รถยนต์คันหรูค่อย ๆ วิ่งเข้ามาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ของตระกูลพงษ์สวัสดิ์วัชรเสวี ที่เป็นอาคารแบบโรมันร่วมสมัย ซึ่งถูกปลูกสร้างบนพื้นที่กว่าสามสิบไร่ อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่อยู่ในใจกลางเมือง
ตระกูลพงษ์สวัสดิ์วัชรเสวี มีความเฟื่องฟูและร่ำรวยมานาน ด้วยการทำธุรกิจสีขาวแต่ส่วนใหญ่ที่เห็นก็น่าจะเป็นสีเทาเสียมากกว่า แล้วที่ยืนยงและสามารถอยู่ท้าทายสายตา ของผู้คนได้จนถึงทุกวันนี้ เนื่องมาจากพวกเขามีเส้นสายอยู่มาก มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะถูกโค่นล้มให้จมลงง่ายๆ
เมื่อล้อกลมสีดำจอดสนิท ประตูรถที่ถูกปิดไว้ได้ถูกเปิดออกให้ ด้วยฝีมือของคนคุ้มกันที่อยู่ในชุดสูทสีเดียวกัน และทันทีที่ปลายเท้าของชารัณหย่อนลงถึงพื้น เสียงของลูกน้องที่ยืนอยู่ก็ดังขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
“ยินดีต้อนรับกลับครับเจ้านาย”
ชารัณเพียงแค่พยักหน้าให้เบาๆ ก่อนที่เขาจะเบี่ยงหน้าหันไปมองอีกคน ที่กำลังลงจากรถยนต์ตามกันออกมา
ขวัญยิหวาในสภาพที่สวมเพียงเสื้อยืดตัวโคล่ง ซึ่งคลุมชุดกระโปรงของเธอที่ใส่เอาไว้จนเกือบจะถึงหัวเข่า และใบหน้าของหญิงสาวก็ยังเปรอะเปื้อนไปด้วยเครื่องสำอางที่ผสมกับคราบของน้ำตา
แล้วเมื่อลูกน้องทุกคนเห็นเจ้านายพาผู้หญิงกลับเข้ามาในบ้าน ก็รู้สึกตื่นตะลึงไปตามๆ กัน
“จากนี้ไป ทุกคนจะต้องให้ความเคารพคุณขวัญยิหวา ในฐานะนายหญิงของบ้าน ถ้าฉันไม่อนุญาตใครก็ห้ามเข้าใกล้ หรือแม้แต่จะพูดคุยด้วยก็ไม่ได้ทั้งนั้น เข้าใจตรงกันนะ”
“ครับ...รับทราบ”
น้ำเสียงห้วนดังที่ฟังแล้วเปี่ยมไปด้วยพลังของชารัณ ทำเอาขวัญยิหวาที่เดินตามหลังยังอดรู้สึกหมั่นไส้เขาไม่ได้
นอกจากจะไม่อนุญาตให้ใครเข้าใกล้ แล้วยังไม่ให้ใครพูดกับเธอด้วยเนี่ยนะ...
ชารัณทำราวกับว่าขวัญยิหวาได้กลายเป็นนางห้าม แล้วเธอก็ปล่อยให้มันเป็นไปตามนั้น เพราะหญิงสาวได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ขัดขืนชารัณจนถึงวินาทีสุดท้าย มันจึงทำให้เธอรู้สึกเจ็บระบมไปทั่วทั้งร่างกาย
และในเวลานี้ขวัญยิหวา ก็ยังไม่มีเรี่ยวแรงกระทั่งจะก้าวเท้าขึ้นบนบันได เพื่อตามหลังอีกคนที่เดินนำหน้าเธอขึ้นไปก่อน
“อ๊ะ!ระวังครับ ”
ขวัญยิหวาหันขวับกลับไปมองลูกน้องของชารัณที่เดินตามหลัง และกำลังทำท่าพุ่งตัวเข้ามาหา แต่ก็ไม่ทันคนเป็นเจ้านายที่หันมาคว้าร่างของเธอเอาไว้ได้ แล้วช้อนอุ้มหญิงสาวขึ้นไปชั้นบนด้วยกันในตอนนั้นเลย
“ขอบคุณ...โอ๊ย!”
ขวัญยิหวาเอ่ยคำว่าขอบคุณอย่างเสียไม่ได้ ในตอนที่ถูกอีกคนโยนร่างของเธอลงมาบนโซฟาตัวหนานุ่ม แต่ถึงมันจะนุ่มมากแค่ไหน ก็ยังทำให้เธอรู้สึกเจ็บระบมไปทั้งตัวอยู่ดี เมื่อชารัณเห็นอย่างนั้นเขาจึงหันไปหาลูกน้อง ที่เดินตามหลังกันเข้ามาในห้องพร้อมกับออกคำสั่ง
“ธันวา”
“ครับเจ้านาย”
“แกไปบอกแม่บ้านให้เตรียมยาแก้อักเสบช้ำ และคลายกล้ามเนื้อมาให้ฉันที แล้วถ้าฉันไม่ได้เรียกแกอย่าให้ใครเข้ามาขัดจังหวะ ในตอนที่ฉันกำลังทำธุระอยู่”
“รับทราบครับ”
ธันวาหมุนตัวเดินออกจากห้องตามคำสั่งของคนเป็นนาย ภายใต้ใบหน้าที่ดูเรียบเฉยนั่น ไม่ได้มีแววดุดันเหมือนกับคนเป็นนาย แต่ถ้าลองสังเกตุดูให้ดี ก็น่าจะให้ความรู้สึกที่ไม่ต่างกัน
ก่อนออกจากห้องลูกน้องของชารัณ ยังหันมายิ้มให้กับหญิงสาว ก่อนที่เขาจะเดินออกไป
ตอนนี้สถานภาพของชารัณมันทำให้ขวัญยิหวาเข้าใจดีว่า ผู้ชายตรงหน้าไม่ใช่บุคคลที่มีฐานะธรรมดาทั่วไป แต่ชายหนุ่มเป็นถึงมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพล ที่ใครๆ หลายคนต่างก็รู้จักกันดีแต่ยกเว้นเธอคนเดียวนี่แหละ
นึกย้อนกลับไปเมื่อหลายชั่วโมงก่อน ในตอนที่เขารู้ว่า…ขวัญยิหวายังไม่เคยถูกใครทะลวงฟันเข้าไปด้านใน ข้อตกลงระหว่างกันจึงได้เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น เพียงแต่มันยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ชารัณจึงเสนอให้ขวัญยิหวามาตกลงทำสัญญากันที่บ้านของเขาอีกที
เมื่อประตูห้องนั่งเล่นถูกปิดลง และคงเหลือแค่ชารัณกับขวัญยิหวาที่นั่งประจันหน้ากันบนโซฟาคนละฝั่ง ด้วยความตั้งใจของชายหนุ่ม เพราะเขาไม่อยากจะอยู่ใกล้เธอมากนัก เนื่องจากกลัวห้ามใจตัวเองไม่ได้ ก็ใครใช้ให้สวยไปทั้งเนื้อทั้งตัวถึงขนาดนั้นกันวะ
สายตาของชารัณทำให้ขวัญยิหวารู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ตอนที่ได้เห็นสีหน้าและท่าทางของเขาแสดงความหงุดหงิดออกมา เพราะเมื่อชารัณได้เห็นกับตา ว่าขวัญยิหวายังไม่เคยผ่านมือใครมาจริงๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
หงุดหงิด...ที่หญิงสาวคิดทำงานแบบนี้ เพื่อแลกกับเงินที่ได้แค่ไม่กี่บาท
งุ่นง่าน...นั่นเป็นเพราะขวัญยิหวา ดันเกิดมาเปลี่ยนใจเอาในนาทีสุดท้าย เลยทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ค้าง แล้วต้องมาคอยยับยั้งชั่งใจตัวเอง
ทั้งที่คนอย่างชารันมีแต่ผู้หญิงมากมายที่มาคอยแบให้ ไม่ใช่ขัดขืนฝืนใจจนถึงขั้นวิ่งไปเกาะหน้าต่าง แล้วเอามาขู่เขาว่าหากยังไม่ยอมหยุดคุกคาม เธอกระโดดจากหน้าต่างลงไปทันที ไม่พูดเปล่าเจ้าตัวยังทำท่าจะกระโดดลงไปทั้งที่ยังใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ทำเอาเขาต้องรีบวิ่งไปคว้าร่างบางนั่นเอาไว้ กว่าจะลากเข้ามาตกลงกันในห้องได้ ก็เล่นเอาหอบไปตามๆ กัน