ตอนที่ 2
“ยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างไหม ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อนทำเรื่องงามหน้าอย่างนี้ ทุกคนจึงต้องมาอับอายไปด้วยหรือ เหตุใดไปตายๆไปจริงๆ”
คุณนายเหอรู้สึกเหมือนแสบอยู่ในอก
“คุณนายคะ อภัยให้ลูกสาวฉันเถอะ เธอเพิ่งฟื้นขึ้นมานะคะ”
ฟางเจินรู้สึกเดือดร้อนไม่พอใจทันที นอกจากท่าทางขึงขังได้ทีแรก แต่เมื่อถูกจ้องตาเพียงเสี้ยววิก็หลบลงอย่างใจเสาะเช่นเคย จนอวี่จือหลินต้องดึงมาหลบอยู่ด้านหลังแทน
“ทีแรกฉันก็อยากจะตายอยู่หรอก แต่นรกไม่ต้อนรับและส่งกลับแบบนี้จะให้ทำอย่างไรได้ ก็อย่างที่บอกว่าอดีตที่ผ่านมาฉันไม่สามารถแก้ไขมันได้ อย่างไรแม่กับฉันกับรับใช้ครอบครัวคุณนายมาตั้งนาน มานึกดีดีก็มีคุณหนูใหญ่สามารถสอบเป็นนักศึกษาในรั้วมหาลัยได้ แม้อนาคตฉันจะไม่ดีเท่าไร แต่อนาคตฉันจะคอยรับใช้ครอบครัวคุณหนูใหญ่ต่อเอง”
อวี่จ่งตั้งใจพาลไปหาทุกคนที่เกี่ยวข้อง จงใจพูดถึงข้อเสียของการมีเธออยู่ร่วมบ้านหลังนี้
ในชาติที่แล้วเธอก็สามารถยืนหยัดด้วยขาของตัวเองได้ ครั้งนี้ก็ต้องได้เช่นกัน
อีกทั้งยังย้อนกลับมาในยุคทองหลังการปฏิรูปตลาดของจีนอย่างยุค 80 กว่าครึ่งของเศรษฐีพันล้านหยวนขึ้นไปต่างมีรากฐานอันมั่งคั่งจากยุคนี้ทั้งนั้น
เธอที่มาพร้อมความทรงจำในอนาคต และชีวประวัติการสร้างตัวของเศรษฐีตั้งหลายท่าน จะขอนำมาเป็นบทเรียนสร้างเส้นทางมั่งคั่งของตัวในชาตินี้ก็แล้วกัน
แล้วครอบครัวดั่งกะลาครอบ ที่หยิ่งยโส เอาแต่ใจเช่นนี้มีสิ่งใดให้เธอเสียดายกัน
“แกนับเป็นตัวอะไรได้ อย่ามาฉุดรั้งอนาคตลูกสาวฉันนะ”
คุณนายเหอบ่นใส่ทันที แล้วเดินหนีไปเพราะไม่อยากเห็นหน้า ไม่คิดว่านังแพศยานี้จะกล้าหน้าด้านเอ่ยปากเหมือนจะเกาะติดลูกสาวของเธอ เธอยิ่งรู้สึกกลัวว่านังจิ้งจอกนี่จะยัวยวนว่าที่ลูกเขยของเธอในอนาคต แล้วลูกสาวเธอจะเจ็บช้ำใจ
ตั้งแต่นังจือหลินฟื้นขึ้นมา เธอรู้สึกว่าเริ่มรับมือกับนังเด็กคนนี้ไม่ไหว นอกจากจะไม่สะทกสะท้านแล้วยังหน้าไม่อายอีกด้วย
ที่สำคัญคือนังจิ้งจอกนี่หมายตาว่าที่ลูกเขยผู้เพียบพร้อมของเธอ จึงตัดสินใจแล้วว่าจะต้องให้สองแม่ลูกนี้ออกจากบ้านซะที
“แม่เลิกคุกเข่าและร้องไห้ได้แล้ว ต่อไปแม่ฟังหนูก็พอ”
อวี่จือหลินเดินกลับไปปิดประตูไม้พุๆ ก่อนมองมารดาที่ยังคงตามเรื่องราวไม่ทัน เพราะกำลังโล่งใจที่คุณนายของบ้านยอมกลับออกไป
โดยไม่รู้เลยว่าถูกลูกสาววางยาสร้างเรื่องเพราะอยากออกจากบ้านหลังนี้ เพื่อไม่ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัวนี้ในอนาคต จึงจำต้องให้ฝั่งนั้นออกปากและจัดการตัดขาดด้วยตัวเอง
“จ้ะ จ้ะ”
ฟางเจินรีบเช็ดน้ำตา พร้อมพยักหน้าติดกันหลายทีด้วยความรู้สึกแปลกไปเล็กน้อย เพราะปกติลูกสาวไม่ค่อยพูดคุยกับเธอเท่าไรนัก หลายครั้งมักมีอาการไม่พอใจ และไม่เคยสนใจว่าเธอจะเป็นอย่างไร
ผ่านไปไม่นานคุณนายเหอก็เดินกลับเข้ามา
“ฉันให้ข้าวให้ที่พัก เลี้ยงดูพวกเธอมาห้าปีแล้ว ฉันก็มีลูกสองคนที่ต้องเลี้ยงดู และต่อไปก็ไม่อาจเลี้ยงดูพวกเธอสองแม่ลูกได้อีก
ห้าปีที่ผ่านมานี้ถือว่าครอบครัวฉัน ได้เลี้ยงดูพวกเธออย่างดี แต่พวกเรายอมรับพฤติกรรมหน้าไม่อายของอวี่จือหลินไม่ได้ เช่นนั้นพวกหล่อนก็กลับครอบครัวฟางของพวกหล่อนไปซะ”
คุณนายเหอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบอย่างเอาแต่ใจไหนจะคำพูดเอาดีเข้าตัว เรื่องชั่วนั้นให้คนอื่นได้อย่างลื่นไหล ทั้งไม่อาจให้ฟางเจินได้ปฏิเสธได้ เพราะเมื่อพูดเสร็จก็เดินออกไปทันที
“คุณนาย!”
ฟางเจินร้องเรียกอย่างตกใจ เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมถึงขับไล่พวกเธอสองแม่ลูก ขณะที่กำลังจะกลับไปอ้อนวอนยอมทำงานเป็นวัวเป็นควายเหมือนทุกที กลับถูกลูกสาวฉุดดึงแขนไว้
“แม่ บ้านหลังนี้ไม่มีที่ให้เรายืนอีกแล้ว ยื้อต่อไปตอนนี้เพราะแม่ยังยอมอยู่ แต่อนาคตถ้าฉันไม่มีแม่แล้วฉันจะอยู่อย่างไร ชื่อเสียงฉันก็ไม่ดี ถ้าครอบครัวนี้โขลกสับฉันจนตายเลยจะทำอย่างไร
อีกอย่างเขาคงกลัวว่าฉันจะสร้างปัญหาให้ชีวิตคู่ของคุณหนูใหญ่ คงไม่อยากเลี้ยงงูพิษอย่างฉันไว้หรอก แม่ทำใจเถอะ”
อวี่จ่งตั้งใจโจมตีจุดอ่อนความรักของฟางเจินที่มีต่ออวี่จือหลินได้อย่างแม่นยำ ทั้งสองเก็บของอันน้อยนิดแล้วจูงมือกันออกไปจากบ้านเพื่อไปหมู่บ้านอู้หยวน และกลับไปที่บ้านตระกูลฟาง
คุณนายเหอฉีกสัญญาจ้างงานของแม่ทิ้งอย่างไม่ไยดี เพื่อตัดขาดกัน
ครอบครัวเหอทั้งหมดก็เป็นครอบครัวข้าราชการ มีเหอจวินเป็นหัวหน้าครอบครัว และมีซ่งซูฮวาเป็นคุณนายเหอ ทั้งคู่มีลูกสาวสองคนชื่อ เหอซูเมิ่ง กับเหอหรงซิง
เหอจวินทำงานในตำแหน่งหัวหน้าแผนกของสำนักอุตสาหกรรมทองแดง เหมือนกับครอบครัวของกงลู่เจ๋อ
ดังนั้นพอทั้งสองครอบครัวรู้ว่าลูกของทั้งคู่คบหากันย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี
พอเกิดเรื่องแบบนี้ คุณนายเหอจึงกล้าใช้คำว่าบุญคุณที่เลี้ยงดูมา และขับไล่สองแม่ลูกไปอย่างไม่จำเป็นต้องเห็นใจ
ซึ่งเธอก็ไม่ได้อาวรณ์อะไรอยู่แล้ว ภายหน้าจะได้ไม่ต้องมีสิ่งใดให้ทวงถามหรือติดค้างอีก
ตั้งแต่ปี 1976 รัฐบาลเริ่มอนุญาตให้ประชาชนค้าขายส่วนตัวได้ ยอมให้ชาวนาขายผลผลิตของตนเองได้อย่างเสรี เครื่องอุปโภคบริโภคจึงมีขายในท้องตลาดมากขึ้น และตั๋วคูปองที่เริ่มเลือนหาย แต่ชนบทห่างไกลนี้ยังคงไม่เข้าใจความเจริญนี้เท่าคนเมืองนัก
ตั้งแต่ปี 1977 ท่านผู้นำได้ฟื้นฟูการสอบเกาเข่าอีกครั้ง จากปี 1949 - 1966 ที่เคยได้มีการเปิดสอบมาก่อน แต่ตลอด 35 ปี จนถึงปัจจุบัน คนในเมืองอิงถานนับไม่เกินนิ้วฝ่ามือที่จะสอบผ่านได้ ดังนั้นจึงไม่เป็นที่แปลกใจว่าเหตุใดคุณหนูใหญ่เหอของเธอ จะกลายเป็นลูกรักของครอบครัวนี้
อากาศในยุค 80 ที่ไร้พีเอม 2.5 ที่มีดัชนีคุณภาพอากาศพุ่งสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 200 ยาวนานในปีสองพันยี่สิบ บางปีเคยสูงถึงหกร้อยด้วยซ้ำ ไม่ต้องบอกว่าอวี่จือหลินนั้นรู้สึกดีมากเช่นไร
นอกจากต้องอดทนสายตาชาวบ้านรอบข้าง ที่ชี้ไม้ชี้มือนินทาเธอตลอดทาง จนหลุดพ้นเข้าหมู่บ้านอู้หยวนแล้ว ด้วยความหน้าหนาของอวี่จ่งยอมไม่ได้รู้สึกรู้สากับความคิดเห็นคนอื่นถึงเพียงนั้น
มีสิ่งเดียวที่เสียดายคือมันเผาหัวนั้นที่ไม่อาจแย่งกลับมาได้ ทำให้กว่าจะถึงหมู่บ้านอู้หยวน อวี่จือหลินก็รู้สึกคล้ายจะเป็นลมขึ้นมาจริงๆ
“อาเจิน ทำไมมาอยู่ที่นี่ได้”
ชาวบ้านคนหนึ่งของหมู่บ้านอู้หยวนที่จำฟางเจินได้ร้องทัก
“พวกเราจะกลับมาอยู่ที่หมู่บ้านอู้หยวนแล้วค่ะ”
อวี่จือหลินเห็นแม่อ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบอะไรดี จึงตอบกลับไปอย่างเป็นกันเอง ท้ายที่สุดเรื่องที่สองแม่ลูกจากครอบครัวอวี่ต้องกลับมาหมู่บ้านอู้หยวนก็ต้องถูกลือออกไปอยู่ดี
ดังนั้นไม่มีเหตุผลอะไรที่ให้เธอต้องหลบซ่อน พวกเธอไม่ได้ไปขโมยของบ้านใครเขาเสียหน่อย ต่อไปอาจจะต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน ทำตัวเป็นมิตรไว้หน่อยจะดีกว่า
“อ้าวเหรอ ฮาฮา เดินดีดีล่ะ”
ชาวบ้านกลุ่มนั้นหัวเราะกลบเกลือนทันที เมื่อได้ยินเสียงไพเราะจากปากสวยๆนั่น ทำให้ไปไม่เป็นอยู่บ้าง แต่ได้มีสาวสวยพูดจาดีลื่นหูก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องเสียมารยาทกลับ
ฟางเจินมองลูกสาวด้วยความรู้สึกแปลกตาออกไปอย่างบอกไม่ถูก ปกติอวี่จือหลินมักทำตัวเย่อหยิ่งกับชาวบ้านทั่วไป การที่จะพูดจาตอบโต้ดีดีนั้นพบเห็นได้ยาก คาดว่าตั้งแต่รอดพ้นความตายกลับมานั้นลูกสาวเธอคงคิดได้แล้วจริงๆ
ตากับยายของอวี่จือหลินได้เสียชีวิตไปนานแล้ว เหลือเพียงป้าฟางซิน พี่สาวเพียงคนเดียวของฟางเจินแม่ของเธอ
ความจริงต้องไปอยู่ที่บ้านพ่อแม่สามีในเมืองอิงถาน ตั้งแต่มีเหตุการณ์แท้งลูกครั้งหนึ่งลุงเขยของเธอก็ขอแยกบ้าน และพาป้าฟางซินมาอยู่บ้านเดิมตระกูลฟาง ซึ่งก็คือหลังนี้
ไม่คิดว่าครอบครัวฟางที่ไร้ลูกชายจะมีลูกสาวสองคนกลับมาอยู่ที่บ้านเพื่อกราบไหว้หลุมศพตลอดไป
“ช่างคุณนายใจแคบคนนั้นเถอะ กลับมาอยู่บ้านเราดีกว่า”
ฟางซินที่ได้ฟังเรื่องราวจากหลานสาว แม้จะได้ยินเรื่องราวมาบ้าง แต่เมื่อน้องสาวกับหลานต้องถูกไล่กลับมาอย่างนี้ ก็รู้สึกไม่พอใจความใจดำของครอบครัวนั้นเช่นกัน
แต่จะให้ว่าอย่างไรได้ เขาเป็นนายจ้าง จะเลิกจ้างเมื่อไรก็เป็นสิทธิของเขา
อีกทั้งการต้องอยู่ในบ้านที่มีคนใจร้ายกดขี่ และต้องไปอาศัยอยู่บ้านเขาเป็นเช่นไร ฟางซินที่เคยประสบพบเจอย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี ขอบคุณที่สามีรักและเลือกสร้างครอบครัวด้วยกัน จนกระทั่งเธอมีลูกชายอีกครั้ง
“อี้เฉิน ทักทายน้าเจิน และพี่จือหลินหรือยัง”
ฟางซินเรียกเหมาอี้เฉิน ลูกชายวัยหกขวบของเธอ
“สวัสดีน้าเจิน สวัสดีพี่จือหลินครับ”
เหมาอี้เฉินทักทายอย่างเรียบร้อย พลางแอบมองพี่สาวจือหลินคนสวยอย่างขวยเขิน
“อี้เฉิน พี่รีบออกมาเลยไม่มีลูกอมมาฝาก อย่าโกรธกันเลยนะ”
อวี่จือหลินกล่าวอย่างเอ็นดูน้องชายขี้อายคนนี้อย่างอารมณ์ดี
“ไม่เป็นไรครับ ผมโตแล้วไม่กินลูกอม”
เหมาอี้เฉินยืดอกขึ้น เพราะไม่อยากให้พี่สาวมองเขาเป็นเด็กน้อย
“ฮาฮา”
E-Book เล่มละ 15 ตอนค่ะ ใน MEB
มุ่งสู่ความมั่งคั่งในยุค 80 เล่ม 1
ติชมอย่างสุภาพ ขอคอมเม้นท์ และกำลังใจ ด้วยนะคะ