เฉิ่มโดนรังแก
บุคคลไร้ค่า! ฉายานี้ตอกหน้าฉันประจำ!
ก็ไม่รู้ว่าฉันไปทำอะไรให้พวกเขาหนักหนา ถึงได้จองล้างจองผลาญฉันไม่เลิกอย่างนี้ โผล่มาทำงานเมื่อไหร่
แน่นอน.. คำพูดแสลงหูบินมาทันที!
ฉันว่าฉันไม่ได้เผลอเดินไปเหยียบหางใครสักหน่อย ถึงจะใส่แว่นหนาเตอะ หมดราศีความเป็นคนก็เถอะ ..ฉันว่าแว่นฉันก็ชัดสมราคาอยู่เหมือนกันนะ เผลอๆ อาจจะชัดกว่าลูกตาดำเพียวๆ ของใครบางคนที่เดินมาชนฉันด้วย!
เพล้ง!!
ฮะ คราวนี้ถึงกับชนจานฉันแตกเลยเหรอ!
“ถอยไปนังแว่น ยืนขวางอยู่ได้”
“เก็บเศษข้าวซะด้วย”
“หลบไปสิ!”
ถึงจะโกรธแค้นแค่ไหนที่ถูกเขารังแกอยู่ฝ่ายเดียว สุดท้ายแล้ว ฉันก็ปล่อยให้ก้นสวยๆ ของสามสาวนั่นสะบัดไปต่อหน้าต่อตาตัวเองตลอดอยู่ดี
ฉันไม่ใช่คนไม่สู้คนหรอกนะ ก็อยากจะตอกกลับ เอาคืนอยู่เหมือนกันแหละ แต่ว่า.. ฉันแค่ไม่อยากเปลี่ยนงานตอนนี้น่ะสิ เฮ้อ.. แข่งเรือแข่งพายน่ะแข่งได้ แต่วาสนา เกิดมายี่สิบห้าปี ไม่เห็นเคยหล่นมาทับกบาลฉันบ้างเลย!
อย่าให้ฉันเกิดมาเป็นหลานเจ้าของบริษัทอย่างพวกเธอบ้างนะ! แหม...จะเขียนใบเตือนเดือนละสิบหนเลยคอยดู
จะว่าฉันเป็นคนเฉิ่มก็ได้ ฉันไม่เถียงหรอก เพราะสรีระของฉันก็พอจะบอกตรงๆ อยู่แล้วล่ะ ต่างจากหัวใจ ถึงจะดูอ่อนแอในสายตาคนส่วนใหญ่ สังคมของแต่ละวันที่ฉันไปเจือปนอาศัยอยู่ แต่เชื่อไหม..ฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่โคตรจะสู้ชีวิตเลย!
ฉันมีพ่อแม่ค่ะ ใช่.. มันต้องมีสิคะ ไม่งั้นจะเกิดมาจากไหนล่ะ จริงมั้ย?! เพียงแต่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนว่าพ่อแม่ของฉันเป็นใคร หน้าตาเป็นยังไง แค่นั้นเอง...
ชีวิตเหมือนจะเศร้านะ.. แต่เอาจริงๆ สำหรับฉัน ฉันคิดว่าไม่หรอก ไม่ต้องบิ้วอารมณ์ให้มันดราม่าขนาดนั้นก็ได้ แค่มองข้ามมันไป อย่าไปสนใจมันก็พอ ฉันไม่รู้หรอกว่าใครคือคนลิขิตชีวิตของคนเรา ฉันรู้แค่เพียงว่า เมื่อเกิดมาเหยียบดิน เดินได้ กินได้ ดูแลตัวเองได้ และมีอวัยวะครบสามสิบสองแล้ว เราก็ควรที่จะเดินต่อ เดินไปไหนน่ะเหรอ.. ไม่รู้สิ ก็คงจะเดินไปเรื่อยๆ แบบที่ตัวเราเองมีความสุข โดยไม่ทำให้ใครเขาเดือดร้อนล่ะมั้ง!
ฉันโตมาจากบ้านอารีย์เกื้อกูล หรือเรียกแบบที่ใครเขาเรียกกันทั่วไปก็ได้ว่า.. บ้านเด็กกำพร้า ฉันโตมาจากที่นั่น และคนที่นั่น ที่เลี้ยงฉันมา.. ฉันโคตรจะภูมิใจ ที่ถึงแม้ว่า สังคมของฉันในวัยเด็กจะอยู่แค่บริเวณที่กว้างไม่ถึงหนึ่งไร่ อาจจะเล็กกว่าบริเวณบ้านบางหลังด้วยซ้ำ แต่ฉันโคตรจะมีความสุข และ รู้สึกอบอุ่นกับมันเลย
ฉันโตแล้ว.. โตพอที่จะดูแลตัวเอง และ อยู่ในโลกใบที่ใหญ่กว่าได้ เลยตัดสินใจเดินออกมาจากที่นั่นเพื่อมาใช้ชีวิตตามลำพังคนเดียว แม่เมตตาที่เลี้ยงฉันมาบอกฉันเสมอว่า เลี้ยงคนๆ นึงนั้นเลี้ยงได้แค่เพียงร่างกาย แต่ความคิดและหัวใจ ตัวเราต้องเป็นคนกำหนดมันเอง ฉันจำมาเสมอ และฉันก็เอามันมาใช้กับชีวิตจริงเสมอ
แต่แม้ว่าวันนี้ ฉันจะออกมาจากจุดนั้นแล้ว ออกมาใช้ความคิดของตัวเองได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าฉันจะต้องลืมเด็กๆ และ แม่เมตตาที่ยังคงอยู่ที่นั่น ..ฉันก็ยังคงกลับไปหาพวกเขาอยู่บ่อยๆ ในวันฉันว่างและหยุดงาน
...บ้านอารีย์เกื้อกูล...
“พี่นินมาแล้ว!”
“แม่คะ..พี่นินกลับมาหาเราแล้ว”
“พี่นิน เย้ พี่นินมา”
นี่แหละ! คือเสียงสวรรค์สำหรับฉัน ฉันมักจะมาที่นี่บ่อยๆ ก็เพราะสิ่งนี้ เวลาที่ฉันมองเห็นใครสักคนยิ้มด้วยความดีใจเพราะฉัน เห็นดวงตาที่หยีลงไปด้วยรอยยิ้มด้วยความตื่นเต้น มันทำให้ฉันรู้สึกว่า.. ฉันนี่แหละ คือคนสำคัญของพวกเขา ไม่ใช่ในออฟฟิตที่ฉันจำเป็นต้องไปอยู่เพราะเงินนั่น!
“พี่นินซื้อขนมมาฝากพวกเราไหมคะ”
คนนี้คือมุกดาค่ะ เธอเป็นน้องคนเล็กที่สุดในตระกูลเรา ดวงตาของเธอมืดสนิทไปข้างนึง และ.. เป็นเด็กที่เหนื่อยง่ายเพราะมีโรคประจำตัวคือหอบหืดสุมเธออยู่
“มีสิคะ พี่นินมาทั้งที มีเหรอจะไม่พกของกินมาด้วย”
“เย้! เร็วเข้าพวกเรา มาต่อแถวรับขนมจากพี่นินกันเถอะ!”
แต่ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กที่อาภัพ อ่อนแอ ไร้เรี่ยวแรง ในความคิดของใครต่อใคร ที่มาเยี่ยมเยือน แต่สำหรับฉัน.. เธอคือสาวน้อยที่สวย.. และ สดใสที่สุดในโลก
“เหนื่อยไหมนิน”
เสียงฟังดูอบอุ่นนี่ก็คงไม่ใช่ใครที่ไหนไกล เธอคือแม่ฉันเอง แม่เมตตาที่ใครๆ เขามักเรียกกันติดปาก ผู้หญิงที่อุทิศตนให้แก่เด็กๆ กำพร้าพ่อแม่เหล่านี้ นอกจากแม่เมตตา ก็ยังมีแม่ปราณี และ แม่อิ่ม ที่คอยเป็นผู้ช่วยเคียงค้างเธออยู่อีกสองคน
“ไม่หรอกค่ะ นินสบายมาก ถ้าเทียบกับแม่แล้ว”
“ดีแล้วแหละ เงินที่ได้มา นินน่ะเก็บไว้บ้างเถอะ ไม่ต้องส่งมาให้แม่หรอก ลำพังเงินที่คนใจบุญเขาบริจาคกันมา ก็พอจะซื้อข้าวซื้อของใช้ให้น้องๆ ได้แล้วแหละ”
ก็เหมือนเดิม มากี่ครั้งๆ ฉันก็มักจะน้ำตาคลอทุกครั้งไปสิน่า
“แม่คะ.. อย่าพูดกับนินแบบนี้เลย นินโตมาจากที่นี่ นินมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะบ้านหลังนี้ และพวกแม่ๆ ไม่ใช่เหรอ การที่นินทำงานได้ หาเงินได้ แล้วเอาเงินนั้นกลับมาตอบแทนผู้มีพระคุณ มันก็ถูกแล้วนี่คะ แม่อย่าคิดมากเลย .. ยังไง นินก็ไม่มีวันทิ้งแม่และน้องๆ ที่เหลืออยู่หรอก”
ฉันบอกเธอทั้งน้ำตา ใช้มือตัวเองกุมมือหนาและด้านซึ่งบ่งบอกให้รู้ว่า ชีวิตแทบจะทั้งชีวิตนี้ของเธอทำงานหนักมามากเท่าไหร่นั้นไว้ ก่อนจะยิ้มกว้างให้บอกเป็นนัยๆ ให้รู้ว่าฉันเต็มใจทำ
“ขอบใจนะนิน แม่ภูมิใจในตัวนินเสมอนะ นินไม่เคยทำให้แม่ผิดหวังเลยสักครั้งที่เลี้ยงมา แต่นิน.. คนเรามันต้องมีอนาคตและคนดูแลเรานะลูก นินควรจะดูแลตัวเอง ซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ใหม่ๆ ให้เหมาะสมกับงานที่เราทำมาใส่บ้าง เพื่อตัวเองนะลูก”
พูดจบ แม่เมตตาก็มองมายังตัวฉัน ที่ตอนนี้มีแต่เสื้อผ้าเชยๆ มือสองจากตลาดนัดคลุมอยู่
“นินว่าเราหยุดพูดเรื่องนี้กันดีกว่านะคะ นินอยากแจกขนมน้องๆ แล้ว เดี๋ยวตอนเย็น นินจะเป็นคนทำกับข้าวให้น้องๆ กินเองค่ะ นินเลี้ยง วันนี้แม่ทั้งสามหยุดงานไปเลยนะคะ เดี๋ยวนินจัดการเอง”
ฉันปาดน้ำตาแห่งความปีติของตัวเองทิ้งไป ก่อนจะหันมายิ้มทะเล้นให้แม่ทั้งสามคน ที่ตอนนี้เอาแต่ยืนยิ้มกว้างจนแทบจะเห็นฟันสวยๆ ที่ดูแลมาอย่างดีทุกซี่
แต่ทว่าในขณะที่ฉันกำลังจะแกะขนมในถุงที่เตรียมมานั่นเอง อยู่ๆ ก็มีเสียงรถคันหนึ่งมาบีบแตรเสียงดังอยู่ตรงรั้วประตูบ้าน ทำให้ทุกคนชะงักและหันไปมองเป็นตาเดียวกัน
แป๊น!
“ใครมาน่ะนิน”
“สงสัยจะเป็นคนรวยเอาของมาบริจาคมั้งคะ เดี๋ยวลุงสมชาย แกคงเดินไปดูเองแหละค่ะ นินเห็นแกกวาดใบไม้อยู่แถวนั้น”
เป็นไปอย่างที่ฉันคิด หลังจากที่ลุงคนสวนเดินไปเปิดประตูรั้ว ที่เก่ากึกจนสีที่เคยทามานานแทบจะจำไม่ได้ถลอกปอกเปิกนั่นออก รถสีดำทมิฬสะอาดวาววับหรูคันนึงก็ค่อยๆ แล่นเข้ามาจอดสนิทข้างใน