CHAPTER 08-01 ความอ่อนโยนของมาเฟียมักแฝงไปด้วยพิษสง
MADMAII TALK
แผลที่ต้นแขนยังคงเจ็บระบมไม่หาย เขานึกบ้าอะไรถึงเขวี้ยงกระถางต้นไม้ใส่ฉัน แถมยังโมโหโวยวายจนน่ารำคาญ จู่ๆพอเห็นหน้าฉันก็เกิดอารมณ์โมโหขึ้นมาดื้อๆเลยหยิบกระถางมาปาใส่สักหน่อยแบบนี้เหรอ? ประสาทเถอะ ลำพังฉันก็ทำงานลำบากจะแย่ทั้งหน้าที่แม่บ้านทั้งหน้าที่ตำรวจ นี่ฉันต้องมารองรับอารมณ์กับคนบ้าบิ่นอย่างเขาอีกเหรอ
นึกแล้วท้อแท้ใจชะมัด ถ้าฉันพอจะรู้หลักฐานอะไรสักนิดก็คงดี ตอนนี้ฉันรู้เพียงว่าเขาทำเรื่องผิดกฎหมายหลายอย่าง ทั้งวางระเบิดงานเลี้ยง ฆ่าลูกน้องตัวเอง ที่ป้าพรบอกว่ายังไม่เจอศพอะไรนั่นน่ะ แล้วก็เคยเห็นน้องชายเขามีอาวุธในครอบครองในวันที่ฉันโดนลักพาตัวมาที่นี่ ซึ่งก็ไม่รู้เลยว่าอาวุธเหล่านั้นถูกกฎหมายบ้างหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เอาเก็บไว้ที่ไหน เขาเก็บหลักฐานได้เนียนกริบแบบที่ฉันเข้าถึงไม่ได้เลยสักอย่าง น่าหงุดหงิดมากเลยนะที่รู้อยู่แก่ใจว่าเขาเลวแต่คนอื่นกลับไม่เห็นอย่างที่ฉันเห็น คนในบ้านยังเคารพนับถืออย่างกับเทวดา
“ไปทำอะไรให้นายท่านโกรธอีกล่ะ”
ป้าพรเดินเข้ามาหาขณะที่ฉันยืนเช็ดโต๊ะกระจกอยู่
“หนูไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย เขาโยนกระถางมาใส่หนูเอง ดีแขนไม่หัก”
“ไม่ใช่ไปพูดอะไรขัดหูเหรอถึงโดนน่ะ”
“คนผีบ้าแบบนั้นเคยมีเหตุผลอะไรด้วยเหรอ ป้าไม่รู้หรอกว่าหนูโดนอะไร
บ้าง”
“ชู่ว ยัยหนูนี่ พูดเบาๆสิเดี๋ยวนายท่านได้ยินหรอก โน่น เดินลงมาโน่นแล้ว”
ฉันหันไปมองผู้ชายร่างสูงโปร่งที่กำลังก้าวเดินมาทางฉันอย่างเจ็บแค้นอยู่ในใจ ผู้ชายคนนี้ไงที่ชอบฉันเจ็บตัวและเจ็บใจอยู่เรื่อย คนที่ข่มขืนฉันทั้งที่ฉันไม่มีสติทำให้ฉันต้องหลอกตัวเองอยู่ทุกวี่วันว่ามันไม่จริง ฉันไม่รู้สึกอะไรด้วยอาจจะไม่ใช่ และเป็นคนที่เพิ่งทำให้ฉันเจ็บตัวไปหมาดๆ แผลที่แขนฉันเจ็บขนาดนี้เจ้าตัวยังไม่คิดจะสนใจ
“เธอน่ะ”
นิ้วเรียวชี้มาที่ฉันพร้อมกับน้ำเสียงทุ้มต่ำแบบที่เขาชอบใช้พูดกับฉัน
“ค่ะ มีอะไรให้รับใช้อีกคะนายท่าน”
“หิวไหม?”
ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง นายภคินเนี่ยนะมาสนใจปากท้องฉันตั้งแต่เมื่อไหร่
กัน
“ไม่หิวค่ะ เพิ่งทานข้าวที่คุณอินทร์ซื้อมาให้เข้าไป”
ใบหน้าคล้ายจะอ่อนโยนเมื่อกี้มันหายไปเป็นปลิดทิ้ง คิ้วเรียวขมวดพร้อมทั้งจ้องเขม็งมาที่ฉัน เดี๋ยวนะ เขาเปลี่ยนอารมณ์ง่ายเกินไปไหม เพียงเสี้ยววินาที
สีหน้าสามารถเปลี่ยนได้ขนาดนี้เลยเหรอ
“หึ ก็ดี แค่จะบอกว่าขนมบนห้องเหลือ ถ้าหิวก็ไปกินของเหลือของฉันซะ แต่เธอได้ข้าวจากไอ้อินทร์แล้วนี่ คงอร่อยน่าดู งั้นฉันจะได้เทขนมให้หมามันกินแทน!!”
เป็นอะไรของเขาอีกล่ะ พูดเสร็จก็เดินปึงปังขึ้นไปข้างบนอีกแล้ว ทิ้งให้ฉันกับป้าพรยืนมองหน้ากันอย่างไม่เข้าใจ
“เจ้านายป้านี่นิสัยเสียจริงๆนะ หนูล่ะยอมความประสาทกลับของเขาเลย”
“แขนเจ็บอยู่ก็ไม่ต้องทำงานหรอก เข้าไปนอนพักในห้องซะสิ!!!”
ขณะที่ฉันกำลังจะนินทาเขากับป้าพร นายภคินก็ตะโกนลงมาบอกให้ฉันพักงาน คราวนี้ฉันงงหนักกว่าเดิมอีก เมื่อกี้เพิ่งโดนด่า นาทีต่อมาเจ้านายเห็นอกเห็นใจให้พักงานซะงั้น เออ เจริญค่ะ เจ้านายบ้านนี้ผีเข้าผีออกจนตามไม่ทันเลย
“ไปพักสิยืนทำอะไรอยู่ยัยหนูนี่ นานทีนายท่านจะอารมณ์ดีแบบนี้นะ”
“แบบนี้คืออารมณ์ดี?”
โอเค ฉันเข้ามาพักที่น้องของตัวเองทันที ทิ้งตัวนอนลงบนฟูกนอนแข็งๆด้วยความเหนื่อยล้า แต่ละวันสำหรับฉันมันผ่านไปยากเย็นซะจริง เสียแรงกายแรงใจไปเท่าไหร่ อยู่มาตั้งหลายวันฉันยังไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่างอยู่ในมือเลย เขาเอาแต่ทำงานในส่วนของการบริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พันล้านอะไรของเขา ไม่ยอมกระดิกตัวไปไหนให้ฉันมีโอกาสได้ค้นเอกสารเหล่านั้นเลย แต่ก็นะ ในห้องเขามีกล้องวงจรปิดด้วย ถึงอยากจะค้นก็คงยาก
ฉันเลยพยายามตีสนิทกับคุณอินทร์ไง เขาดูหลงผู้หญิงง่ายดี อีกอย่างเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็น่าจะรู้เรื่องกันและกันมากพอสมควร เผลอๆอาจจะใช้เขาเป็นเครื่องมือในการส่งมอบหลักฐานความชั่วช้าของนายภคินมาให้ฉันก็ได้นะ ในเมื่อฉันเข้าหาเขาเพื่อเอาหลักฐานตรงๆไม่ได้มันจึงจำเป็นต้องมีตัวช่วย
การจะทำให้พ่อภูมิใจทำไมมันยากจัง ฉันเอาตัวเองเขามาแลกเพื่อคำชมเพียงไม่กี่คำของคนเป็นพ่ออยู่สินะ ใครจะว่ามันไร้สาระก็ช่าง แม้มันจะเป็นคำชมเล็กน้อยในสายตาคนอื่นแต่สำหรับฉันมันคือสิ่งที่ฉันต้องการมาตลอดชีวิตเลยนะ ฉันไม่เคยได้มัน และจะทุ่มสุดตัวเพื่อได้รับคำชมจากพ่อสักครั้ง ดูฉันตอนนี้สิ สภาพน่าเวทนาแค่ไหนก็ยังสู้ขาดใจเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการมา
Rrrrrr
สายตาเหลือบมองจอมือถือที่ขึ้นชื่อว่าพี่กวินโทรมาฉันก็ยิ้มออกทันที โทรมาได้จังหวะตอนฉันกำลังพร่ำเพ้อกับตัวเองอยู่พอดีเลย
“ฮัลโหลค่ะพี่กวิน”
[รับสายไวจัง ว่างเหรอคะ]
“ค่ะ เจ้านายให้พัก พอดีวันนี้มัดไม่สบายนิดหน่อย”
[เจ้านายใจดีจัง]
ได้ยินคำนี้ฉันถึงกับเบะปากคว่ำเป็นรูประฆังเลยล่ะ ถ้าคนอย่างนายภคินใจดี คนทั้งโลกคงไม่มีคนชั่วแล้ว
“ค่ะ ใจดี๊ใจดี”
ฉันยังออเซาะว่าที่แฟนได้ไม่ถึงไหนก็ได้ยินเสียงชุลมุนวุ่นวายจากด้านนอก เสียงผู้คนพูดคุยตะโกน บวกกันเสียงฝีเท้าย่ำถี่ๆเหมือนกับคนวิ่ง เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะเนี่ย สองขาพาตัวเองออกจากห้องมายืนมองเหล่าแม่บ้านพากันวิ่งวุ่นจ้าละหวั่นไปทั่ว
[แล้วกินยารึยัง]
“พี่กวินคะ เดี๋ยวมัดโทรหานะคะ พอดีที่นี่เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นนิดหน่อย”
สัญชาตญาณตำรวจของฉันบ่งบอกว่าตอนนี้ต้องเกิดเรื่องผิดปกติขึ้นแน่ ฉันเก็บมือถือใส่ในกระเป๋าชุดเมดก่อนจะเดินตามป้าแม่บ้านคนหนึ่งที่ฉันไม่รู้จักชื่อขึ้นไปยังชั้นบนของบ้าน หน้าห้องของนายภคินมีบอดี้การ์ดคนสนิทคู่เกย์กันที่ชื่อ
ไม้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก รวมถึงแม่บ้านห้าคนที่เดินเข้าออกห้องของเขาด้วย
สีหน้าไม่ต่างกัน
อย่าบอกนะว่าหมอนั่นตายแล้ว ทุกคนถึงได้ขึ้นมาไว้อาลัยกันแบบนี้น่ะ
“คุณ ไม่ช่วยก็อย่ายืนขวางทางครับ”
คุณบอดี้การ์ดคู่ขาของเขาผลักฉันเบาๆเพื่อให้หลบทางป้าแม่บ้านอีกคนที่เดินถือชามใส่น้ำพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กเข้ามาในห้อง
“เขาเป็นอะไรเหรอคะ”
“นายท่านหน้ามืด เป็นลมล้มตึงไปเมื่อกี้ ผมเพิ่งหามขึ้นนอนบนเตียง คงจะโหมงานหนักจนไม่ได้นอนอีกแล้วล่ะมั้ง”
อ่อ พูดเหมือนเขาเป็นบ่อย น้ำเสียงที่นายไม้บอกฉันมันมีความชินชาและแฝงความเศร้าไปพร้อมกัน ไม่รู้ว่าเจ้านายของเขาเป็นแบบนี้จนชินหรืออุ้มกันขึ้นเตียงคนชินกันแน่นะ
“ไม่พาไปโรงพยาบาลล่ะคะ?”
“อู้ย ไม่ได้เลย นายท่านไม่ชอบโรงพยาบาล”
ก็อยากจะสงสารอยู่หรอกนะที่เป็นแบบนี้ นึกว่าตัวใหญ่อย่างเขาจะไม่เป็นอะไรง่ายๆซะอีก ดันบ้างานจนหน้ามืดเป็นลม ถ้าเขาทำดีกับฉันมากกว่านี้ฉันคงรีบเข้าไปช่วยดูแลแล้วล่ะ แต่ตอนนี้นอกจากความรู้สึกสมน้ำหน้าก็ไม่รู้สึกอะไรนอกเหนือ
จากนี้เลย ในใจสาปแช่งให้ไปสู่สุคติแล้วด้วยซ้ำไป เขาแค่เป็นลมเพราะทำงานหนัก ตัดภาพมาที่ต้นแขนของฉันที่มันช้ำเลือดช้ำหนองเป็นวงใหญ่เหตุเพราะทำงานตามคำสั่งเขาอย่างหนักแล้วยังโดนเขาทำร้ายเอาอีก หึ อยากจะสาปส่งให้นอนหลับยาวสักเจ็ดวันก็ยังดี ฉันจะได้สบายหูขึ้นด้วย
สองขาพาตัวเองกลับมาที่ห้องอีกครั้งด้วยอารมณ์ดีเป็นพิเศษ นอกจากฉันจะไม่ช่วยคนอื่นดูแลเจ้านายหน้าเลือดอย่างเขาแล้วฉันยังเตรียมตัวจะมาอาบน้ำพักผ่อนอีก วันนี้จะไม่ทำงานอะไรแล้วทั้งนั้น เหนื่อย!
21.00 น.
หลังจากนอนคุยโทรศัพท์ออดอ้อนพี่กินมานับสองชั่วโมงหนังตาก็เริ่มจะปิด ฉันวางสายพี่เขาไปแล้วนอนหงายหน้ามองเพดานพลางคิดไปว่าวันนี้เป็นวันที่ฉันสบายใจที่สุดตั้งแต่อยู่บ้านหลังนี้มาเลยก็ว่าได้ ได้นอนเล่น ได้มีเวลาเป็นของตัวเองนานขนาดนี้ ที่จริงฉันก็คิดถึงพ่อกับแม่เหมือนกันนะ ไม่รู้จะทำอะไรกันอยู่ จะคิดถึงฉันบ้างไหม นี่ตั้งแต่ฉันติดต่อพี่กวินแม่ก็ไม่โทรมาหาฉันอีกเลย อาจเพราะพี่กวินคงบอกแม่ฉันไปแล้วล่ะว่าฉันสบายดีแม่เลยไม่ห่วงอะไรมาก แล้วพ่อล่ะ คงจะด่าฉันอยู่ทุกเช้าเย็นสินะ คิดว่าการที่ฉันหนีออกมาเป็นเรื่องน่าอายอีกตามเคย
แกร๊ก
จู่ๆประตูห้องที่ฉันล็อคก็เปิดออก ฉันรีบดีดตัวลุกขึ้นแล้วหันไปมอง
“หิวข้าวรึยัง?”
ร่างสูงโปร่งเดินโอนเอนเข้ามาหาด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก ในมือมีแก้วกาแฟพร้อมผ้าเช็ดหน้า อ่อ ที่ข้อมือเขาคล้องถุงอะไรสักอย่างติดมือมาด้วย แต่นั่นไม่น่าสงสัยเท่าการที่เขาเข้ามาในห้องฉันทำไม
“เดินจะไม่ไหวอยู่แล้วนายจะตื่นมาทำไม”
“เธออย่าเพิ่งกวนประสาทได้ไหม วันนี้ฉันเหนื่อยมาก”
นายภคินยกเท้าดันตัวฉันให้กลับไปนั่งบนเตียงอีกครั้งก่อนที่เขาจะวางของทุกอย่างแล้วทรุดตัวนั่งข้างฉัน ผ้าเช็ดหน้าถูกจุ่มลงไปในแก้วกาแฟที่มีแต่น้ำเปล่า เขาบีบผ้าให้หมาดแล้วนำมาประคบที่แผลของฉัน ความรู้สึกอุ่นร้อนผ่านผ้าทำให้ฉันเพิ่งเข้าใจว่านายภคินไปกดน้ำร้อนจากในครัวมาเพื่อจะนำผ้ามาชุบแล้วประคบร้อนให้ฉันยังแผลที่ต้นแขนซึ่งมันเกิดจากความเลือดร้อนของเขาฉันถึงเจ็บตัว
“มาทำให้ฉันทำไม”
“เพิ่งนึกได้ว่าทำกับเธอแรงเกินไปหน่อย”
น้ำเสียงแผ่วเบาของเขาที่พูดเหมือนคนไม่มีแรงทำให้ฉันเหลือบตาจ้องมองใบหน้าหล่อเหลานี้อย่างตั้งใจ มานึกได้อะไรตอนเวลาผ่านไปจะข้ามวันอยู่แล้วไม่ทราบ นานจนฉันหายเจ็บแล้วแผลน่ะ แต่ก็ขอบคุณนะที่ยังมีสำนึกจะรับผิดชอบอะไรอยู่บ้าง ยังอุตส่าห์มานั่งประคบแผลให้ฉัน ทว่าเพียงเสี้ยววินาทีฉันเห็นเขาผงกหัวเหมือนจะวูบแต่ก็ลืมตาขึ้นมาได้อีกเหมือนเดิม เขาเวียนชุบน้ำอุ่นมาประคบให้ฉันอยู่อย่างนั้นจนน้ำในแก้วเย็นหมดแล้วจึงหยุด
“นี่ นายป่วยบ่อยเหรอ”
“ฉันทำงานหนัก พักผ่อนน้อย ความดันเลยไม่คงที่น่ะ เป็นลมบ่อย”
“แล้วทำไมต้องทำงานหนักขนาดนั้น เป็นผู้บริหารไม่ใช่เหรอ?”
นี่คงเป็นครั้งแรกเลยมั้งที่เราพูดกันดีๆโดยไม่มีคำว่าเจ้านายและแม่บ้านมาเกี่ยวข้อง เขาไม่วางมาดดุดันอะไรใส่ และฉันไม่ได้เรียกเขาว่านายท่านเหมือนทุกครั้ง
“เพราะป๊าทำไว้ดีมากไง เขาคิดค้นเริ่มธุรกิจขึ้นมาอีกหลายอย่าง คนเก่งอย่างป๊าหยิบจับอะไรก็แทบจะไม่เคยเจ๊งเลย รุ่งทั้งนั้น ฉันเป็นลูก ฉันก็ต้องยื่นมือเข้าไปรับช่วงต่ออย่างช่วยไม่ได้ ตอนนี้น้องชายฉันมันก็พยายามจะเข้ามาช่วยดูหลายอย่าง ถ้ามันคล่องงานกว่านี้ฉันคงสบายขึ้นมาหน่อย ฉันอายุจะขึ้นเลขสามสิบ
เองแต่ทำงานหนักมาตลอด ร่างกายฉันตอนนี้เหมือนคนสูงอายุเลย”
“นายทำงานครั้งแรกเมื่อไหร่กัน”
“ครั้งแรกเหรอ? อืม ตั้งแต่จำความได้มั้ง เริ่มจากการช่วยป๊าทำงานก่อนเลย ไหนจะต้องเรียนฟันดาบตั้งแต่ยังยกดาบไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ตามวิธีมาเฟียล่ะนะ”
ฉันถึงกับหันขวับไปมองหน้าเขาอีกครั้งอย่างไม่เชื่อหู นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาหลุดพูดอะไรแบบนี้ออกมา
“นายเป็นมาเฟียด้วยเหรอ? แล้วมาเฟียนี่ทำอะไร เคยฆ่าคนไหม มีเรื่องชั่วๆที่เคยทำไหม?”
ความสงสัยทำให้ฉันถามเขาออกไปอย่างลืมตัว เพราะความอยากรู้ข้อมูลและหลักฐานของฉันอาจทำให้เขาจับพิรุธฉันได้ ทว่าเขาไม่ตอบแต่ลุกขึ้นจูงมือฉันเดินไปที่หน้าประตู
“ไปกินข้าวกันเถอะ ตอนฉันไปซื้อยาให้เธอฉันแวะซื้อมาให้”
“นายเนี่ยนะซื้อข้าวซื้อยามาให้ฉัน?”
“อือ ยาในถุงมียาแก้ปวด ยาแก้ไข้ ยาคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็พวกอุปกรณ์ทำแผล แต่เท่าที่ดูแผลเธอไม่ได้เป็นอะไรมากน่าจะแค่ช้ำในฉันเลยไม่ได้ทำแผลให้นะ”
ไม่ค่อยชินกับนายภคินเวอร์ชั่นเป็นคนดีเลย น้ำเสียงการพูด สายตา การกระทำ แตกต่างไปจากเดิมจนฉันขนลุก
“ทำไมวันนี้ทำดีกับฉันจัง ไม่ต้องฝืนหรอกนะถ้าไม่อยากทำ”
“ฉันจะดีบ้างไม่ได้หรือไง ห้ะ หรือในสายตาเธอไอ้เสี่ยแฟนเธอมันดีได้แค่คนเดียว ไม่สิ ไอ้อินทร์อีกคนใช่ไหมที่ดีกับเธอ หึ”
เออ มันต้องแบบนี้สิ นายภคินที่ฉันรู้จักต้องเจ้าอารมณ์และปากหมาแบบนี้ต่างหาก เขายังคงจูงมือฉันเดินออกจากห้องมุ่งหน้าไปยังห้องครัว ทว่าจู่ๆร่างสูงของเขาก็หยุดเดิน มือซ้ายยกขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง ฉันเลยอดถามไม่ได้
“นายไหวไหมเนี่ย ฉันเห็นจะวูบหลายครั้งแล้วนะ”
“ไม่ค่อยไหวว่ะ คงใกล้ตายจริงๆแล้วล่ะมั้ง”
“เพ้อเจ้อ แค่เป็นลมจะตายอะไร มานี่ฉันเดี๋ยวช่วยประคอง”
“ฉันเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย หมอบอกอีกสามเดือนฉันจะต้องตายต่างหากล่ะ อ่อ เธออย่าบอกใครนะ ไม่มีใครรู้มาก่อน ฉันไม่อยากให้ใครห่วง แต่เห็นเธอไม่ห่วงอะไรฉันอยู่แล้วเลยเลือกจะบอกเธอ”
มะเร็งระยะสุดท้ายเลยเหรอ...
“ไปหลอกเด็กโน่นไป สภาพนายมันไม่ใช่คนเป็นมะเร็ง ผมก็ยังอยู่ครบ คีโม
ก็ไม่เห็นไปทำ”
“คนเรามันเหมือนกันเหรอ บางคนใช้ชีวิตปกติจู่ๆไปตรวจหมอบอกเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย อีกวันตายเลยก็มีเยอะแยะไป ฉันที่ดูภายนอกแข็งแรงแต่ร่างกายฉันมันไม่ไหวแล้วนะ ถ้าไม่เชื่อก็ตามใจ ใครจะเอาความเป็นความตายมาล้อเล่นกัน”