ตอนเย็นวันนั้น ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยแสงสีส้มหม่น ลมพัดเบาแต่เย็นแบบแปลกๆผิดปกติ มนตรีเดินถือพวงมาลัยและธูปสามดอกไปยัง ศาลยายคำ ที่ตั้งอยู่ท้ายทุ่ง — ศาลไม้เก่าที่ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มานานหลายปี เพราะร่ำลือกันว่ามีคนเคยเห็นควันลอยขึ้นเองทุกค่ำคืนวันพระ
เขาจุดธูป ก้มกราบลงเบื้องหน้าเสียงสั่น “ถ้าผมเคยลบหลู่ หรือแม่ผมเคยทำอะไรผิดไป ขอให้ท่านอโหสิกรรมให้เถิดครับ...”
ยังไม่ทันจบคำ ลมแรงวูบหนึ่งพัดมาราวกับมีใครเป่าหายใจใส่ — เปลวไฟบนธูปดับพร้อมกันทั้งสามดอก กลิ่นควันไหม้ฉุนลอยคลุ้ง แล้วเงาเลือนรางของผู้หญิงคนหนึ่งค่อย ๆ ปรากฏอยู่ด้านหลังศาล ใบหน้าครึ่งหนึ่งไหม้เกรียม ดวงตาแดงก่ำ จัดจ้องตรงมาที่เขา
“ข้ารอวันนี้มานานแล้ว...” เสียงแหบต่ำเย็นระเยือก จนหัวใจเขาแทบจะหยุดเต้น
มนตรีถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือสั่น “ผมมาขอขมาแล้วครับ ผมไม่ได้ตั้งใจ —”
“เจ้าผิดคำสัญญา...” เสียงนั้นแผ่วลงแต่เต็มไปด้วยความเจ็บแค้น “เจ้าลืมข้า...ปล่อยให้ข้าตายอยู่ตรงนี้...อย่างเดียวดาย...”
ทันใดนั้นพื้นดินรอบศาลก็สั่น เปลวไฟสีส้มแดงพุ่งขึ้นจากดิน ล้อมเป็นวงกลมรอบตัวเขา เสียงกรีดร้อง แผดดังจากทุกทิศราวกับผู้คนนับสิบกำลังทรมานอยู่ใต้พื้น
มนตรีพยายามจะวิ่งหนี แต่เท้าเขาเหมือนถูกตรึงไว้กับดิน เขาก้มลงเห็น “มือดำไหม้” ของยายคำเอื้อมออกมาจากพื้น จับข้อเท้าเขาแน่นจนผิวหนังเริ่มพองด้วยความร้อน
“ปล่อยผม! ผมสัญญา จะตั้งศาลใหม่ จะจุดธูปทุกวันเลย!” เขาร้องสุดเสียง
แต่เสียงหัวเราะของยายคำกลับดังก้องสะท้อนทั่วท้องนา “ไม่มีคำสัญญาใดชดใช้ได้...ข้าจะให้เจ้าได้รับรู้ความรู้สึกของข้า...จนกว่าจะมีคนมาขอขมาแทนเจ้า...”
ไฟลุุกโชนรอบตัว เสียงแหบของยายคำแผ่วลงเหลือเพียงคำสุดท้าย “เจ้าจะอยู่กับข้า...อยู่ในไฟแห่งการชดใช้...”
เปลวเพลิงโอบร่างมนตรีไว้ ก่อนทุกอย่างดับวูบลงพร้อมเสียงธูปตกกระทบพื้น — เหลือเพียงควันบาง ๆ ลอยเหนือศาล และรอยไหม้เป็นวงกลมดำสนิทกลางทุ่ง
เช้าวันถัดมา ชาวบ้านที่เดินผ่านต่างพบว่า ศาลยายคำมีเถ้าธูปไหม้เกรียมวางอยู่สามดอก และกลิ่นไหม้ที่ยังระอุอุ่นๆ... เหมือนว่าเพิ่งมีใครเพิ่งอยู่ตรงนั้นเมื่อคืนที่ผ่านมา.