ช่วงเช้าของการเป็นนักศึกษาฝึกงานผ่านไปด้วยดีมาธวีเรียนรู้เรื่องเอกสาร การจัดแฟ้มงาน การส่งอีเมลระหว่างแผนก รวมถึงการติดต่อประสานงานเบื้องต้นกับทั้งในและนอกบริษัทงานดูเหมือนเรียบง่าย แต่รายละเอียดก็มีมากจนหญิงสาวต้องจดโน้ตไว้เพื่อเตือนความจำ
พอถึงเวลาทานอาหารกลางวันพี่ศิริอรกับพี่พิมพ์พาและรุ่นพี่อีกสองก็พามาธวีไปทานข้าวที่ร้านอาหารใกล้ๆ บริษัทเพื่อเป็นการเลี้ยงต้อนรับเล็กๆ บรรยากาศระหว่างการรับประทานอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความเป็นกันเอง เรื่องเล่าของพี่ๆ ในแผนกและคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในออฟฟิศใหญ่โตแห่งนี้
“ถ้ามีอะไรสงสัยก็มาถามพี่ได้ทุกเรื่องนะ ไม่ต้องเกรงใจเลย ถามได้ทุกเรื่องไม่ใช่แค่เรื่องงานนะ ยกเว้นเรื่องยืมเงินเพราะพี่เองก็ไม่มีเหมือนกัน” นงลักษณ์หรือพี่ไก่พูดขึ้นเรียกเสียงหัวเราะให้กับทุกคนบนโต๊ะได้เป็นอย่างดี
“สำหรับพี่นอกจากเรื่องงานแล้วเรื่องคอมพิวเตอร์ก็ถามได้เลยนะ พี่พอรู้เรื่องอยู่บ้างอย่าไปถามแผนกไอทีละแผนกนั้นมีแต่พวกเจ้าชู้ทั้งนั้นเลย” พี่ดนัยผู้ชายคนเดียวในแผนกก็พูดขึ้น
“พูดเหมือนตัวเองไม่เจ้าชู้อย่างนั้นแหละดนัย” พี่ศิริอรเอ่ยแซวลูกน้อง
“พี่อรครับ ผมเป็นผู้ชายนะครับก็อาจมีเจ้าชู้บ้างแต่ไม่เท่าพวกนั้นหรอกน่า”
“แหมๆ ....พูดดีเข้าตัวเชียวนะพี่ดนัย แต่พิมพ์ว่าพี่ก็เจ้าชู้พอตัวนะ” พิมพ์พาพูดขัดขึ้นบ้าง
“อย่าพูดอย่างนั้นสิพิมพ์เดี๋ยวน้ำผึ้งก็เข้าใจผิดไปกันใหญ่”
“หนูรู้สึกโชคดีมากเลยค่ะที่ได้มาฝึกที่นี่ พี่ๆ ทุกคนใจดีกับหนูมาก” มาธวียิ้มอย่างดีใจที่ตนเองดีรับความเอ็นดูจากพี่ๆ ในแผนก
“ช่วงนี้งานยังไม่ยุ่งเท่าไหร่พวกพี่ก็จะมีเวลาสอนงานนำผึ้งนะ แต่ถ้าช่วงไหนที่พวกพี่ยุ่งพวกพี่อาจหน้าบึ้งหรือดูหงุดหงิดไปบ้างน้ำผึ้งก็อย่าตกใจนะ”
“ค่ะพี่อร” มาธวีพูดด้วยรอยยิ้มจริงใจ พี่ๆ ทุกคนดูเป็นกันเองมากจนเธอรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกสนุกถ้าจะต้องฝึกงานที่นี่ต่อไปตลอดทั้งสามเดือน
หลังจากกลับเข้ามาทำงานในช่วงบ่าย ทั้งแผนกก็เริ่มยุ่งมากขึ้นกับเอกสารชุดใหญ่จากฝ่ายการเงิน พอถึงเวลาเลิกงาน หญิงสาวก็รู้สึกเหมือนผ่านศึกใหญ่ไปหนึ่งวันเต็มๆ แต่อีกหนึ่งความรู้สึกก็คือสนุกและรู้สึกว่าการได้ทำงานกับรุ่นพี่ที่ดีนั้นเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับเด็กฝึกงานอย่างเธอ
เธอเก็บของใส่กระเป๋าแล้วบอกลารุ่นพี่ที่ ก่อนออกจากอาคารในเวลาเกือบห้าโมงครึ่ง
ระหว่างทางกลับบ้าน มาธวีนั่งรถเมล์กลับบ้านและคิดว่าจากนี้ก็คงจะนั่งรถเมล์มาฝึกงานเพราะดูแล้วท่าจะไม่มีที่จอดรถมากพอ
เมื่อถึงบ้านชั้นเดียวหลังเล็กที่อยู่ด้านในสุดของซอย หญิงสาวก็เปิดประตูรั้วเข้าไปด้านใน เธอเดินเข้าไปในห้องรับแขกวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะหน้าโซฟากลางห้องรับแขก ยังไม่ทันจะนั่งเสียงคุณยายมาลัยก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“น้ำผึ้ง กลับมาแล้วเหรอลูก”
“ค่ะยาย” เธอยิ้มแล้วเดินเข้าไปกอดยายจากด้านหลัง
“วันนี้เป็นยังไงบ้างล่ะน้ำผึ้ง พี่ๆ ที่ทำงานใจดีไหม เขาสอนอะไรบ้าง”
“พี่ๆ ใจดีทุกคนเลยค่ะ พวกเขาสอนงานหนูหลายเลยค่ะ ตอนกลางวันก็พาหนูไปเลี้ยงต้อนรับด้วยนะคะ”
“ยายก็ว่าแล้ว ว่าหลานยายต้องทำได้ดี อยู่ที่นั่นต้องเจอแต่คนดีๆ แน่เลยใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ ทุกคนใจดีมากเลย โดยเฉพาะหัวหน้าแผนกกับพี่พิมพ์ พวกเขาช่วยสอนงานหนูละเอียดมากเลยค่ะ”
“ดีแล้วลูก ตั้งใจฝึกไว้นะแล้ววันนี้เหนื่อยไหม”
“วันนี้เหนื่อยค่ะแต่ก็สนุกมากด้วยนะคะ หนูได้เรียนรู้หลายอย่างที่ไม่มีในห้องเรียนค่ะ” เธอเล่าไปยิ้มไปเมื่อนึกถึงบรรยากาศในที่ทำงานวันนี้
“แล้วบริษัทที่ไปฝึกงาน เขาทำอะไรกันนะ”
“เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ค่ะยาย ใหญ่มากเลย อาคารสวยสุดๆ คนทำงานก็เยอะมากด้วย”
“อืม…แบบนี้ก็ต้องมีคนเก่งๆ อยู่เต็มไปหมดแน่เลย”
“ค่ะ หนูก็ต้องพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุด จะได้ไม่อายเขาค่ะ”
“ดีแล้วหลานยาย ยายเห็นหนูสนุกกับการฝึกงานยายก็ดีใจมากนะ อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้วสินะ”
“ใช่ค่ะยาย ฝึกงานเสร็จก็ส่งรายงานถ้าไม่ติดปัญหาอะไรก็จะจบหลังจากอาจารย์ตรวจรายงานแล้วค่ะ”
“แล้วหนูวางแผนหลังเรียนจบว่ายังไงล่ะ จะเรียนต่อหรือจะหางานทำกันล่ะ”
“หนูจะหางานทำค่ะยาย”
“แม่เขาถามว่าอยากไปเรียนต่อที่อเมริกาไหม”
“ไม่ค่ะยาย หนูอยากอยู่กับยายที่นี่”
“แต่ที่นั่นรายได้มันดีกว่านะ”
“รายได้ดีแต่ค่าครองชีพก็สูงนะคะ หนูว่าอยู่เมืองไทยดีกว่า ถ้าคิดถึงแม่ก็แค่ไปหาแต่ให้หนูอยู่ยาวก็คงไม่โอเคเท่าไหร่”
“ที่ไม่ยอมไปอยู่อเมริกากับแม่เพราะเป็นห่วงยายใช่ไหม”
“ค่ะ หนูเป็นห่วงยายไม่อยากให้ยายอยู่คนเดียวแล้วหนูก็ชอบเมืองไทยมากกว่า” มาธวีมักจะไปอยู่กับมารดาทุกปิดเทอมและรู้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับที่นั่นเท่าไหร่
“ยายกลายเป็นตัวถ่วงหนูหรือเปล่าน้ำผึ้ง”
“ยายขาอย่าคิดแบบนั้นสิคะ หนูอยากอยู่ที่นี่จริงๆ นะคะ หนูมีความสุขในบ้านของเราค่ะ”
“ยายโชคดีจริงๆ ที่มีหลานน่ารักแบบน้ำผึ้ง มาเหนื่อยๆ ยายว่าไปอาบน้ำก่อนเถอะลูกเดี๋ยวจะได้ออกมากินข้าวด้วยกัน”
“ค่ะยาย”
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อย มาธวีก็มาช่วยคุณยายจัดโต๊ะอาหารเย็นง่ายๆ จากฝีมือของคุณยายซึ่งวันนี้มีต้มจืดเต้าหู้หมูสับ ปลาทูทอด ผักต้มและน้ำพริกกะปิ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดูเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความรู้สึกอบอุ่น
หลังจากทานข้าวเสร็จ มาธวีช่วยล้างจานก่อนจะกลับเจ้าไปในห้องนอน ไม่นานเสียงแจ้งเตือนจากแอปพลิเคชั้นไลน์บนโทรศัพท์ก็ดังขึ้นซึ่งเวลานี้เป็นเวลาที่มาธวีนัดกับเพื่อนว่าจะคุยเรื่องฝึกงานวันแรก
“ว่าไงแกรุ่นพี่ดีไหม” รวีภัทรและวรัมพรถามมาก่อนเพราะทั้งสองคนนั้นฝึกที่แผนกเดียวจึงอยากรู้ว่ามาธวีเป็นยังไงบ้าง
“ดีมากเลยแหละแก รุ่นพี่ใจดีมากแล้วของแกสองคนล่ะ
“ของฉันสองคนก็ดีนะ รุ่นพี่แต่ละคนเวลาทำงานก็หน้าเคร่งเครียดมากแต่พอถึงเวลาเบรกพวกเขาก็เม้าท์กันฉ่ำเลย”
“ใช่ๆ พวกพี่ๆ รู้จักทุกคนในบริษัทนะ ใครแอบคบกับใครหรือว่าใครกำลังจะเลิกกับสามีพวกเขารู้หมดแต่มีกฎว่าห้ามเอาเรื่องที่พูดไปคุยให้แผนกอื่นฟัง” วรัมพรเล่าไปหัวเราะไป
“แล้วแกมาบอกฉันแบบนี้จะไม่เดือดร้อนเหรอป่าน”
“ไม่หรอกน่า ฉันก็แค่บอกว่าเขาพูดเรื่องอะไรกันบ้างแต่ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเขาคุยถึงใคร”
“แต่มีคนหนึ่งนะที่ฉันอยากจะเม้าท์ให้แกฟัง”
“ใครเหรอรวี”
“ก็ประธานบริษัทเราไงล่ะ”
“ประธานเหรอ นี่แกไปทำงานวันแรกก็ได้เจอกับท่านประธานแล้วเหรอ เขาเป็นยังไงบ้างใจดีไหม” มาธวีถามด้วยความอยากรู้เพราะวันนี้ที่แผนกของเธอไม่มีใครพูดถึงประธานบริษัทเลย
“จะเรียกว่าไงดีล่ะ คือฉันเห็นเขาเดินผ่าน ตอนแรกนึกว่าเขาจะอายุมากกว่านี้แต่นี่เขายังหนุ่มอยู่เลยนะแถมยังหล่อมากอีกด้วย”
“ข้อนี้ฉันเห็นด้วยกับรวีนะผึ้ง คุณองศาเขาหล่อมากเลย แต่หน้าเครียดไปนิด พี่ๆ ในแผนกบอกว่าเขาเป็นคนเย็นชามากไม่ค่อยจะยิ้มหรือคุยกับใครเลย”
“เขาชื่อองศาเหรอชื่อคุ้นจัง” มาธวีพยายามนึกว่าได้ยินชื่อนี้จากที่ไหน แล้วตัวเธอก็เย็นวาบเมื่อนึกได้ว่าได้ยินมาจากไหน ภาพในคืนนั้นเลือนรางเหลือเกิน มีเพียงแสงไฟสีส้ม เสียงเพลงเบาๆ และมืออุ่นของใครบางคนที่แตะข้างแก้มเธออย่างแผ่วเบา
“แกไปได้ยินมาจากไหน”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันขอวางสายก่อนนะจะออกไปดูสักหน่อยว่ายายเข้านอนหรือยังพรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทนะ”
“ไม่หรอก... มันคงแค่ชื่อซ้ำกัน” เธอพึมพำกับตัวเองเมื่อเพื่อนวางสายไปแล้ว เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเขาเป็นคนเดียวกันจริงๆ เธอจะทำยังไง แต่แล้วเธอก็ยิ้มเพราะเมื่อกี้เพื่อนเธอบอกว่าเขาดูเย็นชาและไม่ยิ้มซึ่งมันต่างจากผู้ชายที่เธอเจอเพราะเขาคนนั้นยิ้มเก่งและเขาก็เป็นเพียงบาร์เทนเดอร์เท่านั้น