องศาก้มมองชุดเดรสเรียบหรูของหญิงสาวแล้วยิ้มอ่อน เธอคนนี้ไม่เหมือนผู้หญิงที่เขาเคยเจอในสถานที่แบบนี้เลย แต่ประโยคตรงไปตรงมาของเธอกลับทำให้เธอรู้สึกน่าสนใจอย่างประหลาด
“ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเลยสิ” เขาตอบตกลงก่อนจะแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
เสียงเพลงจังหวะช้าๆ ดังไปทั่วบริเวณ องศายื่นมือออกมาเชิญอย่างเป็นทางการ มาธวีลังเลก่อนจะวางมือลงบนฝ่ามือใหญ่ของเขา ความอุ่นที่สัมผัสทำให้หัวใจเธอเต้นแรง
เขาดึงเธอเข้าใกล้ในระยะที่ไม่ใกล้เกินแต่ก็ไม่ห่างพอให้หายใจสะดวก กลิ่นน้ำหอมกลิ่นสะอาดตัดกับกลิ่นเหล้าจางๆ ที่ปลายจมูกทำให้หญิงสาวมองด้วยท่าทางสนใจ
“คุณชื่ออะไรคะ?” เธอถามเสียงเบา
“องศา”
“ชื่อแปลกจัง เหมือนอุณหภูมิเลยแต่คุณไม่ร้อนเลยนะ เย็นเหมือนน้ำแข็ง” เธอหัวเราะเบาๆ
“แล้วคุณล่ะ?”
“น้ำผึ้งค่ะ แต่เพื่อนเรียกผึ้งค่ะ”
“ชื่อน่ารักดีแล้วนึกยังไงถึงชวนผมออกมาเต้นรำล่ะ”
“ฉันอยากชนะเกมของเพื่อน”
“เกม?”
“ใช่ค่ะ พวกเขาท้าให้ฉันชวนผู้ชายคนไหนก็ได้มาเต้นด้วย ถ้าฉันทำได้จะไม่ต้องโดนทำโทษ”
“คุณก็เลยเลือกผม”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยให้ฉันไม่แพ้เกมนี้”
“คุณก็ดูเป็นคนไม่ชอบแพ้นะ”
“ประมาณนั้นค่ะ”
“คุณเต้นเก่งนะ” เขาพูดเสียงทุ้มใกล้หู
“ฉันไม่เก่งหรอกค่ะ แค่ตามจังหวะเท่านั้นเอง”
“แต่คุณดูมีจังหวะดีสำหรับคนที่ไม่ค่อยเที่ยวกลางคืน”
เธอเงยหน้ามองเขา ดวงตาคู่สวยสบกับสายตาคมลึกของชายหนุ่มแววตานั้นนิ่งเกินไป แต่กลับทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกมองลึกถึงข้างในหัวใจ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าฉันไม่ค่อยเที่ยวกลางคืน”
“สายตาคุณมันบอก” เขาตอบสั้น ๆ
“ดูออกด้วยเหรอคะ?”
“ผมดูคนออกเสมอ”
“พูดเหมือนเป็นนักจิตวิทยาเลยนะคะ” มาธวีหัวเราะเบาๆ ทั้งที่หน้าเริ่มร้อน
“ผมก็แค่คนที่ชอบสังเกต” เขาตอบเรียบๆ แต่แววตากลับจับจ้องเธอไม่วางตา
จังหวะเพลงยังดำเนินไป ช่วงห่างระหว่างทั้งคู่ค่อยๆ ลดลงจนลมหายใจแทบปะทะกัน มาธวีเริ่มรู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงเกินไป เธอหลบตาแล้วพยายามพูดกลบเกลื่อน
“คุณไม่กลัวเหรอคะ ที่มาเต้นกับคนแปลกหน้าแบบนี้”
องศาเงียบไปครู่ ก่อนตอบเบาๆ “กลัวสิ...แต่ผมกลัวมากกว่าว่าถ้าผมไม่ตอบตกลงแล้วคุณจะไปชวนคนอื่นมาเต้นรำด้วยถึงตอนนั้นคงน่าเสียดายมากที่ไม่ได้เต้นรำกับผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณ”
คำพูดนั้นทำให้เธอชะงัก ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อยก่อนหัวใจจะสั่นไหวแปลกๆ “คุณพูดแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนรึเปล่าคะ?”
“ไม่ทุกคนหรอก แค่คนที่ทำให้ผมรู้สึกว่าอยากเต้นรำด้วยจริงๆ”
แล้วเพลงก็จบลงพอดี แต่ไม่มีใครยอมปล่อยมือก่อน แสงไฟสลัวในผับสะท้อนใบหน้าทั้งคู่ในระยะใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่าย
“คุณยังอยากได้รางวัลอยู่ไหมคะ?”
“คุณจะให้อะไรผมล่ะ?”
“ยังไม่บอกค่ะ ต้องอยู่ถึงตอนผับปิดก่อนถึงจะได้”
“งั้นผมจะรอรางวัลของคุณ”
จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก แค่ยืนมองเธอด้วยสายตาที่ทำให้หัวใจเธอสั่นไม่เป็นจังหวะและในขณะที่เธอหันกลับไปหาเพื่อน เธอหันไปสบตาเขาอีกครั้ง ดวงตาคมเข้มคู่นั้นแฝงรอยยิ้มที่ไม่อาจอ่านออกก่อนจะหันหลังเดินกลับไปที่โต๊ะ ทิ้งไว้เพียงคำพูดของเขาที่ดังวนอยู่ในหัวไม่หยุด ‘งั้นผมจะรอรางวัลของคุณ’
มาธวีเดินกลับมาเล่นเกมกับเพื่อนๆ ต่อจนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เพื่อนๆ ของหญิงสาวก็ทยอยกลับเพราะเริ่มเมาได้ที่ รวีภัทรและวรัมพรชวนมาธวีกลับด้วยเพราะเธอบอกว่าจะไปค้างที่หอ
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว เดี๋ยวเข้าห้องน้ำเสร็จจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านน่ะ ไม่อยากให้ยายเป็นห่วง”
“แต่แกเมามากนะจะไหวเหรอ” รวีภัทรถามด้วยความเป็นห่วง
“เดี๋ยวฉันจะไปล้างหน้าก็คงจะดีขึ้นไม่ต้องห่วงนะ” มาธวีรู้ว่าคุณยายต้องเป็นกังวลแน่ถ้าเธอไม่กลับไปนอนที่บ้านถึงแม้จะบอกว่ามานอนค้างกับเพื่อนที่หอแต่หญิงสาวก็ไม่อยากทิ้งให้ท่านอยู่คนเดียว
แต่หลังออกจากห้องน้ำ เธอกลับรู้สึกมึนหัวอย่างรุนแรง ร่างกายโงนเงนจนต้องจับเคาน์เตอร์ไว้และในจังหวะนั้นเอง เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นหูก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“เจอกันอีกแล้วนะ ผมมาขอรางวัล”
“คุณยังอยู่เหรอคะ?”
“ผมบอกแล้วว่าจะมาทวงรางวัล”
“รางวัลอะไรคะ ฉันไม่มีอะไรคะ เมื่อกี้ฉันก็แค่ล้อเล่น”
“งั้นผมขอสิ่งที่คุณให้ได้...แค่คืนเดียว” องศาก้มลงกระซิบข้างหู
“คุณพูดบ้าอะไรคะ!” หัวใจเธอเต้นแรงจนแทบทะลุอกไม่คิดว่าจะมาเจอกับคำชวนแบบนี้ เธอเข้าใจความหมายดีว่ามันหมายถึงอะไร
“คุณเป็นคนเริ่มก่อนเองไม่ใช่เหรอ? หรือแค่กล้าในที่สว่าง แต่พออยู่สองต่อสองกลับขี้ขลาดหรือก็แค่พูดไปเรื่อยแต่ไม่คิดจะรักษาคำพูดของตัวเอง” เขาท้าทายพลางหัวเราะเบาๆ ราวกับจะเย้ยหยัน
คำพูดนั้นเหมือนหนามแหลมแทงใจ มาธวีเม้มปากแน่นความเมาและอารมณ์ผสมกันจนแยกไม่ออก
“ก็ได้” เธอพูดเบาเพราะเป็นคนไม่ชอบให้ใครมาดูถูกจึงตัดสินใจตอบตกลง