CHAPTER 06 ผู้ชายรายล้อม II
PAKIN TALK
มัวแต่เอาเวลาไปเสียกับยัยนมแบนนั่นซะเยอะ วันนี้เลยต้องโหมงานหนักกว่าเดิมอีกเพื่อให้งานเสร็จทันกำหนด แต่หลังจากผมเครียดจากการทำงานกลับมีเรื่องให้ทำอย่างนึกสนุกได้ทุกวัน งานอดิเรกของผมแทบทุกค่ำคืนคือการได้กวนใจยัยเด็กนั่นก่อนนอน จะว่าไงดีล่ะ เธอกำลังอยู่ในห้วงความคิดที่ว่าจะยอมผมดีๆหรือจะดื้อให้ผมยอมปล่อยเธอเอง แล้วคนอย่างผมต้องยอมผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนั้นเหรอ? บ้านนี้ใครๆก็ต้องยอมผมกันทั้งนั้น เธอมาใหม่อาจยังไม่เคยรู้ว่าผมทำอะไรได้บ้าง เคยทำอะไรมาบ้าง เลวร้ายแค่ไหนใครๆก็รู้ ยกเว้นคนนอกที่มองผมเป็นนักธุรกิจไฟแรง เจ้าของโชว์รูมรถหรูที่ดาราดังๆมาใช้บริการมากมาย เจ้าของโรงแรมและโครงการบ้านจัดสรรต่างๆล้วนแต่เป็นของตระกูลผม
ก็แค่สิ่งที่บรรพบุรุษสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นเกราะกำบังความลับต่างๆก็เท่านั้นแหละ ไม่ว่าจะค้าอาวุธเถื่อน ฟอกเงิน บ่อนพนัน และความชั่วช้าอีกยิบย่อยที่มันตกทอดมาถึงรุ่นผมโดยไม่ต้องร้องขอ อยากจะหนีก็หนีไม่ได้ มีแต่ต้องทำให้มันดีมากขึ้นไปกว่าเมื่อก่อน ตระกูลผมเป็นมาเฟีย ผมก็เลยเป็นมาเฟียตั้งแต่เกิด ทุกสิ่งทุกอย่างปูทางให้ผมเดินแบบนี้ และผมก็มีความสุขกับเส้นทางที่ผมเดิน
ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
เคาะประตูสองครั้งนี่ไม่มีใครหรอก มีแต่ไอ้ไม้เท่านั้นที่จะมาหาผมด้วยเรื่องงาน
“นายท่านครับ คุณอินทร์มาขอพบครับ”
“อื้อ เดี๋ยวลงไป บอกให้เตรียมอาหารไว้เลยนะกูหิวแล้ว เตรียมเผื่อไอ้อินทร์
มันด้วย”
“ครับนายท่าน”
อินทร์เป็นลูกพี่ลูกน้องผมเอง มันเป็นลูกชายคนเดียวของอาผมที่ตายไปแล้ว พ่อผมเลยเป็นคนส่งเสียเลี้ยงดูมันแทนจนวันนี้มันสนใจที่จะบริหารงานจึงมาเรียนรู้เอากับผม แต่ไอ้เวรนี่มันเป็นคนประเภทที่ต้องหาอะไรมาล่อถึงจะยอมทำงาน ก็คือเป็นคนเหลาะแหละคนหนึ่งที่อยากรวย อยากลองทำงานแต่ไม่อยากเหนื่อย ภาระเลยตกมาเป็นของผมที่ต้องคอยดูแลสอนงานมัน ถ้าพูดกันตามตรงตระกูลเราในฐานะที่เป็นรุ่นหลานของปู่ผู้ซึ่งสร้างทุกอย่างให้รุ่งเรืองที่สุดแก่ตระกูลจนตกมาถึงรุ่นผม ก็จะมีแค่ผม ไอ้ภภีมน้องชายผม แล้วก็ไอ้อินทร์ลูกพี่ลูกน้องผม โดยผมเป็นคนทำงานหนักที่สุดด้วยเหตุผลที่ว่าผมเกิดก่อนเป็นพี่ต้องดูแลคนรุ่นหลัง
ฝ่าเท้าย่ำก้าวเดินลงไปยังชั้นล่างของบ้านอย่างหนักแน่น สายตากวาดมองผู้มาเยือนไปทั่วบ้านทว่าหูกลับได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นเคยของไอ้อินทร์ดังมาจากที่ไหนสักที่
“ไอ้อินทร์อยู่ไหนวะไอ้ไม้ แล้วมันคุยกับใครอยู่”
“เมื่อกี้ยังนั่งรอตรงนี้อยู่เลยครับ เสียงน่าจะมาจากหน้าบ้าน”
ด้วยความสงสัยผมจึงเดินตามเสียงไปทันทีอย่างไม่รีรอ ที่สนามหญ้าหน้าบ้านมีลูกพี่ลูกน้องของผมกำลังช่วยยัยแม่บ้านคนใหม่พรวนดินอย่างขยันขันแข็งด้วยเสียงหัวเราะและใบหน้ายิ้มแย้มจนน่าหมั่นไส้ ยัยนั่นก็เหมือนกัน จะมานั่งยิ้มเยาะอะไรนักหนา แค่พรวนดินแล้วเอาต้นดอกไม้ลงดินมันจะมีความสุขอะไรขนาดนั้นวะ เห็นแล้วรำคาญตา!!!
“ไอ้อินทร์ ทำอะไรของมึง”
“อ้าวเฮีย ผมช่วยเธอทำงานอยู่ ผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนี้ให้มาตากแดดนานๆจะหมดสวยเอา เฮียปล่อยให้ทำงานหนักได้ไง เธอไม่ใช่คนสวนนะเฮีย ดูสิ หน้าเลอะดินหมดแล้วเนี่ย”
มันเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อเช็ดคราบดินที่เลอะตรงหน้าด้วยความอ้อร้อ แล้ว
ยัยนั่นก็นั่งนิ่งให้มันจับหน้าอยู่ได้ แรดฉิบ!!
“ทำงานแค่นี้ไม่ตายหรอก ยัยนี่น่ะอึดอย่างกับควาย มึงน่ะมานี่ กูให้คนเตรียมอาหารเที่ยงให้แล้ว”
“เดี๋ยวก่อนเฮีย ผมขอช่วยเธอให้เสร็จก่อน”
เส้นเลือดตรงขมับเต้นตุบๆ ไอ้อินทร์ ไอ้เวร ทีให้ทำงานแค่อ่านเอกสารมันบ่นเช้าบ่นเย็น แล้วพอเจอผู้หญิงเข้าหน่อยเอาการเอางานขึ้นมาเลยนะมึง ทำงานกลางแดดไม่บ่นสักคำ แม่งเอ๊ย!
ฟิ้ววว ตุบ
ผมคว้ากระถางต้นไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าขว้างออกไปยังที่ที่สองคนนั้นนั่งอยู่โดยไม่สนใจว่าจะโดนใครหรือไม่
“โอ๊ยยย!”
วินาทีต่อมาผมเห็นยัยนั่นล้มลงนั่งราบกับพื้นหญ้าอย่างเสียการทรงตัวเมื่อกระถางที่ผมขว้างออกไปดันไปกระแทกเข้าที่ต้นแขนของเธอเต็มๆ เศษดินที่อยู่ในกระถางเล็กนั่นกระเด็นเลอะเต็มตัวไปหมด เธอยกมืออีกข้างมากุมต้นแขนตัวเองข้างที่โดนกระถางต้นไม้ด้วยสีหน้าเจ็บปวด หึ สะใจโว้ย!
และด้วยความเห็นผู้หญิงมาเหนือสิ่งใดของไอ้อินทร์ มันรีบกระโจนเข้าไปโอบยัยนั่นพร้อมกับถามสารพัดคำถามด้วยความเป็นห่วง ผมเห็นแล้วยิ่งหงุดหงิดจึงเดินตรงไปกระชากคอเสื้อมันให้ลุกขึ้นยืน
“กูหิวข้าว”
ผมพูดแค่นั้นแล้วลากมันเข้าบ้านทันที ขืนปล่อยให้นั่งออเซาะกันต่อไปวันนี้ผมคงไม่มีเพื่อนกินข้าว ที่จริงผมก็กินข้าวคนเดียวมานานมากแล้วนะ มีน้องชายคนเดียวเมื่อก่อนก็อยู่บ้านบ้างไม่อยู่บ้านบ้าง ตอนนี้มันมีผัวแล้วก็ไปอยู่ด้วยกัน ผมเลยต้องอยู่ที่นี่คนเดียวอย่างเลี่ยงไม่ได้ วันนี้วันดีมีไออินทร์มาหาถึงที่บ้าน เรื่องอะไรผมจะยอมให้ยัยนมแบนนั่นมาแย่งเพื่อนกินข้าวของผมไป
เหอะ ยัยนั่นก็มารยาเนอะ โดนแค่นั้นทำร้องโอดโอยอย่างกับจะตาย เธอคิดจะอ่อยไอ้อินทร์สิไม่ว่า ถ้าอ่อยไอ้อินทร์สำเร็จนี่เธอตกถังทองเลยนะ ไอ้เวรนี่มันสายเปย์อยู่แล้ว ออดอ้อนเข้าหน่อยก็ประเคนให้หมดแหละ แต่ตราบใดที่มีผมอยู่เธอจะไม่มีวันได้สมหวังกับไอ้อินทร์แน่
“เฮียทำแบบนั้นกับเธอได้ไง รุนแรงไปแล้วนะ”
มันพูดใส่ผมขณะทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ของโต๊ะอาหาร
“แล้วไง”
“เอ้า ถ้าเธอแขนหักจะทำยังไง”
“ก็ช่าง”
“ผมรู้ว่าปกติเฮียก็เป็นคนไร้เหตุผลอยู่แล้ว แต่แบบนี้เกินไปหน่อย สงสารเธอ หรือเฮียทำกับเธอแบบนี้ปกติ?”
“จะพูดถึงยัยนั่นทำไม แค่นั้นไม่ตายหรอก เจ็บก็รักษาแค่นั้นเอง เลิกพูดสักทีกูจะกินข้าว”
น่ารำคาญ!! รู้ว่าไอ้อินทร์มันก็หลงผู้หญิงไปเรื่อยอยู่แล้ว แต่ทำไมต้องเป็น
ยัยนมแบนนั่นด้วยวะ สาวๆไฮโซในฮาเล็มมันเยอะแยะไม่เห็นมีความจำเป็นสักนิดที่จะต้องเสียเวลามาสนใจยัยนั่น แต่ช่างมันเถอะ ยังไงผมก็ไม่ยอมให้ยัยนมแบนสมหวังที่คิดจะจับไอ้อินทร์หรอก
บรรยากาศในโต๊ะอาหารดำเนินไปเกือบจะปกติ เราพูดคุยกันเรื่องงานซะส่วนใหญ่และผมได้ผลตอบรับจากการศึกษาดูงานของมันค่อนข้างน่าพอใจ เพิ่งรู้ว่าที่มันหายหัวไปนานๆเพราะไปแอบทำงานเป็นบริกรอยู่ที่โรงแรมด้วยความอยากจะเข้าอกเข้าใจคนที่ตัดสินใจเลือกพักที่โรงแรมของเรา ได้รู้ถึงขั้นตอนการทำงานของพนักงาน และสังคมการทำงานในตำแหน่งเล็กๆที่มันจะต่างจากสังคมของผู้บริหารมาก
ถ้ามันมีพรสวรรค์ในการจัดการโรงแรม ผมก็จะลองให้มันเข้ามาทำดู
“เฮีย แต่ผมก็อยากลองทำงานที่บ่อนเฮียดูนะ”
“ไม่ต้อง ส่วนนั้นให้ไอ้ตี๋มันดูแลคนเดียวก็พอ มึงทำส่วนที่มันไม่เสี่ยงคุกเถอะ นอกนั้นพวกกูจัดการเอง”
“อืม งั้นผมคิดว่าผมชอบโรงแรมนะเฮีย เวลาผมพาสาวมาอึ๊บจะได้ไม่ต้องเช่าม่านรูด เปิดห้องที่โรงแรมได้เลย”
“ไอ้อินทร์ ไอ้เวรนี่ มึงช่วยคิดอะไรให้มันนอกเหนือจากเรื่องผู้หญิง เรื่องใต้สะดือได้ไหมวะ”
ทีแรกนึกว่าที่มันทำโรงแรมเพราะชอบระบบงาน ที่ไหนได้ ไม่พ้นเรื่องผู้หญิง
“แหม ใครจะไปเหมือนเฮียล่ะ ด้านชาไปซะทุกเรื่อง เมียก็ไม่มี ไม่เคยสนใจอะไรนอกจากงานกับเงิน ผมเนี่ยขาดไม่ได้หรอกนะสาวๆน่ะ เว้นไปสักอาทิตย์นึงเหมือน
จะลงแดงตายเลยถ้าไม่ได้ปลดปล่อยมันออกมาล่ะนะ”
“กูก็ไม่ได้ของขาด อีกอย่าง เรื่องแบบนั้นมันแค่สนุกครั้งคราวไม่ได้ยั่งยืนเหมือนงานนี่หว่า มีก็ได้ไม่มีก็ได้”
“แล้วแต่เฮียเถอะ เดี๋ยวผมมานะ นึกไปนึกมาเป็นห่วงเธอว่ะไม่รู้แขนเป็นไงบ้าง”
พูดยังไม่ทันจบประโยคมันก็ลุกพรวดแล้วรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปเลย ทิ้งให้ผมนั่งถอนหายใจกับอาหารบนโต๊ะที่ยังกินไม่อิ่มดี ผมจึงจัดการกินข้าวต่อไปจนเสร็จแล้วกำลังจะลุกเดินออกไปดูข้างนอกสักหน่อยว่าสองคนนั้นทำอะไรกันอยู่ ไอ้อินทร์ออกไปดูยัยนั่นถึงตับไตไส้ม้ามหรือยังทำไมถึงได้ช้าและไม่เข้ามาหาผมสักที
[พาไปโรงพยาบาลดีไหมคะคุณอินทร์ ป้าล่ะเป็นห่วง วันนี้ยัยหนูยังไม่ได้กินข้าวเลย]
เสียงป้าพรแว่วมาจากด้านนอกของบ้านสร้างความสงสัยให้ผมเป็นอย่างมากว่าใครเป็นอะไรทำไมต้องไปโรงพยาบาล สองเท้ารีบก้าวออกไปให้ไวขึ้นจนพบเข้ากับร่างเล็กนอนหมดสติอยู่บนตักป้าพร โดยมีไอ้อินทร์กำลังถือยาดมส่ายไปมาอยู่ใกล้ๆจมูกของเธอ
“เป็นอะไร”
ผมเดินกอดอกเข้าไปถามสั้นๆ
“เป็นลมว่ะเฮีย ป้าพรบอกวันนี้ยังไม่ได้กินข้าวเลย เฮียใช้งานเธอหนักไปหรือเปล่าเนี่ย ดูสิเป็นลมเลยอะ น่าสงสาร”
“กูสั่งให้อดข้าวเอง”
“เอ้า ทำไมอะ เกิดไรขึ้นเหรอ?”
ไอ้อินทร์หันมาถามผมแต่ผมยกไหล่ให้มันเป็นคำตอบแล้วเดินเข้ามาในบ้านทันทีก่อนจะมุ่งหน้าขึ้นไปยังห้องนอนเพื่อทำงานที่เหลือต่อ ส่วนยัยนั่นคงไม่เป็นไรมาก ผมไม่สนใจให้เสียเวลาหรอก มีคนรุมล้อมเต็มไปหมดแล้วนี่ ตอนนี้ก็มีไอ้อินทร์คอยดูแล เดี๋ยวพอมีแรงหน่อยก็ฟื้นขึ้นมาโทรหาแฟนแล้วออดอ้อนกันยกใหญ่แน่ๆ สำออยชะมัดแค่นี้ก็เป็นลม ผมเนี่ยเคยโดนยิงเข้าที่ไหล่จนเส้นเอ็นเกือบขาดยังขับรถพาตัวไปโรงพยาบาลได้เลย แม้จะมีบอดี้การ์ดอย่างไอ้ไม้ติดตามตัวตลอดผมยังให้มันไปจัดการส่วนอื่นแล้วผมก็จัดการตัวผมเองได้ เปรียบเทียบกับยัยนั่นสิ แค่เป็นลมแค่นั้นมีคนห้อมล้อมรอบตัวเลย สำออย!!
ผมเดินขึ้นมาทำงานโดยละทิ้งเรื่องไร้สาระของคนอื่นออกไปและตั้งหน้าตั้งตาอ่านรายงานต่างๆในแฟ้ม เวลาล่วงเลยผ่านไปราวสองชั่วโมงที่ผมจดจ่ออยู่กับตัวหนังสือ ทว่าจังหวะที่ผมเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วแหงนหน้าขึ้นมองเพดาน เปลือกตาปิดลงเพื่อจะพักสายตาสักพัก ดันมีเสียงคนเปิดประตูห้องนอนพรวดเข้ามาอย่างไร้มารยาท
“เฮีย แวะเอาขนมมาให้”
“ไอ้ตี๋”
น่าแปลกใจที่คนคนนั้นเป็นน้องชายหัวแก้วหัวแหวนของผม ที่ผมเรียกมันว่าตี๋ไม่ใช่ว่ามันชื่อตี๋แต่เรียกด้วยศักดิ์ที่หมายถึงน้อง อย่างที่มันเรียกผมว่าเฮียนั่นแหละ วันนี้ไม่รู้นึกครึ้มอะไรถึงมาหาผมได้
“ผมเจอไอ้อินทร์อยู่ข้างล่าง เฮียไม่ลงไปหามันหน่อยเหรอ”
ภภีมเดินถือขนมที่มันซื้อมาวางไว้บนโต๊ะทำงานของผมแล้วหยิบแฟ้มที่ผมกำลังอ่านขึ้นมาอ่านเอง
“แล้วไอ้อินทร์มันทำไรอยู่”
“เห็นนั่งคุยกับแม่บ้านคนใหม่อยู่นะ”
หึ คิดไว้แล้วเชียวว่าคงออเซาะกันไม่เลิก!! สรุปมันมาหาผมเพื่อคุยเรื่องงานหรือมาหาใครกันแน่วะ พอติดหญิงงานการก็ไม่สนใจ มันเป็นแบบนี้ตลอดนั่นแหละ
“แล้วมึงมาคนเดียวเหรอ ไอ้เมฆไปไหน?”
“ทำงานสิ นี่ผมเพิ่งเข้าไปตรวจงานโครงการรีสอร์ทใหม่ที่กาญจนบุรีให้เฮียมา อาจเสร็จช้ากว่ากำหนดหน่อยนะเฮีย สามสี่วันที่ผ่านมาฝนตกหนัก นี่ขนาดไม่ใช่หน้าฝนนะ ยังเสือกเจอฝนหลงฤดู”
ต้องให้ได้อย่างนี้สิวะน้องชายผม จากเด็กไม่เอาห่าเหวอะไรสักอย่าง วันๆเอาแต่หาเรื่องชาวบ้านไปทั่ว ตั้งแต่มันมีผัวมันก็เอาการเอางานขึ้นมาเยอะมากจนผมอดภูมิใจกับมันไม่ได้ ตอนนี้เรียกได้ว่าเป็นนักธุรกิจเต็มตัวแล้ว แม้มันยังไม่วางมือจากการปล่อยเงินกู้และดูแลบ่อนของมันก็เถอะ
“อือ ช่วงนี้กูเอาเอกสารพวกนี้มาจัดการเลยไม่มีเวลาลงไปดูหน้างาน ฝากมึงด้วย”
พอดีผมไม่ใช่คนประเภทชอบชมคนอื่นน่ะ ต่อให้ตอนนี้ในใจผมชื่นชมน้อง
ชายตัวเองมากแค่ไหนแต่ไม่มีหลุดปากออกไปให้มันได้ยินแน่ ขืนมันรู้มันจะเหลิง ยิ่งเหลิงมากเข้าจะมีผลให้ทำงานพลาด
“นี่เฮียอุดอู้อยู่ในห้องนี้เพื่อทำงานตลอดเลยเหรอ แบบนี้หัวมันไม่โล่งหรอก เดินเล่น ดูทีวี จิบชาให้ผ่อนคลายสักหน่อยเถอะ ไปๆ เฮียไปเล่นเกมเป็นเพื่อนผมสักตา”
ไม่ว่าเปล่า มันกระชากแขนผมให้ลุกก่อนจะผลักให้ผมเดินจนตัวพ้นจากประตูห้องจนได้ โดยปกติใครมาวอแวกับผมขนาดนี้มันโดนผมโบกกบาลไปแล้ว แต่นี่น้องผมไง ผมรักมันยิ่งกว่าอะไรเพราะเลี้ยงมันเองกับมือตั้งแต่มันหย่านมม้า มันเลยเป็นคนเดียวมั้งที่ผมยอมให้วุ่นวายกับผมได้ มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำให้ผมละทิ้งงานในมือแล้วหันมาสนใจ
ชั้นล่างของบ้านเงียบสงัด ขณะที่ผมรอไอ้ตี๋มันเสียบจอยเกมเข้ากับจอทีวีสายตาพลันมองหาไอ้อินทร์ไปด้วย
“มึงเจอไอ้อินทร์อยู่ไหนไอ้ตี๋”
“ตอนมาเห็นยืนคุยกับแม่บ้านอยู่หน้าห้องครัว”
สองเท้ารีบก้าวไปยังห้องครัวแทบจะไม่ประวิงเวลาคิดใดๆ ประหนึ่งร่างกายไวกว่าสมอง เมื่อก้าวเข้าใกล้บริเวณห้องครัวมากขึ้นก็ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะของคนสองคนชัดมากขึ้นเช่นกัน ไอ้เสียงที่ได้ยินไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใครกับใคร เหอะ มีความสุขกันมากเลยสิ!
[บอกแล้วว่าเป็ดร้านนี้อร่อย ไว้วันหลังจะซื้อเข้ามาให้อีกนะ]
หน็อย ไอ้อินทร์ มึงเอาเวลาสองชั่วโมงที่ไม่ขึ้นไปคุยงานกับกูไปซื้อเป็ดมาให้ยัยนี่เหรอเนี่ย ปัญญาอ่านฉิบ! อาหารที่ผมกินเหลือเมื่อเช้าก็ให้เธอกินเข้าไปสิ ไม่ตายหรอก
ผมยืนกอดอกพิงกรอบประตูจ้องมองไปที่เธอซึ่งเธอนั่งหันหน้ามาทางนี้พอดี วินาทีต่อมาตาสวยปราดมองผมแล้วยักคิ้วข้างเดียวให้อย่างกวนประสาท แต่นั่นก็แค่เสี้ยววินาที เพราะเมื่อเธอละสายตาจากผมก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าไอ้อินทร์แล้วพูดคุยกันต่อ ยียวนนักนะยัยนี่ ฝ่าเท้าผมอยากจะเข้าไปทักทายกกหูเธอชะมัด
“อะแฮ่ม ไอ้อินทร์ มึงไม่คุยงานต่อแล้วเหรอ”
“ค่อยคุยวันหลังก็ได้เฮีย”
เมื่อไอ้อินทร์ตอบมาแบบนี้ ยัยนั่นก็เหลือบตามองผมแล้วยักคิ้วข้างเดียวให้ผมอีกครั้ง
“ไอ้ตี๋มันกลับบ้านทั้งที มึงไม่ไปคุยกับมันหน่อยเหรอ”
“ไม่อะ ผมนัดกินเหล้ากับมันบ่อย เจอกันบ่อยแล้ว”
คราวนี้เธอช้อนตามองมาที่ผมก่อนจะเบะปากใส่ ดูเถอะ ดูความกวนบาทา
เถอะ แบบนี้เธอกำลังเยาะเย้ยผมอยู่ใช่ไหมที่ไอ้อินทร์เอาแต่สนใจเธอไม่สนใจผม แต่ขอโทษที ผมไม่ใช่คนที่เธอจะมาเล่นด้วยได้
ผลัวะ ตุ้บ
“โอ๊ย!”
ด้วยความหมั่นไส้จนทนไม่ไหวผมจึงก้าวเท้ายาวๆเข้าไปยืนข้างเธอก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบเธอเข้าที่เอวทำให้เธอตกเก้าอี้ไปอีกฝั่งอย่างไม่ทันตั้งตัว มือเล็กจับที่เอวของตัวเองผมจึงได้เห็นว่าต้นแขนของเธอบวมช้ำและมีแผล สืบเนื่องมาจากการที่ผมโยนกระถางต้นไม้ใส่เธอแน่ๆ
เชี่ย โดนแค่นั้นทำไมมันช้ำเลือดช้ำหนองขนาดนั้นวะ
“แขนเธอ...”
จู่ๆผมดันหลุดพูดออกไป
“เออ ดูเฮียทำเธอสิ แขนแทบหัก”
ไอ้อินทร์ปรี่เข้ามาประคองยัยนั่นให้ลุกขึ้นนั่งอีกครั้งและหันมาพูดกับผมถึงเรื่องแขน
“สมน้ำหน้า”
ผมพูดทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนจะเดินกลับมาเล่นเกมกับน้องชายด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อย ซึ่งก็จับใจความของความรู้สึกไม่ได้ว่าผมหงุดหงิดบ้าบออะไรกันแน่ รู้แค่ว่าอารมณ์ไม่ดีขึ้นมากะทันหัน
การเล่นเกมดำเนินไปอย่างดุเดือด ด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ของผมและในเกมผมกำลังจะแพ้ ไม่ได้ๆ กูเป็นพี่มึง กูจะแพ้ไม่ได้!!
“เตะ! เอ้อ! เฮีย ตายแน่มึง เอ้อ!! ชก ชก!!”
เสียงเชียร์เกมของไอ้ตี๋ยิ่งทำให้ผมกดดัน ผมพยายามจะพลิกเกมยังไงก็ไม่เป็นผลสักที ความหงุดหงิดในใจยิ่งมากขึ้นไปอีก
ขณะนั้นเองที่หางตาเห็นความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างจึงหันไปมอง เห็นไอ้อินทร์กับยัยนั่นกำลังเดินออกไปที่หน้าบ้าน ไม่นานผมได้ยินเสียงรถบิ๊กไบค์ของมันสตาร์ทและขับเคลื่อนออกไป และเพราะผมสนใจแต่เสียงรถมันจนเกมตรงหน้าผมแพ้ไม่เป็นท่า
แม่ง นี่ไอ้อินทร์จะพายัยนั่นไปไหนปะวะ
“กูไม่เล่นละ มึงเล่นไปคนเดียวเลยไอ้ตี๋”
ความสงสัยที่มันต้องการคำตอบเดี๋ยวนี้ทำให้ผมรีบเดินไปดูที่หน้าบ้าน สายตากวาดมองไปทั่วแล้วผมก็ไม่เจอเธอจริงๆ นี่มันพากันไปไหนวะ กล้าดียังไงถึงอู้งานไปเที่ยวกันน่ะ
“นายท่านหาอะไรเหรอคะ ให้ป้าช่วยหาไหม?”
“ป้าพร ไอ้อินทร์กลับไปแล้วเหรอ?”
“ค่ะ เพิ่งขับรถออกไปเมื่อกี้”
“แล้วยัยเด็กนั่นอยู่ไหน แรดตามผู้ชายไปแล้วใช่ไหม!”
ป้าพรขมวดคิ้วนึกอยู่นานจนผมได้คำตอบในใจว่ามันต้องเป็นอย่างที่ผมคิดแน่
“เด็กนั่นหมายถึงยัยหนูแม่บ้านที่เพิ่งเข้ามาใช่ไหมคะ”
ผมพยักหน้าตอบส่งๆแล้วกำลังจะหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน กลับเห็นยัยนั่นกำลังเอาขนมไปเสิร์ฟให้ไอ้ตี๋ที่โซฟา
“ทำไมไม่รีบบอกผมว่าเธอไม่ได้ไปกับไอ้อินทร์!”
อดไม่ได้ที่จะหันไปดุป้าพรที่มัวแต่ยืนนึกอะไรอ้ำๆอึ้งๆอยู่ได้จนผมคิดไปไกลถึงดาวอังคาร ก็คิดว่าหนีตามผู้ชายไปซะแล้ว
ผมยืนจ้องเธอเหมือนคนไร้สติที่ไม่รู้เลยว่าเธอเคลื่อนไหวมายืนตรงหน้าผมตั้งแต่เมื่อไหร่
“มองฉันทำไมคะ”
น้ำเสียงของเธอดูเรียบนิ่งเหมือนเดิมแต่แฝงความโกรธงอนจนผมจับพิรุธได้
“เธอ ยัยนมแบน เอาจานขึ้นไปใส่ขนมที่ไอ้ตี๋ซื้อมาให้หน่อย แล้วก็ขอกาแฟดำด้วย เดี๋ยวนี้เลยนะ”
“ค่ะ”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นกลับมาก่อนจะสะบัดหน้าหนีแล้วเดินไป ผมจึงเดินขึ้นไปรอเธอที่ห้องด้วยอารมณ์ที่ดีขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ครั้งนี้ผมจะไม่ให้เธอเสิร์ฟที่โต๊ะ แต่จะให้มาเสิร์ฟที่เตียงแทน
สิบนาทีผ่านไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามา”
คนตัวเล็กเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดในมือด้วยอาการสั่นเทา
“ให้วางไว้ไหนคะ”
“ฉันนั่งอยู่บนเตียง ก็เอามาให้ที่เตียงสิ แล้วมือทำไมสั่นขนาดนั้น”
“ถือของนานไม่ได้ค่ะ พอดีเจ็บแขน แขนบวมช้ำและเจ็บมากจนขยับตัวได้ไม่คล่องแคล่ว พอดีเมื่อตอนสายๆมีกระถางต้นไม้มาจากไหนไม่รู้ค่ะ เหมือนว่ามีใครตั้งใจขว้างมันใส่ฉัน คุณพอจะเห็นคนทำไหมคะ ถ้าเห็นฝากบอกเขาด้วยนะคะว่าฉันเจ็บมาก เจ็บจนสมใจคนทำแล้วล่ะค่ะ!!”
กึก
สิ่งที่เธอพูดทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย เหอะ มาถึงก็ประชดประชันผมเลยเหรอ รู้แล้วว่าเจ็บ แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจปาให้โดนนี่หว่า แค่ปาออกไปข้างหน้าแล้วมันโดนเอง
“เอาถาดวางไว้นี่ แล้วเอาจานไปใส่ขนมบนโต๊ะมาให้หน่อย”
“ฉันบอกว่าฉันเจ็บขนาดนี้ยังจะใช้ต่ออีกเหรอคะ”
“เร็วๆฉันหิว”
เธอถอนหายใจแล้วหยิบจานเปล่าที่ใส่ในถาดไปจัดการแกะขนมของไอ้ตี๋จนเสร็จตามคำสั่ง
“นี่ค่ะ”
“เปลี่ยนใจละ เอาทุกอย่างไปวางไว้ที่โต๊ะซะ”
ผมยังคงนั่งไขว่ห้างอยู่ที่ปลายเตียงมองเธอเคลื่อนไหวไปมาไม่วางตา จนกระทั่งเธอนำทุกอย่างไปวางบนโต๊ะแล้วหันกลับมาหาผมอีกครั้ง
“ถ้าไม่มีอะไรฉันขอตัวนะคะ นายท่าน!”
เธอกัดฟันพูดแล้วทำทีท่าว่าจะเดินออกไป แต่ผมรีบเข้าไปคว้าตัวเธอมากอดไว้ได้ก่อน เธอจึงเสียหลักนั่งตักผม แล้วเธอก็ยังเป็นเธอที่ไม่เคยจะยอมผมเลย ร่างเล็กดิ้นขลุกขลักภายในอ้อมกอด
“อยู่นิ่งๆ”
“จะทำอะไรฉันอีก อะไรนายก็ได้ไปหมดแล้วเลิกทำแบบนี้กับฉันสักที”
ผมถกแขนเสื้อของเธอขึ้นเพื่อจะดูแผล ก่อนที่ผมจะเป่าลมจากปากแผ่วเบาใส่แผลของเธอเหมือนที่เมื่อตอนเด็กป๊ากับม้าทำกับผมเวลาผมเล่นซนจนเจ็บตัว เธอนิ่งงันกับการกระทำของผมราวกับตกตะลึงอยู่ในภวังค์ หน้าสวยเหลียวมาจ้องผมและผมก็จ้องเธอกลับเช่นกันทั้งที่ยังคงเป่ารดแผลของเธออยู่ ใบหน้าเราห่างกันเพียงไม่กี่เซ็นเท่านั้น
ผมก้มลงจูบที่แผลของเธอเบาๆ ทว่าเมื่อเรียวปากสัมผัสเข้ากับเนื้อเนียนที่บวมช้ำเธอถึงกับนิ่วหน้า
“เจ็บมากเหรอ”
“อืม เจ็บ”
เธอตอบผมเสียงสั่น ปากเล็กเม้มตึงเหมือนว่าเธอเกร็งกับการกระทำของผม ทันใดนั้นผมจึงอ้าปากงับแผลของเธอเบาๆให้เธออ้าปากร้องแล้วผมจึงโฉบหน้าเข้าไปประกบจูบพร้อมกับสอดลิ้นอุ่นเข้าไปในโพรงปากของเธอทันที โดยผมหมุนตัวผลักเธอนอนราบบนเตียงแล้วผมคร่อมอยู่ด้านบน มือข้างหนึ่งจับต้นแขนที่เป็นแผลของเธอไว้หลวมๆ แล้วหากว่าเธอไม่ยอมผมเมื่อไหร่ผมจะบีบมันให้เธอเจ็บจนทนไม่ไหวเลย
วันนี้ก็แค่อยากจูบ ไม่ได้คิดจะทำอะไรมากกว่านี้สักหน่อย แล้วแค่จูบถ้าเธอยอมผมไม่ได้ก็อย่าหวังเลยว่าจะเหลือแขนไว้ใช้งาน ผมจะบีบเฟ้นแผลที่ต้นแขนจนมันใช้งานไม่ได้เป็นอาทิตย์เลย
ฉะนั้น ยอมผมซะ ยอมทุกอย่างที่ผมต้องการจะดีมาก ไม่ว่ายังไงเธอไม่มีวันชนะผมหรอก
END TALK