บท 8

2985 คำ
8 หลังปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งกินก๋วยเตี๋ยวอยู่ฝั่งตรงข้ามตัวเองนานพักใหญ่ ในที่สุดทั้งสองก็จัดการอาหารตรงหน้าของตัวเองเสร็จ ทว่าในจังหวะที่ทั้งสองกำลังจะเดินไปจ่ายเงิน คุณกันต์ก็โชว์สปิริตด้วยการจ่ายค่าอาหารให้พิมรัมภาด้วย ทำเอาหญิงสาวต้องยืนเท้าสะเอวมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง เพราะเธอไม่ได้ร้องขอให้คุณกันต์ต้องมาเลี้ยงข้าวกันแบบนี้ “นี่ค่ะ” พิมรัมภาเอ่ยเบา ๆ พร้อมยื่นเงินไปให้คุณกันต์ทั้งหน้าบึ้งตึง “อะไร?” อีกฝ่ายถามกลับมาเสียงงง “ก็ค่าอาหารเมื่อกี้ไงคะ ฉันต้องการคืนคุณค่ะ” “ผมเลี้ยง” “ไม่เอาค่ะ พอดีฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร” พิมรัมภาให้เหตุผลอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคำพูดของเธอก็ทำให้อีกฝ่ายถึงกับพ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง “นิสัยของเจ้าของช่องเป็นแบบนี้เองหรอกเหรอ” “...” “ดื้อใช่ย่อย” “ฉันไม่ได้ดื้อนะคะ” พิมรัมภารีบปฏิเสธคำครหานั้นโดยพลันแล้วว่าต่อ “แต่ฉันบอกแล้วไงคะว่าฉันไม่อยากติดหนี้บุญคุณใคร เพราะเดี๋ยวถ้าเราเจอกันครั้งหน้า คุณก็คงจะหาเรื่องให้ฉันเลี้ยงข้าวคุณ” “รู้ทันจนได้สินะ” อีกฝ่ายพึมพำทั้งรอยยิ้ม “ตกลงคุณกันต์จะเอายังไงกับค่าอาหารนี้ดีคะ หรือจะให้ฉันบริจาคดี?” พิมรัมภาวกกลับมาที่ประเด็นแรกอีกครั้ง “ก็ตามใจคุณ” “...” “ผมถือว่าผมให้คุณแล้ว เพราะงั้นคุณจะเอาไปทำอะไรต่อก็เรื่องของคุณเถอะ” อีกฝ่ายตอบกลับมาพร้อมเดินจากพิมรัมภาไป ทิ้งให้หญิงสาวได้แต่มองตามแผ่นหลังกว้างนั้นอย่างใช้ความคิด “เหมือนจะเป็นโรคจิต แต่บางครั้งก็เหมือนเป็นคนปกติทั่วไป นี่ตกลงเขาเป็นคนยังไงกันแน่นะ” พิมรัมภาพึมพำด้วยท่าทีสับสน เนื่องจากสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมา มันไม่เคยเป็นไปในทางใดทางหนึ่งเลย แล้วถ้าสมมติวันใดวันหนึ่งอีกฝ่ายรุกล้ำความเป็นส่วนตัวมากกว่านี้จนทำให้เธอรู้สึกไม่โอเค พิมรัมภามีการชี้หน้าว่าอีกฝ่ายเป็นโรคจิตและคุกคามความเป็นส่วนตัวของเธอ พอถึงคราวนั้น... ใครเขาจะยอมเชื่อกัน เวลาต่อมาหลังพิมรัมภาแยกย้ายกับคุณกันต์เรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็มีการแวะเข้าร้านสะดวกซื้อ เพื่อเลือกซื้อขนมและน้ำดื่มกลับไปยังห้องของตัวเองต่อ ซึ่งพอพิมรัมภาเดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเองได้แล้ว สิ่งต่อไปที่หญิงสาวทำหลังจากนั้นก็คือการมานั่งวางแผนเรื่องการลงคลิปในช่องของตัวเองว่ามันควรจะมีเนื้อหาอะไรบ้าง ผู้คนกำลังฮิตคอนเทนต์แบบไหน และอยากดูอะไรจากช่องของเธอ “อะไรกัน... เดี๋ยวนี้ในเว็บเขามีไลฟ์สตรีมแล้วเหรอ ตั้งแต่เมื่อไรกัน” เมื่อหยิบโน้ตบุ๊กออกมาเปิดแล้วเห็นว่าเว็บไซต์ที่ทำเงินให้กับตัวเองมีฟังก์ชันให้ช่องทั้งหลายสามารถไลฟ์สตรีมได้แล้ว พิมรัมภาก็รีบพูดขึ้นโดยพลันตามประสาคนที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ เพราะโดยปกติทุกครั้งที่พิมรัมภาต้องการอัปผลงานของตัวเองลงบนเว็บเหมือนอย่างที่เธอทำเมื่อตอนเย็น เธอก็มักจะทำทุกอย่างในโทรศัพท์ของตัวเองเสมอ พิมรัมภาไม่ค่อยเอาโน้ตบุ๊กออกมาเปิดและเข้าใช้งานหน้าเว็บไซต์หลักนัก แถมยังไม่ค่อยชอบอ่านข้อความอีก นั่นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากพิมรัมภาจะไม่รู้ข่าวสารพวกนี้ “แล้ว... รายได้มันดีหรือเปล่าเนี่ย” หญิงสาวพึมพำต่อ ซึ่งพิมรัมภาก็ไม่เคยมีความคิดที่จะเอนเตอร์เทนคนสนับสนุนช่องของเธอผ่านการไลฟ์สตรีมเลย เนื่องจากเธอไม่เคยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตัวเองลงเว็บเลยสักครั้ง แต่ถ้าการไลฟ์สตรีมมันสามารถสร้างเงินให้กับเธออย่างเป็นกอบเป็นกำได้ พิมรัมภาก็อยากลองสวมใส่หน้ากากแล้วไลฟ์สตรีมดู เธอเองก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมานั่นแหละ... หลังเห็นว่าฟังก์ชันไลฟ์สตรีมมันค่อนข้างน่าสนใจอยู่ไม่น้อย เวลาต่อมาพิมรัมภาก็ไม่รอช้า เธอรีบกดเข้าไปในกลุ่มของเหล่านักคอนเทนต์ครีเอเตอร์ประจำเว็บไซต์นี้ทันที เพราะในกลุ่มนั้นจะมีการบอกเล่าถึงข้อดีข้อเสียที่เกี่ยวข้องกับฟังก์ชันใหม่ “นี่พวกเขาได้เป็นแสนเลยเหรอ!? นี่มันเท่ากับรายได้ตลอดทั้งเดือนของเราเลยนะเนี่ย” พิมรัมภาเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยความโลภ เมื่อมีช่องหนึ่งมาเปิดเผยรายได้ของตัวเองจากการไลฟ์สตรีมเพียงอย่างเดียว แล้วเมื่อพิมรัมภาเห็นว่ารายได้จากฟังก์ชันมันค่อนข้างเยอะจนเธอไม่สามารถปล่อยผ่านไปได้ นั่นจึงทำให้พิมรัมภาเริ่มคิดต่อทันทีว่าเธอต้องทำยังไงบ้าง เพื่อที่เธอจะได้จับเงินแสนแบบช่องอื่น “โอเค อันดับแรกเราต้องไปหาซื้อหน้ากากมาใส่สินะ” หลังตั้งใจแล้วว่าตัวเองจะมีการจัดไลฟ์สตรีมแบบช่องอื่นผ่านการสวมใส่หน้ากากปิดบังใบหน้าของตัวเองเอาไว้ พิมรัมภาก็รีบจดโน้ตเตรียมตัวไลฟ์สดด้วยความกระตือรือร้น ขณะเดียวกันหญิงสาวก็คอยเปิดอ่านฟีดแบคจากคลิปล่าสุดที่เธอใช้ปากทำรักให้ผู้ชายเป็นครั้งแรกไปด้วย “พวกนี้นี่ได้คืบจะเอาศอกสินะ” เมื่อนั่งอ่านฟีดแบคอยู่พักใหญ่ และเห็นคอมเมนต์ส่วนใหญ่เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าอยากให้เจ้าของช่องลงสนามจริงมากกว่าการเล่นของเล่น พิมรัมภาก็ถึงกับออกปากบ่นอย่างนึกอารมณ์เสีย ซึ่งใจจริงเธอก็ไม่ใช่คนที่ชอบตามใจแฟนคลับช่องของเธอนักหรอก พิมรัมภามักจะดูตามความเหมาะสมเสียมากกว่า แต่เพราะเดี๋ยวนี้ช่องใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาเยอะมาก นั่นจึงทำให้หญิงสาวต้องคอยตามใจคนดูบ้าง เพื่อไม่ให้แฟนคลับของตัวเองหายไป จริงอยู่ที่การทำช่องแบบนี้มันได้เงินดี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่มีการแข่งขันอะไรเลย... “โอเค ตอนนี้สั่งหน้ากากไปแล้วเรียบร้อย แต่ยังเหลืออะไรอีกนะ ไฟไลฟ์สตรีมเหรอ?” หลังเข้าแอปช็อปปิ้งออนไลน์และเลือกซื้อหน้ากากที่ถูกใจนานพักใหญ่ พิมรัมภาก็พูดขึ้นอีกครั้ง พร้อมเสิร์จหาอุปกรณ์อื่นที่ต้องมีในไลฟ์สตรีมของตัวเอง โดยกว่าที่เธอจะเลือกซื้ออุปกรณ์ทั้งหลายแหล่จนเธอคิดว่าตัวเองกดซื้อมาครบหมดแล้ว พิมรัมภาก็ใช้เวลานานเกือบชั่วโมง ซึ่งหญิงสาวก็มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่นาฬิกาที่ติดอยู่ข้างผนังได้บอกว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มกว่าแล้วนี่แหละ “ตอนนี้ยายคงจะหลับไปแล้วสินะ” เมื่อเห็นว่ามันเลยเวลาที่จะโทรหายายแล้ว พิมรัมภาจึงนึกตำหนิตัวเองต่อ เนื่องจากเธอมัวแต่ให้ความสนใจกับงานของตัวเองแท้ ๆ เธอถึงละเลยยายของตัวเองแบบนี้ “งั้นไม่เป็นไร ถ้างั้นพรุ่งนี้ค่อยโทรหายายตอนเช้าก็แล้วกัน ยายน่าจะเข้าใจเราอยู่มั้ง” พิมรัมภาบอกตัวเองต่อ เพื่อให้ความรู้สึกผิดที่เธอกำลังแบกรับอยู่ในตอนนี้บางเบาลงไป ท่ามกลางการทำคอนเทนต์สิบแปดบวกที่ค่อนข้างฉาบฉวย เบื้องหลังกล้องพิมรัมภาก็เป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ต้องทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัว แม้ครอบครัวของพิมรัมภาจะมีแค่ยายเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่พิมรัมภาก็ยังมีค่าใช้จ่ายมากมายที่เธอต้องแบกรับเอาไว้ ทั้งหนี้ทางการศึกษา หนี้ของคุณยายที่เลี้ยงดูเธอมา ไหนจะค่าจิปาถะต่าง ๆ ที่เธอต้องใช้จ่ายในแต่ละเดือนอีก นั่นจึงทำให้เธอต้องดิ้นรนหาเงินมากกว่าปกติ จริงอยู่ที่ตอนนี้เธอเรียนจบและทำงานอยู่ในองค์กรใหญ่แล้ว แต่เนื่องด้วยเธอเป็นพนักงานที่เพิ่งเรียนจบใหม่ ยังไม่มีประสบการณ์มากมาย มันเลยทำให้เงินที่ได้รับในแต่ละเดือนมันค่อนข้างไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพของเธอ พิมรัมภาเคยคิดว่าหลังจากที่เธอเรียนจบแล้ว เธอจะหยุดทำช่องสิบแปดบวก หญิงสาวเคยคิดที่จะหยุดทำมันจริง ๆ แต่เพราะหนี้สินมากมายที่คอยรุมล้อมเธอในทุก ๆ เดือน เธอจึงจำเป็นต้องทำช่องนี้ต่อไป ซึ่งพิมรัมภาก็น่าจะได้เลิกทำช่องแนวนี้ก็ตอนที่เธอหมดหนี้หมดสินแล้วนั่นแหละ “เฮ้อ... เหนื่อยชะมัด” เช้าแห่งวันหยุด หลังจากที่พิมรัมภาตากผ้าและทำความสะอาดห้องพักของตัวเองเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวก็นอนแผ่หลาที่พื้นอย่างคนหมดแรง เมื่อการทำความสะอาดห้องในแต่ละครั้ง มันค่อนข้างดูดพลังงานของพิมรัมภาอยู่พอสมควร “วันนี้เราตั้งใจว่าเราจะโทรหายายนี่นา” พิมรัมภาพูดต่ออย่างคนเพิ่งนึกได้ และเมื่อเธอฉุกคิดได้แล้ว หญิงสาวก็ไม่รอช้า เธอรีบลุกไปคว้าโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากแท่นชาร์จ ตั้งใจจะโทรไปหายายเพื่อทดแทนที่เมื่อคืนนี้เธอลืมโทรหา [ว่าไงลูก ทำไมวันนี้ถึงโทรมาหายายตั้งแต่เช้าเลยล่ะ] ทันทีที่คนปลายสายกดรับกันแล้ว ยายก็เป็นฝ่ายพูดกับพิมรัมภาก่อนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนอย่างทุกครั้ง “ก็เมื่อคืนนี้พิมมัวแต่คิดเรื่องงานจนลืมโทรหายายไงจ๊ะ วันนี้พิมก็เลยตั้งใจจะโทรมาหาตั้งแต่เช้า” พิมรัมภาตอบกลับไปตามตรง [แล้ววันนี้เราไม่ไปทำงานหรือไง] “ยายจ๊ะ วันนี้มันเป็นวันอาทิตย์นะ” พิมรัมภาท้วงกลับไป ซึ่งบริษัทที่พิมรัมภาทำงานอยู่ก็จะหยุดเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น [ยายก็ลืมไปเลยแฮะ ขอโทษทีนะลูก] “ไม่เป็นไรจ้ะ ว่าแต่ตอนนี้ยายกำลังทำอะไรอยู่เหรอจ๊ะ ยายไม่ได้อยู่ที่ตลาดหรอกเหรอ” พิมรัมภาถามคนปลายสายต่อ เมื่อเธอรู้สึกว่าตอนนี้ยายของเธอกำลังอยู่ที่อื่นที่ไม่ใช่ตลาดสด เนื่องจากพิมรัมภาไม่ได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวาย อีกทั้งเธอยังได้ยินเสียงประกาศอยู่เป็นระยะด้วย [อ๋อ พอดียายมาคลินิกพิเศษของโรงพยาบาลน่ะ] “...” [พอดียายรู้สึกเหมือนมีก้อนที่คอน่ะ ก็เลยแวะมาที่โรงพยาบาลเพื่อให้คุณหมอเขาเช็กอาการดูสักหน่อย ไม่มีอะไรหรอกลูก] ยายรีบอธิบายต่อ เมื่อเห็นว่าพิมรัมภาเงียบไปพักใหญ่ “แล้วตอนนี้ยายได้เข้าตรวจหรือยังจ๊ะ?” พิมรัมภาถามต่อด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้ นั่นก็เพราะว่าพิมรัมภากำลังกังวลเรื่องสุขภาพของยาย เนื่องจากทั้งชีวิตของพิมรัมภาเธอเหลือแค่ยายเท่านั้น นั่นจึงทำให้หญิงสาวค่อนข้างเครียดทุกครั้งยามที่เห็นว่ายายของตัวเองมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ต่อให้ปัญหาเหล่านั้นจะเป็นปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ตาม [ตอนนี้ยายกำลังนั่งรอตรวจอยู่ ถ้าได้เรื่องยังไงเดี๋ยวยายจะมาบอกเราอีกทีนะลูก] “จ้ะ ยังไงยายก็อย่าลืมบอกพิมนะ” พิมรัมภาพูดกำชับกับคนปลายสายอีกหน จากนั้นทั้งสองยายหลานก็พูดคุยเรื่องอื่นกันต่อ เมื่อคุณยายของพิมรัมภาพยายามเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น เพราะอีกฝ่ายไม่อยากให้หลานสาวอย่างเธอเกิดความเป็นห่วง [ตอนนี้พยาบาลเขาใกล้จะเรียกชื่อยายแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราค่อยคุยกันใหม่นะ] “ก็ได้จ้ะยาย ยังไงเดี๋ยวพิมโอนค่ายาค่าหมอของวันนี้ไปให้นะจ๊ะ” พิมรัมภาเอ่ยอย่างจำยอม โดยหลังจากที่เธอวางสายไปจากยายเรียบร้อยแล้ว พิมรัมภาก็รีบกดเข้าไปที่แอปพลิเคชันธนาคาร เพื่อโอนเงินค่าหมอค่ายาไปให้อีกฝ่ายทันที เนื่องจากพิมรัมภารู้ดีว่ายายเองก็ไม่มีตังเหมือนกัน ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก! “แม้กระทั่งในวันหยุดก็ยังไม่คิดจะหยุดก่อกวนกันเลยเหรอเนี่ย” หลังได้ยินเสียงเคาะประตูห้องและพิมรัมภาก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร หญิงสาวก็พูดขึ้นด้วยอารมณ์หงุดหงิดทันที ซึ่งถ้าเป็นแต่ก่อน... การที่ได้ยินเสียงเคาะห้องแบบนี้ มันก็ค่อนข้างสร้างความหวาดกลัวให้กับพิมรัมภาอยู่พอสมควร แต่พอเธอได้เห็นหน้าของอีกฝ่ายและมีข้อมูลว่าอีกฝ่ายทำงานอยู่ที่ไหน แถมทั้งสองยังเคยนั่งกินข้าวด้วยกันอีก นั่นก็ทำให้ความหวาดกลัวที่พิมรัมภามีต่ออีกฝ่ายเริ่มลดน้อยลง ...แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะหายไปเลย หลังตัดสินใจแล้วว่าเธอจะเดินไปเปิดประตูห้อง เพื่อไปต่อว่าอีกฝ่ายตามประสาคนที่หมดความอดทน พิมรัมภาก็รีบเดินตรงไปยังห้องอย่างไร้ความลังเล โดยก่อนที่เธอจะเปิดประตูออกไป พิมรัมภาก็มีการยืนเรียบเรียงคำพูดพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งหลักก่อน “เอาล่ะ เราทำได้” หญิงสาวพูดกับตัวเองว่าอย่างนั้น จากนั้นพิมรัมภาก็เอื้อมมือไปเปิดประตูทันที ทว่าแทนที่พิมรัมภาจะได้เจอกับคุณกันต์ตามที่คิดไว้ในหัวว่าอีกฝ่ายจะต้องยืนคอยอยู่ที่หน้าห้องแน่ หญิงสาวกลับเจอแต่ความว่างเปล่าเสียอย่างนั้น “อ้าว... หายไปไหนแล้วล่ะ” หลังหันมองซ้ายขวาและไม่เห็นว่าจะมีใครยืนอยู่หน้าห้องเลยสักคน พิมรัมภาก็ต้องเอ่ยขึ้นเสียงงุนงง ก่อนที่ต่อมาสายตาของเธอจะมาสะดุดอยู่ตรงลูกบิดประตูห้อง เมื่อพิมรัมภาเห็นว่ามันมีถุงโจ๊กแขวนเอาไว้ให้อยู่ ซึ่งมันก็คงจะเป็นของผู้ชายคนนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย “เขาซื้อโจ๊กมาให้เรางั้นเหรอ นี่ตกลงเขาเป็นคนประเภทไหนกันแน่” เป็นอีกครั้งที่พิมรัมภาต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างไม่เข้าใจ หลังหยิบถุงโจ๊กเข้ามาในห้องด้วยความงุนงงแล้ว สิ่งแรกที่พิมรัมภาทำหลังจากนั้นนั่นก็คือพิมพ์ข้อความไปถามอีกฝ่าย เผื่อว่าเธอจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นของเจ้าตัว ‘โจ๊กที่แขวนอยู่หน้าห้องฉันเป็นของคุณเหรอคะ?’ ‘ครับ’ คุณกันต์รีบพิมพ์ตอบกลับมา คล้ายกับเจ้าตัวรู้อยู่แล้วว่าพิมรัมภาจะต้องพิมพ์ไปถาม ‘แล้วนึกยังไงถึงซื้อมาให้เหรอคะ’ พิมรัมภาถามต่ออย่างข้องใจ ‘ผมสั่งในแอปมาครับ’ ‘ค่าส่งมันแพง ถ้าสั่งแค่ถุงเดียวคงไม่คุ้ม’ ‘ผมก็เลยซื้อมาสองถุง’ “ก็นึกว่าตั้งใจซื้อมาให้เราซะอีก นี่กำลังคาดหวังอะไรอยู่นะ” หลังอ่านข้อความเหล่านั้นจบ พิมรัมภาก็ถึงกับต้องกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เนื่องจากในตอนแรกเธอก็นึกว่าอีกฝ่ายลงทุนไปซื้อโจ๊กมาให้กัน เพราะต้องการบางอย่างจากเธอเสียอีก แต่สงสัยพิมรัมภาจะหลงตัวเองไปเสียหน่อย... ‘งั้นก็ขอบคุณสำหรับน้ำใจมากเลยนะคะที่อุตส่าห์แบ่งมาให้กิน’ พิมรัมภาโต้ตอบกลับไป ซึ่งคุณกันต์ก็ทำเพียงแค่กดอ่านมันเท่านั้น หลังมั่นใจแล้วว่าโจ๊กที่ถูกแขวนอยู่หน้าห้องเป็นของคุณกันต์ไม่ใช่ใครอื่น พิมรัมภาถึงค่อยยอมแกะถุงออกมากิน เนื่องจากเท่าที่เธอดูจากการรัดปากถุงแล้ว มันน่าจะยังไม่ถูกแกะออกเพื่อแอบใส่อะไรข้างใน “ถ้าเราถามเรื่องนี้กับพี่ภัค พี่เขาจะรู้จักไหมนะ?” ระหว่างที่กำลังนั่งกินโจ๊กหมูตรงหน้าของตัวเอง พร้อมกับเล่นโทรศัพท์ไปด้วย พิมรัมภาก็เอ่ยขึ้นเบา ๆ คล้ายต้องการปรึกษากับตัวเอง เมื่อเธอคิดได้ว่าบางทีเธออาจจะสามารถรู้จักคุณกันต์ได้มากขึ้นผ่านการสอบถามเรื่องราวของอีกฝ่ายจากเพื่อนร่วมงาน “แต่ว่าคนชื่อกันต์ในบริษัทน่าจะมีเป็นสิบเลยมั้งเนี่ย แล้วพี่ภัคเขาจะรู้ได้ยังไงว่ากันต์ไหน” พิมรัมภาพูดต่อ หลังเธอมองเห็นอุปสรรคตั้งแต่ยังไม่ทันจะได้เริ่มถามด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าเธอจะล้มเลิกความคิดนี้ไป เพราะถึงแม้พิมรัมภาจะยังไม่รู้ว่าคุณกันต์คนที่เธอรู้จักทำงานอยู่ในแผนกไหน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่สามารถบรรยายลักษณะของอีกฝ่ายได้สักหน่อย ‘พี่ภัคคะ ขอโทษที่รบกวนวันหยุดนะคะ’ ‘คือพิมอยากถามว่าพี่ภัคพอจะรู้จักคนชื่อกันต์ หน้าตาหล่อ ๆ ไหมคะ’ ‘ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเขาใช้รถAudiน่ะค่ะ’ ‘พอดีพิมเก็บของเขาได้ค่ะ ก็เลยอยากจะคืนเขา’ พิมรัมภาพิมพ์ถามเพื่อนร่วมงาน ซึ่งพี่ภัคก็กดอ่านข้อความจากเธอแทบจะในทันที ‘พี่รู้จักคนชื่อนี้อยู่สองคนนะ’ ‘ยังไงเดี๋ยวพี่จะลองถามเพื่อนให้นะว่าคนไหนขับรถยี่ห้อนี้’
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม