บท 9

2740 คำ
9 หลังพี่ภัครับปากกันแล้วว่าเธอจะช่วยหาให้เองว่าคุณกันต์คนไหนที่ใช้รถสัญชาติยุโรปในบริษัท พิมรัมภาจึงนั่งรอคอยข้อความจากเธออย่างใจจดจ่อ ซึ่งในระหว่างนั้นหญิงสาวก็ได้ใช้เวลาไปกับการนั่งทำงานเสริมของตัวเองไปด้วย เช่นการตัดคลิปอื่น ๆ รวมไปถึงการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องการไลฟ์สตรีมที่เธอคิดจะทำมัน “อะไรกัน... เราเพิ่งตัดคลิปไปได้แค่ชิ้นเดียวเอง แต่ตอนนี้ใกล้จะหมดวันแล้วเหรอเนี่ย” ระหว่างที่กำลังบันทึกวิดีโอที่เพิ่งตัดเสร็จหมาด ๆ พิมรัมภาก็พูดกับตัวเองอีกครั้ง เมื่อเธอมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วเห็นว่าตอนนี้ดวงตะวันใกล้จะลับขอบฟ้าไปแล้ว “แล้วเย็นวันนี้เราจะกินอะไรดี?” หญิงสาวว่าต่อ ซึ่งเวลาส่วนใหญ่หากพิมรัมภาไม่คิดเรื่องงาน เธอก็จะคิดแต่เรื่องอาหาร เนื่องจากชีวิตของหญิงสาวก็มีอยู่แค่เท่านี้ เพราะพิมรัมภาไม่มีทั้งเพื่อนและไม่มีความรักด้วย มันอาจจะดูแปลกประหลาดไปเสียหน่อยที่มนุษย์อย่างพิมรัมภาจะไม่มีเพื่อนเลย แต่นี่มันคือเรื่องจริง ซึ่งพิมรัมภาก็ไม่มีเพื่อนมาตั้งแต่สมัยที่เธอเข้ามากรุงเทพ เพื่อเรียนมหาลัยแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอเป็นมนุษย์ที่นิสัยไม่ดี พิมรัมภาเชื่อว่าตัวเองไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะถ้าเธอมีนิสัยแบบนั้นจริง ๆ พิมรัมภาก็คงไม่ถูกเพื่อนแย่งกันเพื่อดึงเข้ากลุ่มทำงาน แต่ที่เธอไม่มีเพื่อนมันเป็นเพราะหญิงสาวต้องเอาเวลาส่วนใหญ่ไปทำงานพิเศษเพื่อหาค่าเทอมต่างหาก นั่นจึงทำให้พิมรัมภาไม่ได้เข้าสังคมอย่างที่ควรจะเป็น “ถ้ารู้แบบนี้ตอนที่เรียนมหาลัย เราควรจะหาเพื่อนเอาไว้สักคนก็คงดีสินะ” หญิงสาวเอ่ยกับตัวเอง เมื่อจู่ ๆ พิมรัมภาก็เกิดอยากย้อนเวลากลับไปช่วงที่เธอเรียนมหาลัยเสียอย่างนั้น ทว่าพอเธอคิดได้ว่าหากเธอต้องย้อนเวลากลับไป เพื่อไปทำงานหนักอีกครั้ง แถมเธอยังต้องดิ้นรนเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนอีก พิมรัมภาก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าเธอควรจะย้อนเวลากลับไปดีหรือเปล่า “ไม่เอาดีกว่า... ถ้าย้อนเวลากลับไป แล้วเราไปเจอสภาพแบบนั้นอีก ก็ขออยู่แบบนี้ที่ไม่มีเพื่อนยังดีซะกว่า” พิมรัมภาบอกตัวเองพลางสะบัดหัวไปมาอยู่สองสามหน เพื่อสลัดความคิดเพี้ยน ๆ ออกไป จากนั้นหญิงสาวก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งใจจะดูเวลาว่าตอนนี้มันกี่โมง ซึ่งพอเธอเห็นว่าตอนนี้มันใกล้จะหนึ่งทุ่มแล้ว พิมรัมภาจึงเลือกที่จะลุกขึ้นจากโต๊ะตัดงานของตัวเองเพื่อออกไปหาอะไรกิน ก่อนที่เวลามันจะดึกไปมากกว่านี้ “อยากไปกินหมูกระทะจังแฮะ” หญิงสาวพึมพำ หลังเมนูนี้ได้ผุดขึ้นมาในหัวของเธอแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ซึ่งก็อาจเป็นเพราะว่าพิมรัมภาไม่ได้กินหมูกระทะมาประมาณสองปีแล้ว นับตั้งแต่วันที่กินเลี้ยงสายรหัส “ถ้าออกไปกินคนเดียว มันก็น่าเขินอยู่นะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นเราชวนคุณกันต์ออกไปกินด้วย เขาจะไปไหมนะ?” พิมรัมภาว่าต่อ เมื่อเธอคิดอยากชวนคุณกันต์ไปนั่งกินหมูกระทะด้วยกัน แต่พอหญิงสาวฉุกคิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร พิมรัมภาก็รีบส่ายหน้าพรืดเพื่อสลัดความคิดบ้า ๆ ออกไปจากหัวโดยพลัน “บ้าไปแล้วเหรอเรา ถึงได้คิดจะชวนคนแบบนั้นไปกินหมูกระทะด้วยกันน่ะ” เธอก่นด่าตัวเองไปหนึ่งหน ก่อนจะคว้าเอาโทรศัพท์และกระเป๋าตัง เตรียมออกไปหาอะไรกิน ซึ่งก็คงหนีไม่พ้นก๋วยเตี๋ยวหรือไม่ก็เป็นอาหารตามสั่ง อันที่จริงพิมรัมภาไม่ควรจะไปให้ค่าคุณกันต์ด้วยซ้ำ ต่อให้อีกฝ่ายจะดูเป็นโรคจิตที่ผิดแปลกไม่เหมือนอย่างที่พิมรัมภาเคยเจอมา... ก่อนที่หญิงสาวจะก้าวเท้าเข้ามาสู่วงการนี้ พิมรัมภาเองก็มีการเตรียมใจเอาไว้แล้วว่าเธอจะต้องเจอกับอะไรบ้าง เธอรู้อยู่แล้วว่าความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยในชีวิตเธอมันอาจสูญหายไป พิมรัมภารู้เรื่องนี้ดี แต่เพราะค่าตอบแทนที่แสนหอมหวาน นั่นจึงทำให้พิมรัมภาเลือกที่จะยอมรับความเสี่ยงนั้น ซึ่งพอพิมรัมภาก้าวเท้าเข้ามาในวงการนี้อย่างเต็มตัวแล้ว หญิงสาวก็มีการเขียนคู่มือเอาไว้รับมือกับคนประเภทนี้โดยเฉพาะ พิมรัมภาเคยทำถึงขนาดนั้น แต่เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาตัวเธอเองก็ค่อนข้างระมัดระวังตัวเสมอ มักจะเช็กงานก่อนอัปลงว่ามีการถ่ายติดหน้าของตัวเองหรือเปล่า นั่นจึงทำให้พิมรัมภาไม่ค่อยเจอพวกโรคจิตนัก และเพราะเธอระมัดระวังตัวเองมากเป็นพิเศษนี่แหละ พอต้องมาเผชิญหน้ากับคุณกันต์ พิมรัมภาจึงค่อนข้างจิตตกอยู่ไม่น้อย เพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรับมือกับอีกฝ่ายยังไง “นี่โชคชะตาคิดจะเล่นตลกกับเราอยู่หรือไง?” ทันทีที่ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก พิมรัมภาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกลั้วหัวเราะเบา ๆ อย่างนึกขำในโชคชะตา เมื่อสายตาของเธอดันเหลือบไปเห็นแผ่นหลังกว้างอันแสนคุ้นเคยกำลังยืนอยู่หน้าตึกเพื่อคุยโทรศัพท์พอดี ซึ่งพอพิมรัมภาเห็นแผ่นหลังกว้างนั้น หญิงสาวก็รู้ได้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ในคราวแรกพิมรัมภาคิดที่จะเมินเฉย ปฏิบัติกับอีกฝ่ายเสมือนอากาศ เนื่องจากเธอรู้แล้วว่าเธอไม่ควรจะให้ค่าอีกฝ่าย ทว่าในจังหวะที่พิมรัมภากำลังเดินเลี่ยงไปอีกทาง คุณกันต์ที่เพิ่งคุยโทรศัพท์เสร็จก็หันมาเจอเธอเข้าพอดี “อ้าว เจอกันอีกแล้วนะ” อีกฝ่ายทักเพียงสั้น ๆ “ค่ะ” พิมรัมภาขานรับกลับไปเสียงห้วน ไม่คิดจะต่อบทสนทนาอะไรทั้งนั้น “เป็นอะไรอีกล่ะ เมื่อเช้าผมทำให้คุณไม่พอใจหรือไง” คุณกันต์ถามต่อเสียงงง ตั้งท่าจะไม่ปล่อยให้พิมรัมภาออกไปกินข้าวง่าย ๆ “เปล่านี่คะ ฉันก็เป็นของฉันแบบนี้อยู่แล้วนะ” พิมรัมภาปฏิเสธกลับไปทั้งหน้าซื่อและเป็นฝ่ายถามกลับบ้าง “คุณกันต์ล่ะคะ เป็นอะไรของคุณ” “ผมเหรอ? เปล่านี่... ผมไม่ได้เป็นอะไร” คราวนี้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายปฏิเสธกลับมาบ้าง “ถ้าคุณกันต์ไม่ได้เป็นอะไรงั้นก็ช่วยเมินเฉยต่อฉันทีนะคะ เพราะเราไม่ได้มีอะไรติดค้างกันแล้ว” พิมรัมภาเอ่ย โดยเธอก็ต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะแสดงความเคารพต่ออีกฝ่าย “...” “ขอตัวนะคะ พอดีฉันต้องรีบไปกินข้าว” หญิงสาวพูดต่อพร้อมก้าวเท้าไปข้างหน้าเตรียมจะเดินหนีคุณกันต์ แต่ยังไม่ทันที่พิมรัมภาจะได้เดินไปไหน เสียงของอีกฝ่ายก็ฉุดรั้งเธอไว้อีกครั้ง “ไม่คิดจะชวนผมไปกินข้าวด้วยเหรอ ในเมื่อตอนเช้าผมอุตส่าห์สั่งโจ๊กมาเผื่อคุณเลยนะ” อีกฝ่ายตะโกนไล่หลังมา ทำเอาพิมรัมภาต้องหันขวับกลับไปมองอีกฝ่ายโดยพลัน หมอนี่ช่างกวนประสาทเธอเสียจริง... พิมรัมภานึกในใจ ขณะที่เธอกำลังมองค้อนคุณกันต์อย่างเอาเรื่อง ทว่าพอพิมรัมภาฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ หญิงสาวก็ถือโอกาสนั้นในการพูดชวนอีกฝ่ายกลับไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอก็ตั้งปณิธานเอาไว้แล้วว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับอีกฝ่าย แต่ก็นั่นแหละ... เพราะเรื่องกินมันเป็นเรื่องใหญ่ของพิมรัมภา “ตอนนี้ฉันอยากกินหมูกระทะ เพราะงั้นเราไปกินหมูกระทะด้วยกันไหมล่ะคะ” พิมรัมภาออกปากชวน ซึ่งคำชวนของเธอก็ทำให้คุณกันต์ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความฉงน “ฮะ? นี่คุณพูดจริงหรือพูดเล่น” พอตั้งสติได้ อีกฝ่ายก็รีบเอ่ยถามกันด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ซึ่งท่ามกลางความประหลาดใจที่คุณกันต์มีนั้น พิมรัมภาก็รู้สึกได้เลยว่าอีกฝ่ายกำลังระแวงกัน คล้ายกับไม่ไว้ใจหญิงสาว โดยในวินาทีเดียวกันนั้นพิมรัมภาก็เพิ่งมารู้นี่แหละว่าผู้ชายโรคจิตอย่างคนตรงหน้าจะรู้สึกกลัวคนอื่นเป็นด้วย เพราะขนาดกฎหมายอีกฝ่ายก็ดูจะไม่ได้เคารพเลย แถมยังละเมิดเป็นว่าเล่นอีก “หน้าฉันดูเป็นคนชอบพูดเล่นเหรอคะ?” พิมรัมภาถามกลับไปเสียงนิ่งแล้วอธิบายต่อ เมื่อเธอไม่อยากเสียเวลามายืนพูดอะไรนานกว่านี้ “ฉันอยากกินมันพอดีค่ะ ถ้าฉันไปคนเดียวก็แอบรู้สึกโหว่ง ๆ นิดหน่อย ฉันก็เลยถือโอกาสชวนคุณซะเลย ไหน ๆ คุณก็จะให้ฉันชวนไปกินข้าวอยู่แล้วนี่” “แล้วคุณไม่มีเพื่อนคนอื่นเหรอ ถึงได้มาชวนผมแบบนี้น่ะ” คนตรงหน้าถามกลับมาเหมือนไม่คิดอะไร ทว่าคำถามนั้นกลับทำให้พิมรัมภาถึงกับชะงักไปโดยพลัน เนื่องจากมันช่างจี้ใจดำเธอเหลือเกิน “มัน... เป็นเรื่องของฉันค่ะ ตอนนี้คุณกันต์แค่ตอบฉันมาก็พอว่าจะไปกินด้วยกันไหม” พิมรัมภาว่า พยายามเก็บซ่อนอาการเสียความมั่นใจเอาไว้ภายใต้ท่าทีนิ่งเฉยเหมือนคนที่ไม่ได้รู้สึกอะไร “แล้วไม่กลัวผมเหรอ” อีกฝ่ายยังคงซักไซ้ต่อทั้งคิ้วขมวด “ก็กลัวค่ะ” พิมรัมภายอมรับไปตามตรง “...” “แต่ฉันคิดว่าคุณคงไม่กล้าทำอะไรฉันกลางร้านหมูกระทะหรอก ฉันพูดถูกไหมล่ะคะ” เธอถามกลับไปบ้าง โดยคำถามของเธอก็ทำให้คุณกันต์ระบายยิ้มออกมาจาง ๆ แล้วค่อยว่าต่อ “แล้วพวกเราจะไปกินร้านไหนดีล่ะ เดี๋ยวเอารถผมไปก็แล้วกัน” พิมรัมภารู้ดีว่าสิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ในตอนนี้ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างบ้าบิ่นอยู่พอสมควร แต่จะให้เธอทำยังไงได้ล่ะ เพราะเธอทำมันลงไปแล้ว หลังตกลงกับคุณกันต์แล้วว่าทั้งคู่จะออกไปกินร้านหมูกระทะด้วยกัน เวลาต่อมาพิมรัมภาที่เป็นคนเอ่ยปากชวนจึงต้องรับหน้าที่เปิดหาร้านหมูกระทะที่เข้าตา จนในที่สุดทั้งคู่ก็เข้ามาในร้านหมูกระทะแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในย่านห้วยขวาง “คุณไม่กินอะไรบ้างเหรอคะ” ระหว่างที่กำลังเปิดดูเล่มเมนู พิมรัมภาก็ถามคนตรงหน้าไปด้วย เพื่อที่เธอจะได้สั่งเมนูกับพนักงานได้ถูก “ผมกินได้ทุกอย่าง” อีกฝ่ายตอบกลับไป “ถ้าอย่างนั้น... ขอเซ็ตรวมกลางหนึ่งชุดนะคะ แล้วก็เอาชุดผักเพิ่มอีกหนึ่ง” หญิงสาวหันไปสั่งกับพนักงานต่อ “แล้วรับเป็นน้ำอะไรดีคะ” “เอาน้ำเปล่ากับน้ำอัดลมอย่างละหนึ่งค่ะ” “ได้ค่ะ รอเตาสักครู่นะคะ” เมื่อรับรายการสั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็บอกกับพิมรัมภาด้วยน้ำเสียงสุภาพ ก่อนที่เธอจะเดินจากไปทิ้งให้พิมรัมภากับคุณกันต์นั่งอยู่ด้วยกันเพียงลำพัง โดยตลอดทั้งการรออาหาร มันก็ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นทั้งนั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เนื่องจากตอนนี้ต่อให้พิมรัมภากับคุณกันต์จะรู้จักชื่อกันแล้ว จะรู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างทำงานอยู่ที่ไหนแถมยังเคยนั่งกินข้าวด้วยกันมาแล้ว แต่ยังไงเสียระหว่างทั้งคู่ก็ยังเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันอยู่ดี ทั้งสองเอาแต่นั่งเงียบใส่กัน ไม่มีใครยอมปริปากเริ่มพูดก่อนทั้งนั้น มันเป็นอย่างนั้นอยู่นานพักใหญ่จนกระทั่งพนักงานเดินมาตั้งเตาให้ ทยอยยกอาหารออกมาเสิร์ฟ นาทีนั้นคุณกันต์ถึงค่อยเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับพิมรัมภาก่อน เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าพิมรัมภาพร้อมจะนั่งเงียบตลอดทั้งการทานมื้อเย็นของทั้งคู่จริง ๆ “ผมคิดว่าตัวจริงคุณจะเป็นมิตรมากกว่านี้ซะอีก” ท่ามกลางความเงียบที่เข้าปกคลุมทั้งคู่ คุณกันต์ก็พูดขึ้น โดยนั่นก็ทำให้พิมรัมภาต้องเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายโดยพลัน “แล้วตอนนี้ฉันดูไม่เป็นมิตรเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไป “ก็ดูเป็นมิตรนะ แต่น้อยกว่าที่คิด” “...” “คุณรู้หรือเปล่าว่าคุณกำลังทำให้คนอื่นรู้สึกอึดอัดโดยที่คุณไม่ตั้งใจ” “แล้วจะให้ฉันทำยังไงเหรอคะ นั่งปั้นยิ้มคอยเอาอกเอาใจคุณหรือไง” พิมรัมภาถามกลับไปแล้วว่าต่อ “ถ้าคุณกันต์ต้องการให้ฉันทำแบบนั้น ฉันไม่ทำหรอกนะคะ เพราะมันไม่ได้เงิน” “พูดแบบนี้หมายความว่าผมต้องจ้างคุณใช่ไหม” อีกฝ่ายถามกลับ “ตอนนี้คุณกันต์จ้างไม่ได้หรอกค่ะ เพราะฉันไม่มีอารมณ์” พิมรัมภาเอ่ย จากนั้นเธอก็กลับมาให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้าของตัวเองอีกครั้ง และก็เลือกที่จะเมินเฉยคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันตลอดทั้งการกินมื้ออาหาร บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ก่อนที่จะเดินทางไปกินหมูกระทะมันก็อึดอัดมากอยู่แล้ว ทว่าในช่วงขากลับมันยิ่งอึดอัดมากกว่าเดิมเสียอีก พิมรัมภายังคงนั่งเงียบและคอยหันมองข้างทางเช่นเดิม แต่ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะเธอได้เลี้ยงข้าวคุณกันต์แล้ว ดังนั้นระหว่างทั้งคู่จึงไม่มีอะไรที่ติดค้างกันอีก “เมื่อตอนเย็นก่อนที่จะมาเจอคุณ ผมเพิ่งเห็นว่าคุณลงคลิปของเราไปแล้ว” “ค่ะ แล้วยังไงเหรอคะ” หญิงสาวถามกลับไป “แล้วคุณได้อ่านคอมเมนต์บ้างหรือเปล่า” “...” “คอมเมนต์ส่วนใหญ่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันเลยนะว่าพวกเขารอคอยให้คุณมีพาร์ตเนอร์มานานแล้ว” อีกฝ่ายเอ่ย โดยคำพูดของเจ้าตัวก็ทำให้พิมรัมภาที่ยังคงหันหน้าไปทางอื่นแอบชะงักไปเล็กน้อย เมื่อเธอได้กลิ่นแปลก ๆ จากคำพูดของคุณกันต์ “คุณกันต์ต้องการสื่ออะไรเหรอคะ ฉันว่าคุณรีบเข้าประเด็นเลยดีกว่า อย่ามัวแต่โอ้เอ้ให้เสียเวลา” พิมรัมภาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “โอเค งั้นผมขอถามเลยแล้วกันนะ คุณไม่อยากมีพาร์ตเนอร์บ้างเหรอ?” “ไม่ค่ะ” เธอรีบปฏิเสธกลับไปแบบไม่ต้องเสียเวลาคิดนาน “ทำไมล่ะ” คุณกันต์ถึงกับถามอย่างไม่เข้าใจ “ก็เพราะฉันไม่อยากให้ชีวิตของตัวเองวุ่นวายไงล่ะคะ ถ้าฉันมีพาร์ตเนอร์ฉันก็ต้องจ่ายค่าตัว แบ่งเงินให้เขาสิ ซึ่งฉันไม่ต้องการอย่างนั้น” พิมรัมภาบอกเหตุผลของตัวเองไปตามตรง เธอยอมทำงานนี้เพื่อแลกกับเงินทั้งนั้น และถ้าจะให้พิมรัมภาแบ่งค่าเหนื่อยไปให้ใคร หญิงสาวก็ขอทำคอนเทนต์ลงช่องเพียงลำพังดีกว่า “แล้วถ้าพาร์ตเนอร์ของคุณไม่เอาเงินล่ะ” “ที่คุณกันต์ถามแบบนี้ ก็เพราะคุณกันต์อยากมาเป็นพาร์ตเนอร์ของฉันเหรอคะ” “ใช่” อีกฝ่ายยอมรับทันที “ผมอยากเป็นพาร์ตเนอร์ของคุณ” “แล้วคุณจะได้อะไรล่ะคะ ในเมื่อค่าเหนื่อยก็ไม่ได้แถมยังต้องมาเสียเวลาอีก” เธอถามอย่างไม่เข้าใจ “ก็ได้เอาคุณไง” คุณกันต์ตอบอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งคำพูดนั้นของอีกฝ่ายก็ทำให้พิมรัมภาต้องนิ่งไปอีกครั้ง
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม