บทนำ
รัชศกซินอวี้ที่ 5 บ้านเมืองสงบสุขราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข แคว้นเยว่ถูกปกครองโดยราชวงศ์เซียวนับร้อยปี ฮ่องเต้แคว้นเยว่มีราชทินนามว่า
‘ช่างหลิว’ ในปีนี้พระองค์ทรงบัญญัติกฎหมายขึ้นมาใหม่เพื่อคุ้มครองสตรีที่หย่าร้างจากสามี โดยให้พวกนางได้มีชีวิตหลังหย่าเหมือนสตรีทั่วไปและสามารถแต่งงานใหม่ได้โดยไม่ผิดจารีตประเพณีหากฝ่ายครอบครัวใหม่ไม่ขัดข้องและที่สำคัญคือห้ามมิให้ผู้ใดพูดจาดูถูกเหยียดหยาม มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษตามกฎหมาย
รวมไปถึงสตรีใดที่ถูกข่มเหงรังแกจากครอบครัวฝ่ายชายก็สามารถฟ้องร้องได้เช่นกัน นับว่ากฎหมายใหม่ข้อนี้ตกเป็นหัวข้อร้อนแรงของเหล่าชาวเมือง ไม่ว่าจะโรงน้ำชาหรือเหลาอาหาร ทุกคนต่างก็แสดงความเห็นเรื่องนี้กันอย่างออกรส บางคนก็เห็นด้วยบางคนก็ไม่เห็นด้วยปะปนกันไป
แม้แต่ ‘จินซูฮวา’ เองก็ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน ร่างเล็กบอบบางนั่งเอนตัวพิงซบไหล่หนาของคนรัก ‘หลี่หรง’ แม้อากาศในยามคิมหันต์จะร้อนนักแต่เพราะคืนนี้เป็นวันเทศกาลซีซีที่เป็นวันแห่งความรัก หนุ่มสาวในเมืองหลายคู่ต่างก็ออกมาจับจองที่นั่งริมระเบียงชมจันทร์ที่หอฟางซินซึ่งเป็นเหลาอาหารที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง
“เรื่องนี้ท่านมีความเห็นว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ ข้าอยากฟังความเห็นจากบัณฑิตอย่างท่าน”
“นับว่าเป็นเรื่องที่ดี บุรุษกับสตรีควรจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน ตั้งแต่โบราณมาหลังจากหย่าร้างสตรีมากมายมักมีจุดจบที่ไม่สวยงามนัก เหตุใดพวกนางจะมีความสุขหลังหย่าร้างไม่ได้บ้าง แล้วเหตุใดถึงเอาแต่รังเกียจสตรีที่หย่าร้างทั้งๆที่พวกนางไม่ได้ทำสิ่งใดผิด ฝ่าบาททรงแสดงให้เห็นแล้วว่าพระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณมากเพียงใด” น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกดังขึ้นตอบคำถามของคนรักที่คบหาดูใจกันมาเกือบสามปี
จินซูฮวานั่งหลังตรงพลางจ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของคนรัก “สมกับเป็นความเห็นของผู้ที่ได้ครอบครองตำแหน่งทั่นฮวา[1]ยิ่งนัก” ดวงตาของนางเปล่งประกายโดยไม่ปิดบังความปลาบปลื้มเลยสักนิด
หลี่หรงหัวเราะเบาๆด้วยความเขินอาย เขากุมมือนางไว้แล้วเอ่ย “หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากเจ้า ข้าคงไม่ได้มาไกลถึงเพียงนี้”
“ข้ามิได้ทำอันใดเสียหน่อย นี่เป็นเพราะความขยันหมั่นเพียรของท่านล้วนๆ”
“เจ้าจำได้หรือไม่ที่ข้าเคยพูดว่าหากข้าสอบติด ข้ามีเรื่องที่จะบอกเจ้า”
“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้ายินดีที่จะเป็นภรรยาของข้าหรือไม่” หลี่หรงเอ่ยพร้อมกับมองสตรีข้างกายด้วยแววตาจริงจัง น้ำเสียงที่เปล่งออกมาเจือความประหม่าเล็กน้อย “ข้าอยากสร้างครอบครัวกับเจ้า...จะได้หรือไม่”
จินซูฮวามองเขาด้วยแววตาตกตะลึงหัวใจของนางเต้นกระหน่ำด้วยความดีใจ ก่อนที่น้ำตาแห่งความมีความสุขจะไหลรินลงมาช้าๆ “อื้อ ข้าสัญญาว่าจะเป็นภรรยาที่ดีเจ้าค่ะ”
หลี่หรงยิ้มรับด้วยความดีใจ เขาดึงนางเข้ามากอดพลางซับน้ำตาให้นางแผ่วเบา “เรื่องดีๆเช่นนี้ เหตุใดถึงร้องไห้”
“ข้าแค่ดีใจมากเจ้าค่ะ ไม่นึกว่าท่านจะเอ่ยเช่นนี้” รอยยิ้มของนางทอประกายอย่างสวยงามชวนให้ใจคนมองเต้นกระหน่ำ
“ยามนี้ข้ามั่นใจแล้วว่าจะดูแลเจ้าได้ พ่อแม่ของเจ้าจะได้ไม่ขัดขวางความรักของเราสองคนอีก”
“ขอบคุณที่ท่านอดทนเพื่อความรักของพวกเรามาตลอด ข้าดีใจมากจริงๆเจ้าค่ะ”
ปลายสารทฤดูจินซูฮวาเข้าพิธีกราบไหว้ฟ้าดินกับหลี่หรงขุนนางหนุ่มอนาคตไกล การแต่งงานจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ไม่มีใครไม่รู้จักเรื่องเล่าตำนานความรักของทั้งสอง
สกุลจินเป็นสกุลคหบดีที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆของแคว้น จินซูฮวาเปรียบเสมือนองค์หญิงน้อยของสกุลจิน แน่นอนว่าผู้ที่จะมาเป็นคู่ครองของนางจะต้องมีฐานะเท่าเทียมกันหรือสูงกว่า นั่นทำให้หลี่หรงซึ่งเป็นเพียงบัณฑิตยากจนไม่เป็นที่ยอมรับจากคนสกุลจินมาตลอด จนกระทั่งเขาพิสูจน์ได้แล้วว่าเขาสามารถดูแลนางได้จริงๆ เนื่องจากเขาสอบผ่านการคัดเลือกเป็น
ขุนนางได้สำเร็จ คนสกุลจินจึงยอมรับเขาในที่สุด
จินซูฮวานั่งรอสามีในห้องหอด้วยความตื่นเต้น จนกระทั่งประตูเรือนหอถูกเปิดออก บุรุษในชุดสีแดงคู่กับชุดของนางพลันเดินโซเซเข้ามา หญิงสาวระบายยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อได้ยินเสียงสามีหมาดๆของตนเองเดินชนโต๊ะ...นี่คงจะถูกมอมเหล้าจนเมาไปเสียแล้วกระมัง
“ภรรยาของข้าช่างงดงามนัก” หลี่หรงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้พลางเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว
“ให้ข้าช่วยท่านเถอะเจ้าค่ะ” จินซูฮวาพาเขามานั่งลงบนเตียงพร้อมทั้งช่วยเขาถอดเสื้อผ้าออกอย่างทุลักทุเลเพราะคนเมานั่งเอนตัวไปเอนตัวมา จนนางหัวเราะคิกคักเพราะไม่เคยเห็นเขาเมาจนไร้สติเช่นนี้มาก่อน “เหตุใดถึงปล่อยให้ตัวเองเมามายเช่นนี้เจ้าคะ”
“ข้ามิได้เมาเสียหน่อย มาสิเมียรักมาให้ข้าหอมเจ้าสักครั้งเถิด” เขาเอ่ยพร้อมกับโน้มตัวลงมาหมายจะหอมแก้มนวล แต่ด้วยความมึนเมาเขากลับพลาดเป้าล้มตัวลงไปกอดนางที่เอวแทนและหลับไปทันที
“เฮ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ” จินซูฮวารู้สึกสงสารตัวเองยิ่งนัก คืนเข้าหอที่มีค่าดั่งทองพันชั่งกลับสูญสลายในพริบตา ทั้งๆที่นางตื่นเต้นเพราะคิดว่าเราสองคนจะได้เข้าหอกันคืนนี้แท้ๆ ในเมื่อเจ้าบ่าวเมาจนสิ้นท่าขนาดนี้ นางจะทำอะไรได้อีกเล่า
เช้าวันรุ่งขึ้นจินซูฮวาตื่นก่อนสามี นางคิดว่าเมื่อคืนนี้เขาคงจะดื่มหนักไปจริงๆจึงปล่อยให้เขานอนหลับต่อไป ส่วนตัวนางก็ไปยกน้ำชาให้กับแม่สามี ครอบครัวของหลี่หรงมีเพียงแม่และน้องสาว บ้านเกิดของพวกเขาอยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆนอกเมืองหลวง เมื่อหลี่หรงได้ครอบครองตำแหน่งทั่นฮวาและได้รับตำแหน่งในราชสำนักเป็นผู้ช่วยราชเลขากรมอาลักษณ์ของฝ่าบาท พระองค์จึงพระราชทานจวนให้กับเขา แม่กับน้องสาวจึงย้ายเข้ามาอยู่ด้วยกันที่จวนแห่งนี้
“น้ำชาเจ้าค่ะท่านแม่” จินซูฮวาประคองถ้วยน้ำชาส่งให้แม่สามีอย่างนอบน้อม
“ขอบใจ ว่าแต่เมื่อคืนนี้หลับสบายดีหรือไม่”
หลี่หลันเป็นสตรีที่มีผิวพรรณหมองคล้ำผิวหยาบกร้านเพราะมีอาชีพทำไร่ทำสวนมาทั้งชีวิต ใบหน้าของนางจึงดูแก่กว่าอายุจริงอยู่มากและมักจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหลากสีสันประดับด้วยปิ่นทองและเครื่องประดับที่ทำจากทองคำทั้งตัว ทำเอาจินซูฮวารู้สึกลายตายิ่งนัก
“นอนหลับสบายดีเจ้าค่ะท่านแม่”
“อาหรงยังไม่ตื่นอีกรึ”
“ท่านพี่คงจะดื่มหนักไปหน่อย ข้าจึงปล่อยให้เขานอนต่ออีกสักหน่อยเจ้าค่ะ”
“แล้วนี่เจ้าจะออกไปไหนรึ” หลี่หลันวางถ้วยชาลงบนโต๊ะแล้วมองลูกสะใภ้ด้วยแววตาคมกริบ
“ข้าต้องรีบไปตรวจดูงานที่โรงเตี๊ยมสักหน่อยเจ้าค่ะ มะรืนนี้จะต้องเปิดร้านแล้วจะให้มีเรื่องผิดพลาดไม่ได้เจ้าค่ะ”
“ข้าเข้าใจดีว่าเจ้าต้องทำงาน แต่ว่ายามนี้เจ้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้ว ไม่รู้หรือว่าสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่ควรออกจากบ้านไปทำงาน” น้ำเสียงตำหนิของหลี่หลันทำเอาจินซูฮวาหน้าชา
“เอาไว้ข้าจะไปคิดดูเจ้าค่ะ”
“เป็นสตรีก็ต้องอยู่เหย้าเฝ้าเรือน ยิ่งออกเรือนแล้วก็ยิ่งต้องทำหน้าที่ภรรยาดูแลสามีไม่ให้ขาดตกบกพร่อง เจ้าไม่เข้าใจหลักการข้อนี้รึ”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าข้าชอบทำงานเจ้าค่ะ ข้าสัญญาว่าจะดูแลปรนนิบัติท่านพี่ไม่ให้ขาดตกบกพร่องแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ เจ้านี่มันดื้อด้านนัก ไม่รู้จะออกไปทำงานให้เหนื่อยทำไมกัน”
จินซูฮวาได้แต่ส่งยิ้มบางเบาไปให้ ทั้งๆที่ในใจของนางนั้นเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“หากไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
ในเมื่อนางตกลงปลงใจกับหลี่หรงแล้วเรื่องอื่นนางก็ต้องยอมรับให้ได้เช่นกัน แม้นางจะไม่ค่อยชอบครอบครัวของเขาแต่นางก็จะอดทนและอยู่ร่วมกันให้ได้ ก็อย่างว่านะ...รักใครก็ต้องรักอีกาที่เกาะบนหลังคาบ้านเขาด้วย
สกุลจินสายหลักมีเพียงจินซูฮวาที่ถือว่าเป็นทายาทสืบทอดกิจการของตระกูล
แม้นางจะมีพี่ชายใหญ่อย่าง ‘จินเหว่ย’ แต่ทว่าเขากลับไม่สนใจเรื่องค้าขายและออกจากบ้านไปฝึกวิชาบนเขาตั้งแต่ 7 ขวบ ก่อนจะสมัครเข้าร่วมกองทัพตั้งแต่อายุ 15 ปี เขาเริ่มไต่เต้าตั้งแต่ตำแหน่งนายกองเล็กๆจนถึงตอนนี้ได้ครอบครองตำแหน่งเป็นถึงรองแม่ทัพหนุ่มอนาคตไกลในวัย 26 ปี ส่วนพี่ชายรอง ‘จินหมิง’ ก็ไม่เอาการเอางานทำตัวเป็นคุณชายเจ้าสำอางไปวันๆ สร้างความปวดหัวให้กับบิดามารดาไม่เว้นวัน
ด้วยเหตุนี้จินซูฮวาจึงต้องรับหน้าที่ดูแลกิจการต่างๆด้วยตนเองโดยมีบิดาอย่าง ‘จินซาน’ คอยช่วยเหลือ หากจะให้นางเลิกทำงานและเป็นเพียงไม้ประดับรอคอยสามีกลับจวน นางก็คงทำไม่ได้เช่นกัน การที่หลี่หลันกดดันให้นางเลิกทำงานเช่นนี้นางเองก็หนักใจเช่นกัน
หลังจากไปดูงานที่โรงเตี๊ยมสาขาใหม่เรียบร้อยแล้ว จินซูฮวาก็เดินทางกลับทันที ตอนนี้ก็ยามเซิน[2]เข้าไปแล้ว นางคงจะถูกหลี่หลันตำหนิอีกแน่ๆที่กลับจวนเสียเย็นขนาดนี้
“ฮูหยินดื่มชาให้ใจเย็นลงหน่อยเถิดเจ้าค่ะ” ลู่หลินเอ่ยปลอบใจเจ้านายสาว
“ขอบใจมาก เฮ้อ กลับไปคงมีหวังได้ถูกดุอีกเช่นเคย” ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้เป็นสะใภ้ที่แม่สามีปลื้มสักเท่าไหร่นัก
“คงไม่หรอกเจ้าค่ะ ฮูหยินอย่าคิดมากเลยนะเจ้าคะ”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
จู่ๆรถม้าก็หยุดลงกะทันหัน คนคุ้มกันที่อยู่ด้านนอกพากันตะโกน “พวกเราถูกโจมตี” จินซูฮวาสบตากับลู่หลินด้วยแววตาตื่นตระหนก ด้านนอกเต็มไปด้วยเสียงโลหะกระทบกันจากการต่อสู้ วันนี้นางนำผู้คุ้มกันมาเพียงแค่สองคนเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าจะเจอเหตุการณ์เช่นนี้
“ทำอย่างไรดี...” จินซูฮวายังพูดไม่ทันจบ ประตูรถม้าก็ถูกกระชากออกอย่างรุนแรงตามด้วยร่างสูงของบุรุษชุดดำที่โพกหน้าจนเหลือแต่ดวงตา
“ถอยออกไปนะ” ลู่หลินรีบเอาตัวเองบังเจ้านายเอาไว้พร้อมกับขู่เสียงสั่น
“เจ้าต้องการสิ่งใด หากอยากได้เงินข้าจะให้เจ้า” น่าแปลกที่ยามนี้
จินซูฮวากลับสงบใจได้มากกว่าที่คิด
โจรชุดดำไม่ตอบอะไรกลับไปมันชักดาบออกมาจากฝักเพื่อข่มขู่สตรีทั้งสองให้หวาดกลัว
“อย่านะ ถอยไป!” ลู่หลินตะโกนร้องสุดเสียงก่อนจะถูกโจรตัวใหญ่กระชากแขนให้ลงไปจากรถม้า
“เกะกะน่ารำคาญ” คนชุดดำเอ่ยเสียงเหี้ยมก่อนจะใช้ดาบแทงเข้าที่หน้าขาของสตรีตัวเล็กในชุดสีไข่ไก่ซึ่งยามนี้มันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานอย่างน่ากลัว
“ลู่หลิน ไม่นะ...” จินซูฮวาเบิกตากว้างด้วยความตกใจกลัว นางไม่คิดว่าพวกมันจะใจกล้าฆ่าคนตอนกลางวันแสกๆเช่นนี้
“ต่อไปก็ถึงตาเจ้า”
“กรี๊ด อย่านะ!” นางกลิ้งตัวหลบคมดาบได้อย่างหวุดหวิด จนเมื่อมันตวัดดาบลงมาครั้งที่สองนางพลันรู้แล้วว่าครั้งนี้นางมิอาจหลบได้อีก คมดาบเฉี่ยวผิวบอบบางไปเล็กน้อยแต่ถึงอย่างนั้นก็มากพอที่โลหิตจะไหลซึมออกมา
โจรร้ายได้รับคำสั่งมาเพื่อทำให้พวกมันหวาดกลัว หาไม่แล้วสตรีตรงหน้าคงจะได้ตายในดาบเดียว
“ลูกพี่มีคนมา อ๊าก” คนที่วิ่งมาเตือนถูกอาวุธลับของใครบางคนพุ่งปักคาที่หน้าผากสิ้นชีวิตคาที่
“โธ่โว้ย ผู้ใดมันแส่หาเรื่อง” ผู้เป็นลูกพี่สบถเสียงดังก่อนจะใช้ดาบปัดมีดบินที่พุ่งเข้ามาไม่หยุด มือข้างหนึ่งก็หยิบขวดยาออกมาจากอกเสื้ออย่างทุลักทุเล ในใจก็คิดว่าคงต้องเริ่มแผนการขั้นต่อไปก่อนที่จะได้ตายตรงนี้เสียก่อน เขาเปิดขวดยาออกแล้วสาดผงสีขาวแปลกประหลาดใส่ใบหน้างามของจินซูฮวาเข้าไปทันที
ร่างเล็กที่ถูกอะไรบางอย่างสาดเข้าที่หน้า นางก็กุมใบหน้าพร้อมนอนกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความทรมาน ความเจ็บปวดที่ได้รับมันเจ็บลึกไปถึงกระดูก ผงสีขาวนั่นค่อยๆกัดผิวของนางช้าๆ นางเอามือควานหากาน้ำชาบนรถม้าไปทั่ว เมื่อหยิบได้แล้วจึงเทราดใส่ใบหน้าของตนเองทันที แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่อาจคลายความแสบร้อนบนใบหน้าของนางได้
จินซูฮวากรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ไม่อาจลืมตาได้อีกเพราะทนอาการปวดแสบปวดร้อนไม่ไหว
“แม่นาง นี่เจ้า...” เสียงทุ้มของผู้มาใหม่ดังขึ้นพร้อมกับประคองร่างเล็กไว้ในอ้อมกอด
“ช่วยข้าด้วย...” นางเอ่ยเสียงสั่นเครือปนเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้น
จินซูฮวาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะสมองของนางเบลอไปหมดและจับต้นชนปลายไม่ถูก นางรู้เพียงแต่ว่าเขาประคองตัวนางลงมาจากรถม้า นางพยายามลืมตาขึ้นแต่ทว่ามันก็พร่ามัวเสียเหลือเกิน ในภาพที่แสนเลือนลางมีบุรุษคนหนึ่งกำลังมองนาง นางมองไม่เห็นใบหน้าเขาเพราะแสงจ้าจากดวงอาทิตย์ที่อยู่ด้านหลัง
ด้วยความเจ็บปวดที่ยากจะรับไหวทำให้นางหมดสติไปทันที
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน จินซูฮวารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งเพราะเสียงทะเลาะเบาะแว้งจากใครสักคนที่อยู่ด้านนอก นางยังคงรู้สึกปวดแผลบนใบหน้า มือเล็กลูบคลำใบหน้าที่เต็มไปด้วยผ้าพันแผล ก่อนจะตกใจจนลุกขึ้นนั่งพร้อมกับเอามือลูบคลำใบหน้าอย่างสะเปะสะปะ
ในใจนางเริ่มร้อนรน เหตุใดถึงได้พันแผลมากถึงเพียงนี้และที่สำคัญเหตุใดทุกอย่างถึงได้ดูมืดสนิทไปเสียหมด เสียงทะเลาะเบาะแว้งด้านนอกดังเข้ามาดึงความสนใจจากนางอีกครั้ง
“แม่ห้ามนางแล้วว่าอย่าออกไป แล้วนี่จะทำอย่างไรเล่าทั้งเสียโฉมทั้งตาบอด รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น” น้ำเสียงแหลมเล็กของหลี่หลันดังขึ้นด้วยความโมโห
ในใจของจินซูฮวากระตุกวูบ นี่พวกเขาพูดบ้าอะไรกัน?
“นางอาจจะไม่ได้ตาบอดก็ได้ ท่านแม่อย่าเสียงดังไปหน่อยเลย”
“โอ๊ย พี่ใหญ่หน้าพี่สะใภ้อัปลักษณ์เหมือนผีขนาดนั้น ท่านยังจะพูดเข้าข้างนางอีกหรือเจ้าคะ”
“เจ้าเองก็หุบปากซะ! อย่ามาแทรกระหว่างที่ผู้ใหญ่เขาคุยกัน”
ในระหว่างที่คนด้านนอกกำลังทะเลาะกันอยู่นั้น หัวใจของจินซูฮวาพลันเต้นกระหน่ำมืออันสั่นเทารีบดึงทึ้งผ้าพันแผลออกไปทันที มือเล็กค่อยๆลูบใบหน้าของตัวเองช้าๆอย่างตื่นกลัว เหตุใดมันถึงได้ขรุขระถึงเพียงนี้ นางมั่นใจว่าตนเองลืมตาแล้วแท้ๆแต่เหตุใดโลกทั้งใบมันถึงได้มืดมิดเช่นนี้
จินซูฮวากรีดร้องอย่างบ้าคลั่งเมื่อเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่คนด้านนอกกำลังถกเถียงกันอยู่นั้นมันหมายถึงสิ่งใด ยามนี้นางกลายเป็นสตรีอัปลักษณ์และตาบอดไปเสียแล้ว...
[1] ตำแหน่งลำดับที่ 3 ของการสอบเข้ารับราชการรอบจิ้นซื่อ (ฮ่องเต้เป็นผู้ทดสอบด้วยตนเอง)
[2] 15.00 – 16.59 น.