว