บท 7

3269 คำ
7 ไม่รู้ว่าพิมรัมภาควรจะรู้สึกดีใจที่สัญชาตญาณของเธอมันไม่ผิดพลาดหรือว่าเธอควรจะเสียใจที่อีกฝ่ายไม่ยอมจบกับตัวเองกันแน่ แต่ที่แน่ ๆ หลังจากที่พิมรัมภาอ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากอีกคนจบ หญิงสาวก็รู้ได้ทันทีว่าสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายยอมคืนโทรศัพท์กลับมาให้กันง่าย ๆ นั้น มันก็เป็นเพราะว่าเจ้าตัวเอาข้อมูลของพิมรัมภาไปแล้ว ซึ่งพิมรัมภาก็ไม่รู้ว่าคุณกันต์เอาข้อมูลของเธอไปมากน้อยแค่ไหน หรือว่าอีกฝ่ายเอาแค่เบอร์ติดต่อของเธอไป... หลังกลับขึ้นมายังแผนกที่ตัวเองประจำอยู่เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่วางแก้วน้ำลง พิมรัมภาก็รีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดอ่านข้อความนั้นต่อทันที เนื่องจากก่อนหน้านี้เธอยังไม่ได้ทำการตอบกลับไป โดยในจังหวะที่พิมรัมภากำลังจะพิมพ์ข้อความตอบโต้กลับไปนั้น จู่ ๆ มือของหญิงสาวก็ต้องหยุดชะงักกะทันหัน เมื่อเธอคิดได้ว่าหากเธอเลือกที่จะเมินเฉย ไม่ให้ค่าอีกฝ่ายมันน่าจะดีต่อตัวเธอมากกว่าการไปต่อความยาวสาวความยืดด้วย “แสร้งเมินไปเลยน่าจะดีกว่าแฮะ” พิมรัมภาพูดกับตัวเอง จากนั้นหญิงสาวก็เลือกที่จะวางโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะและให้ความสนใจกับงานตรงหน้าของเธอที่ยังจัดการไม่เสร็จดี พิมรัมภาพยายามเพ่งความสนใจไปที่งานตรงหน้าของเธออยู่อย่างนั้นนานเกือบชั่วโมง จนในที่สุดหญิงสาวก็ทำงานในส่วนของตัวเองเสร็จ ซึ่งพอพิมรัมภาส่งงานเรียบร้อยแล้ว นาทีต่อมาเธอถึงค่อยหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูอีกครั้ง “แต่ว่าหมอนั่นทำงานที่เดียวกับเราจริง ๆ เหรอ ถ้าอย่างนั้นมันก็หมายความว่าเขาสามารถปล่อยข่าวเรื่องอาชีพเสริมของเราได้สิ” พิมรัมภาพูดต่ออย่างคนหนักใจ ใจจริงเธออยากจะทำแค่อ่านแล้วไม่ตอบเท่านั้น แต่พอหญิงสาวคิดไปว่าเธอจะต้องอยู่กับอาการกระวนกระวายแบบนี้ต่อไป สุดท้ายพิมรัมภาจึงตัดสินใจพิมพ์ตอบกลับไปด้วยข้อความสั้น ๆ ‘บังเอิญจังเลยค่ะ’ ‘ไม่สิ มันเป็นความบังเอิญหรือเป็นความตั้งใจของคุณกันแน่’ ‘คุณกันต์อยากเข้าถึงตัวฉัน จนถึงขั้นสมัครเข้ามาทำงานที่บริษัทเดียวกันเลยเหรอคะ’ นั่นเป็นข้อความที่พิมรัมภาพิมพ์กลับไปให้อีกคน มันเป็นข้อความที่ดูหลงตัวเองอยู่ในที แต่พิมรัมภาไม่สามารถคิดเป็นอย่างอื่นได้จริง ๆ นอกจากอีกฝ่ายพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อเข้าใกล้เธอ ‘อะไรถึงทำให้คุณคิดอย่างนั้นครับ?’ ‘ถ้าผมคิดจะทำแบบนั้นจริง ๆ ผมควรจะทำงานในแผนกเดียวกันกับคุณนะ’ อีกฝ่ายพิมพ์ตอบกลับมา “จริงด้วยแฮะ” เมื่อคิดตามคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว พิมรัมภาก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง หลังเธอเกิดความคล้อยตามอีกฝ่าย “หรือว่ามันจะเป็นความบังเอิญจริง ๆ แต่ว่าความบังเอิญอะไรวะ มันจะเกิดขึ้นติด ๆ กันแบบนี้ นี่ถ้าก่อนเกิดเรื่องเราเคยบังเอิญเจอเขามาก่อน มันก็คงไม่ต้องมาระแวงแบบนี้หรอก” พิมรัมภาเอ่ยพลางพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงตามประสาคนที่คิดไม่ตก และไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง “ถ้าพิมทำงานเสร็จแล้ว วันนี้พิมกลับก่อนก็ได้นะ” หลังวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิมและกำลังหางานอื่น ๆ ขึ้นมาทำต่อ ทันใดนั้นเสียงของพี่ในแผนกที่ทำงานอยู่โต๊ะข้างกันก็ดังขึ้น นั่นจึงทำให้พิมรัมภาต้องหันไปมองอีกฝ่ายอย่างตั้งคำถาม “ก็ตอนนี้ฝนตั้งท่าจะตกแล้ว ถ้าขืนอยู่รอจนกว่าจะถึงเวลาเลิกงาน เห็นที... เราคงจะได้ติดแหง็กอยู่ที่บริษัทจนกว่าฝนจะหยุดแน่” เธอขยายความต่อ ซึ่งพอพิมรัมภาได้ยินอย่างนั้น หญิงสาวก็รีบมองออกไปด้านนอกอาคารทันที “จริงด้วย ช่วงนี้พายุเข้าเหรอคะ?” พิมรัมภาถามกลับไปพลางมองท้องฟ้าที่กำลังขมุกขมัวอย่างใช้ความคิด อันที่จริงพิมรัมภาโปรดปรานสายฝนมาก เนื่องจากมันทำให้เธอนอนหลับสบาย แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่หญิงสาวออกมาข้างนอกและสายฝนเทกระหน่ำลงมา พิมรัมภาก็จะเกลียดสายฝนมาก ๆ เช่นกัน “ถ้าพี่จำไม่ผิดเหมือนกรมอุตุฯเขาประกาศอยู่นะว่ากรุงเทพจะมีพายุเข้าประมาณสี่วัน และวันนี้เป็นวันแรก” เพื่อนร่วมงานของพิมรัมภาตอบกลับมา “แบบนี้นี่เอง จริง ๆ พิมก็อยากกลับก่อนอยู่นะคะ แต่เดี๋ยวหัวหน้าเขาจะว่าเอาได้” พิมรัมภาบอกกลับไปพร้อมระบายยิ้มแห้งให้เธอ แม้สังคมการทำงานของบริษัทนี้จะค่อนข้างเป็นมิตรในสายตาของพิมรัมภา แต่หญิงสาวก็ยังไม่ค่อยกล้าแหกกฎหรือทำตามใจตัวเองมากนัก เนื่องจากเธอกลัวว่าตัวเองจะถูกเพ่งเล็ง อีกทั้งเธอยังถือว่าตัวเองเป็นน้องใหม่ของที่นี่ด้วย “ในกลุ่มวันนี้หัวหน้าอนุญาตให้กลับก่อนไม่ใช่เหรอ เพราะเขาไม่อยากให้พนักงานมาติดอยู่ที่บริษัท” “...” “ยังไงพิมก็ลองเปิดเข้าไปอ่านดูนะ หรือว่าพี่จำผิดก็ไม่รู้” เพื่อนร่วมงานตอบกลับมา และนั่นก็ทำให้พิมรัมภาต้องรีบคว้าโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูโดยพลัน “วันนี้หัวหน้าอนุญาตให้กลับก่อนจริงด้วยแฮะ ถ้าอย่างนั้น... พิมกลับเลยนะคะ แล้วเจอกันพรุ่งนี้ค่ะ” เมื่อไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องอยู่ที่นี่ต่อแล้ว พิมรัมภาจึงรีบขอตัวกลับก่อนที่ฝนจะตกทันที โดยหญิงสาวก็เลิกงานก่อนเวลาปกติเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น มันจึงไม่ได้เป็นการกลับบ้านก่อนที่ดูน่าเกลียดขนาดนั้น “อ้าว จะกลับแล้วเหรอพิม” หลังเดินมายืนที่หน้าลิฟต์เตรียมจะเดินทางกลับบ้าน ทันใดนั้นเสียงของพี่ภัคที่เพิ่งเดินกลับมาจากแผนกอื่นก็ดังขึ้น นั่นจึงทำให้พิมรัมภาต้องหันไปมองเธอพลางระบายยิ้มจาง ๆ ให้ “ใช่แล้วค่ะ พิมทำงานเสร็จแล้วก็เลยจะกลับก่อน” “จริงด้วย วันนี้หัวหน้าเขาอนุญาตให้กลับก่อนเวลาได้นี่เนอะ” “ใช่ค่ะ แล้วพี่ภัคใกล้จะกลับหรือยังคะ” พิมรัมภาถามไถ่กลับไปตามมารยาท “ใกล้แล้วล่ะจ้ะ ตอนนี้พี่เหลือเขียนรายงานส่งให้หัวหน้าเท่านั้น ยังไงก็ไว้เจอกันวันจันทร์นะจ๊ะ” “ค่ะ ไว้เจอกันนะคะ” พูดจบ พิมรัมภาก็ยกมือขึ้นไหว้เธอไปหนึ่งที และในเวลาเดียวกันนั้นประตูลิฟต์ก็ถูกเปิดออกพอดี หลังประตูลิฟต์ถูกเปิดออกแล้ว พิมรัมภาก็ไม่รอช้า หญิงสาวรีบก้าวเท้าเข้าไปในลิฟต์นั้นเพื่อกลับไปยังห้องพักของตัวเอง เมื่อวันนี้นอกจากเธอจะต้องรีบกลับเพราะฝนใกล้จะลงเม็ดแล้ว เธอยังต้องรีบกลับไปลงคลิปล่าสุดของตัวเองด้วย “ดีนะเนี่ยที่เราใจกล้าขอตัวกลับมาก่อนน่ะ ไม่อย่างนั้นคงได้ติดอยู่ที่บริษัทแน่” เวลาต่อมาเมื่อพิมรัมภาเดินทางกลับมาถึงห้องพักเรียบร้อยแล้ว ระหว่างที่หญิงสาวกำลังถอดรองเท้าออกอยู่นั้น เธอก็พูดกับตัวเองเบา ๆ หลังข้างนอกฝนกำลังเทกระหน่ำลงมาอย่างไร้ความปรานี ซึ่งถ้าให้พิมรัมภาเดา วันนี้การจราจรในกรุงเทพถนนสายหลักคงจะเป็นอัมพาตอยู่หลายจุดแน่ “ว่าแล้วลืมอะไร ที่แท้ก็ลืมซื้อข้าวเย็นเข้ามาด้วยนี่เอง” หญิงสาวว่าต่ออย่างนึกอารมณ์เสีย เมื่อต่อมาพิมรัมภาเพิ่งจะนึกได้ว่าตัวเองลืมซื้ออาหารมื้อเย็นเข้ามากินด้วย โดยปกติยามที่พิมรัมภาต้องออกไปทำงาน หญิงสาวก็มักจะฝากท้องไว้ที่ร้านอาหารตามสั่งหรือไม่ก็ร้านอาหารที่เปิดขายอยู่ตามข้างทาง พิมรัมภาไม่ค่อยลงมือทำอาหารกินเองนัก เนื่องจากเธอมองว่ามันไม่คุ้มสำหรับเธอ ประกอบกับพิมรัมภาไม่ใช่คนที่ทำอาหารเก่งด้วย นั่นจึงทำให้เธอเลือกที่จะซื้อกินมากกว่าประกอบอาหารเอง “งั้นเราค่อยออกไปหาอะไรกินตอนที่เช็กคลิปเสร็จแล้วกัน” พิมรัมภาบอกตัวเองพร้อมทิ้งตัวลงเตียง ทั้งที่หญิงสาวยังไม่ทันได้เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ กิจวัตรของพิมรัมภาในทุก ๆ วันมันก็เป็นแบบนี้นี่แหละ หลังกลับมาจากการทำงานประจำ เธอก็ต้องแบ่งเวลามาทำงานเสริมของตัวเอง ไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวให้ตัวเองนัก เนื่องจากหญิงสาวมีอะไรหลาย ๆ อย่างให้ต้องรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่ายส่วนตัว หนี้สินของยายรวมไปถึงหนี้ทางการศึกษาของพิมรัมภาที่เธอเคยทำเรื่องกู้เอาไว้ สมัยที่เพิ่งเข้ามาเรียนมหาลัยในกรุงเทพใหม่ ๆ “เข้าใจถ่ายนะเนี่ย” เวลาต่อมา ขณะที่พิมรัมภากำลังนอนเช็กคลิปที่ถูกถ่ายโดยคุณกันต์ หญิงสาวก็พูดชมอีกฝ่ายเสียงแผ่ว เมื่อการถือกล้องของอีกฝ่ายถือว่าดีเยี่ยมมากสำหรับเธอ เนื่องจากพิมรัมภาแทบไม่ต้องตัดช่วงที่มีใบหน้าของเธอออกไปจากคลิปด้วยซ้ำ อีกฝ่ายสามารถเซฟตัวเธอได้เป็นอย่างดี มันอาจจะมีบางช่วงที่กล้องสั่นไหวบ้าง เพราะอีกฝ่ายรู้สึกดีกับการปรนเปรอของพิมรัมภาเกินไป แต่ภาพโดยรวมแล้วยังไงมันก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเยี่ยมอยู่ดี แถมเสียงครางทุ้มต่ำของอีกฝ่ายที่คลออยู่ในคลิปก็สามารถปลุกเร้าอารมณ์ของคนดูได้เป็นอย่างดีด้วย “งั้นเราอัปเลยแล้วกัน” เมื่อเช็กคลิปอยู่ประมาณสองครั้งและไม่เห็นว่าจะมีจุดไหนที่ควรตัดออก ต่อมาพิมรัมภาจึงกดอัปโหลดคลิปที่ว่าลงในช่องของเธอทันที ซึ่งหญิงสาวก็คาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคลิปนี้จะสามารถเรียกกระแสความนิยมในตัวเธอได้ เพราะพิมรัมภาไม่เคยลงคลิปกับของจริงแบบนี้มาก่อน “อะไรกัน แค่นี้ก็แฉะแล้วเหรอ ไม่ไหวเลยนะเรา” เมื่อจัดการกับคลิปเรียบร้อยแล้ว พิมรัมภาก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วพร้อมหลุบตามองน้ำสีใสที่ติดอยู่ตามนิ้วของตัวเอง หลังเธอรู้สึกมีอารมณ์อีกครั้ง เพราะการตรวจดูคลิปเมื่อครู่นี้ ซึ่งก็อาจเป็นเพราะว่าหญิงสาวยังคงจำรสชาติและเสียงครางของคุณกันต์ที่ยังคงตราตรึงอยู่ในห้วงความคิดของเธอได้แหละมั้ง มันถึงทำให้พิมรัมภามีอารมณ์ร่วมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังลงคลิปและเปลี่ยนเสื้อผ้าจนมาอยู่ในชุดสบายตัวเรียบร้อยแล้ว เมื่อหยิบโทรศัพท์กับกระเป๋าตังของตัวเองได้ พิมรัมภาก็รีบพาตัวเองลงไปที่ชั้นล่างของหอพักเพื่อหาซื้ออาหารเย็นทันที โดยหลังจากที่กินข้าวเสร็จ หญิงสาวก็ตั้งใจว่าเธอจะมานั่งวางแพลนเรื่องคลิปในช่องของตัวเองต่อว่าเธอควรจะลงอะไรเป็นคลิปต่อไปดี “วันนี้เอาอะไรดีจ๊ะ?” “บะหมี่หมูแดงค่ะ หนูกินที่นี่นะคะ” เมื่อเดินมาถึงร้านบะหมี่เกี๊ยวที่ตั้งขายอยู่ไม่ไกลจากห้องพักนัก และสามารถเดินมาซื้อได้ พิมรัมภาก็บอกเมนูประจำตัวของเธอพร้อมเดินไปตักน้ำแข็ง เนื่องจากร้านนี้จะต้องบริการน้ำดื่มด้วยตัวเอง “ขอบคุณมากค่ะ” หลังบะหมี่หมูแดงถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมกับน้ำซุปร้อน ๆ เรียบร้อยแล้ว พิมรัมภาก็รีบเอ่ยขอบคุณตามมารยาท และลงมือปรุงอาหารตามรสชาติที่ชอบทันที ซึ่งการนั่งกินอะไรร้อน ๆ หลังจากที่ฝนหยุดตก มันก็เป็นอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกดีมาก โดยระหว่างที่พิมรัมภากำลังนั่งกินมื้อเย็นของตัวเองอย่างไม่รีบร้อนอยู่นั้น หญิงสาวก็หันมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อยตามประสาคนที่ไม่ค่อยชอบเล่นโทรศัพท์ตอนที่อยู่ข้างนอกห้อง เนื่องจากเธอมีความลับเยอะ ทุกอย่างมันเป็นไปด้วยดีและไม่มีปัญหาอะไร จนกระทั่งพิมรัมภาเห็นรถหรูแบบสองที่นั่งเลี้ยวเข้าหอพักของตัวเองนั่นแหละ หญิงสาวจึงต้องเลื่อนสายตามองตามรถหรูยี่ห้อดังจากเยอรมันอย่างให้ความสนใจ “นั่นเป็นรถของเจ้าของหอพักเหรอ” พิมรัมภาพึมพำกับตัวเองอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก ซึ่งตั้งแต่ที่หญิงสาวย้ายมาอยู่ที่หอพักนี้มาได้เกือบสองปีแล้ว เธอยังไม่เคยได้เห็นหน้าของเจ้าของห้องพักเลยสักครั้ง ระหว่างเธอกับเจ้าของห้องพักมักจะถูกติดต่อโดยผ่านคนกลางทั้งนั้น เพราะเจ้าของห้องพักมีธุรกิจหลายอย่าง ห้องพักนี้อีกฝ่ายจึงมักจะจ้างคนเข้ามาดูแลแทน เช่นพาเดินดูห้อง ทำสัญญา ตลอดจนรับแจ้งเรื่องหากของใช้ในห้องพักมีปัญหา “ด—เดี๋ยวนะ นั่นเป็นรถของคุณกันต์เหรอ” หลังจับตามองตาไม่กะพริบและรอคอยที่จะได้เจอกับเจ้าของห้องพักอย่างใจจดจ่อ ในที่สุดพิมรัมภาก็ต้องพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงตกใจ เมื่อเธอเห็นคุณกันต์เดินลงมาจากรถคันนั้น และเพียงแค่เห็นว่าอีกฝ่ายดูมีเงินทองและร่ำรวยเกินกว่าที่จะเป็นพนักงานเงินเดือนธรรมดา ในหัวของพิมรัมภาก็เริ่มคิดไปต่าง ๆ นานาทันที “ถ้าเขารวยขนาดที่เป็นเจ้าของห้องพัก แล้วจะไปเป็นพนักงานกินเงินเดือนทำไมวะ” “หรือว่านี่ไม่ใช่ห้องพักของเขา” พิมรัมภาตบตีกับความคิดของตัวเองทั้งคิ้วขมวด เมื่อหญิงสาวรู้สึกว่าไม่ว่าเธอจะคิดไปทางไหน ทุกอย่างมันก็ดูขัดแย้งกันไปหมด หากคุณกันต์ไม่ได้เป็นเจ้าของห้องพักจริง ๆ แล้วทำไมอีกฝ่ายถึงมีเงินไปซื้อรถหรูมาขับได้ แถมยี่ห้อที่อีกฝ่ายขับต่อให้พิมรัมภาจะไม่ได้มีความรู้เรื่องรถมากนัก แต่เธอก็รู้ว่ามันคงมีมูลค่าหลายล้านแน่ อย่างน้อย ๆ มันก็ต้องไม่ต่ำกว่าสองล้านบาท “หรือว่าบ้านเขารวยอยู่แล้ว?” พิมรัมภายังคงพยายามคาดเดาต่ออย่างไม่ยอมแพ้ ก่อนที่เวลาต่อมาหญิงสาวจะเกิดอาการสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อคุณกันต์ที่กำลังยืนหยิบของในรถเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเธอด้วยความบังเอิญ อีกฝ่ายคงรู้สึกได้ถึงสายตาของพิมรัมภาที่กำลังจ้องเจ้าตัวตาเขม็งแน่ ถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองกันแบบนั้น... และเพียงแค่พิมรัมภาถูกจับได้ว่าเธอกำลังแอบมองอยู่ หยิงสาวก็รีบก้มหน้าลงโดยพลัน เธอแสร้งทำทีให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าของตัวเอง ขณะเดียวกันหัวใจของเธอก็เต้นระส่ำอย่างไม่เป็นจังหวะ เห็นที... หญิงสาวคงต้องฝึกทักษะการแอบมองเสียแล้ว เธอจะได้ไม่ต้องถูกจับได้แบบนี้ พิมรัมภานึกในใจ ระหว่างที่เธอกำลังก่นด่าตัวเองไปด้วย “ขอนั่งด้วยได้หรือเปล่า?” “...” “ผมเห็นคุณนั่งกินข้าวอยู่คนเดียว มันคงจะเหงาน่าดู” ทันใดนั้นเสียงของแขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ดังขึ้น นั่นจึงทำให้พิมรัมภาต้องรีบเงยหน้าขึ้นมองโดยพลัน ดวงตากลมโตเบิกกว้างเล็กน้อย เมื่อไม่คิดว่าคุณกันต์จะข้ามถนนเดินตรงเข้ามาหาเธอถึงร้านก๋วยเตี๋ยวแบบนี้ ซึ่งยังไม่ทันที่เธอจะได้พูดอะไรกลับไป อีกฝ่ายก็หันไปสั่งก๋วยเตี๋ยวกับแม่ค้าพร้อมถือวิสาสะทิ้งตัวนั่งฝั่งตรงข้ามพิมรัมภา ทำเอาหญิงสาวถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันหนักกว่าเดิม “ฉันยังไม่อนุญาตเลยนะคะ” พิมรัมภาบอกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงตำหนิ “เหรอ ผมเห็นว่าเงียบก็เลยนึกว่าอนุญาตแล้วเสียอีก” อีกฝ่ายตอบกลับมาทั้งหน้าซื่อ “...” “อย่าถือตัวไปหน่อยเลยน่า เพราะพวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลสักหน่อยนี่” คุณกันต์พูดต่อพลางยกยิ้มมุมปากจาง ๆ ขณะที่ตัวของพิมรัมภาเองก็ได้แต่พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง เพราะรู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ “เอาเถอะค่ะ คุณอยากทำอะไรหรืออยากนั่งตรงไหนก็ตามใจคุณเถอะ เพราะฉันคร้านที่จะคุยด้วยแล้ว” หญิงสาวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน โดยตลอดทั้งการนั่งกินข้าวร่วมกัน ทั้งสองก็ไม่พูดคุยกันเลยสักประโยคเดียว พิมรัมภาเอาแต่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายอยู่อย่างนั้นเป็นระยะ เนื่องจากเธอมีความสงสัยมากมายที่อยากได้รับคำตอบจากอีกคน แต่เพราะความไม่กล้าที่หญิงสาวมี นั่นจึงทำให้เธอไม่คิดจะพูดอะไรออกมาทั้งนั้น “คุณทำเหมือนว่าคุณรำคาญผม แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ดูจะให้ความสนใจผมอยู่พอสมควรเลยนะ” ท่ามกลางความเงียบที่แผ่ปกคลุมทั้งคู่ ทันใดนั้นเสียงของผู้ชายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้น “เปล่านี่คะ มีคนนั่งอยู่ฝั่งตงข้ามกันฉันก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองอยู่แล้ว” พิมรัมภาตอบกลับไปทั้งหน้าตาย และพูดเปรย ๆ ขึ้นพร้อมสังเกตท่าทีของอีกฝ่ายไปด้วย “ว่าแต่คุณเป็นเจ้าของหอพักนี้เหรอคะ” “อะไรที่ทำให้คุณคิดแบบนั้นกัน” อีกฝ่ายถามกลับมาเสียงนิ่ง ดูไม่มีท่าทีตื่นตกใจกับคำถามของพิมรัมภาเลยแม้แต่นิด “ก็รถที่คุณขับ” “...” “รถAudiแบบสองที่นั่ง ต่อให้ฉันไม่รู้เรื่องข้อมูลรถ แต่ก็พอจะเดาได้อยู่นะคะว่ารถฝั่งยุโรปราคาเริ่มต้นมันประมาณเท่าไร” พิมรัมภาอธิบายเพิ่มเติม “แล้วมันแปลกยังไงเหรอ” “...” “คุณอย่าทำเหมือนที่บริษัทของพวกเราไม่มีใครใช้รถยี่ห้อนี้ได้ไหม” อีกฝ่ายบอกกลับมาพลางระบายยิ้มจาง ๆ มาให้ คล้ายต้องการบอกพิมรัมภาว่าหญิงสาวคิดมากเกินไป “ใช่ค่ะ ที่บริษัทเรามีคนใช้รถยี่ห้อนี้อยู่หลายคน แต่ว่าคนที่ใช้รถยุโรปส่วนใหญ่มีแต่ผู้บริหารระดับสูงนะคะ” พิมรัมภาแย้งกลับไป “...” “นี่ตกลงคุณเป็นใครกันแน่และต้องการอะไรจากฉันกัน” หญิงสาวว่าต่อด้วยท่าทีนึกระแวง เมื่อเธอรู้สึกว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอไม่ใช่ผู้ชายธรรมดา แต่เป็นใครก็ไม่รู้ที่พิมรัมภาต่อกรได้ยาก “นั่นสิ ผมเป็นใครกันนะ” อีกฝ่ายย้อนถามกลับมา ขณะเดียวกันดวงตาคมที่พิมรัมภารู้สึกว่ามันเป็นดวงตาที่งดงามก็ได้จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของหญิงสาว ทำเอาเธอต้องรีบเบือนหน้าหนีไปทางอื่นโดยพลัน เนื่องจากพิมรัมภารู้สึกว่าเธอไม่สามารถต้านทานสายตานั้นได้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม