8
“ฉันบอกแกแล้วว่าให้แกบอกไปเลยว่าแกมีแฟนแล้ว แกก็ไม่เชื่อกัน”
“แล้วแกไม่คิดว่าหมอนั่นจะไม่พยายามหาตัวตนของแฟนฉันหรือไง หมอนั่นจะไม่อยากรู้เหรอว่าแฟนฉันเป็นใคร แล้วถ้าเกิดวันหนึ่งเจมส์รู้ความจริงว่าแฟนฉันไม่มีตัวตนจริง ๆ มันจะไม่แย่เอาเหรอ?”
ตอนบ่ายของวัน ในช่วงที่ร้านเบเกอรีของฟลินเริ่มมีลูกค้าบางตาลงแล้ว ลูกชายเพียงคนเดียวของเจ้าของร้านเบเกอรีชื่อดังก็พูดคุยกับเพื่อนสนิทด้วยท่าทีจริงจัง เมื่อวันนี้ไอด้าที่ผ่านมาทำธุระแถวนี้พอดีได้แวะเข้ามาหากัน
“แกก็อย่าทำให้หมอนั่นจับได้สิ”
“พูดน่ะพูดได้ แต่แกคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายหรือไง”
“…”
“ถ้าเจมส์สมิธลงทุนจ้างนักสืบขึ้นมา ยังไงหมอนั่นก็ต้องรู้อยู่ดีว่าแฟนฉันไม่มีอยู่จริง เพราะขนาดตอนนี้มันก็ยังรู้เลยว่าร้านฉันตั้งอยู่ที่ไหนในเมืองนี้ ทั้งที่ฉันแทบไม่เล่าเรื่องส่วนตัวให้เพื่อนในมหาลัยฟังด้วยซ้ำ” พูดจบ ฟลินก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรงตามประสาคนที่กำลังคิดไม่ตก ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ เขาถึงจะสามารถสลัดเจมส์ สมิธหลุดสักที
“งั้นแกลาออกจากที่นั่นดีไหม” ไอด้าเสนอความคิด
“ไม่มีทาง… มหาลัยนั้นมันไม่ได้เข้าง่าย ๆ นะ แกเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่เหรอว่าฉันต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหน” ฟลินเอ่ยกลับไปแบบที่เขาไม่จำเป็นต้องเสียเวลาคิดด้วยซ้ำ เนื่องจากการลาออกจากมหาลัยดังมันไม่เคยอยู่ในความคิดของเขามาก่อน
มันเป็นเรื่องอะไรที่เขาจะต้องเป็นฝ่ายลาออกด้วย ในเมื่อฟลินก็อยู่ของเขาดี ๆ มีแต่เจมส์ สมิธนั่นแหละที่มายุ่งวุ่นวายกับเขา
“งั้นแกลองส่งเรื่องไปทางมหาลัยดีไหม เขาไม่มีมาตรการหรือกฎที่ทำให้นักศึกษาแต่ละบ้านของตัวเองอยู่ร่วมกันอย่างสันติเลยหรือไง?” ไอด้าถามกลับมา
“ถ้าส่งเรื่องให้ทางมหาลัย เขาก็จะต้องสอบสวนแล้วก็ต้องเชิญผู้ปกครองทั้งสองฝั่งมารับรู้เรื่องนี้ด้วย ซึ่งฉันไม่ต้องการให้พ่อแม่ของฉันมารู้เรื่องนี้” ช่วงท้ายประโยค ฟลินมีการผ่อนเสียงลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเขาไม่อยากให้พ่อแม่ที่กำลังยืนทำความสะอาดอุปกรณ์ทำขนมอยู่ในครัวได้ยินบทสนทนาระหว่างเขากับไอด้า
“แล้วแกเคยได้ยินหรือเปล่าว่าบางครั้งชีวิตคนเราก็ต้องเลือก”
“…”
“และตอนนี้ฉันก็กำลังจะบอกแกว่าตอนนี้แกกำลังเป็นแบบนั้นอยู่ บางทีมันอาจถึงเวลาที่แกต้องเลือกแล้ว หรือถ้าแกไม่คิดจะเลือกแกก็ต้องทนอยู่แบบนี้ตลอดไปนั่นแหละ เพราะว่าแกไม่ได้มีตัวเลือกมากมายขนาดนั้น”
หลังจากที่ไอด้าบอกกันอย่างนั้น ฟลินก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกเสียจากการรับฟังเธออย่างเงียบ ๆ เมื่อสิ่งที่เธอพูดมามันถูกต้องแล้ว ถ้าเขาไม่เลือก เขาก็ต้องทนแบบนี้ตลอดไปจนกว่าจะเรียนจบ ซึ่งมันก็เหลือเวลาอีกตั้งสองปีกว่า
“คุณแม่คะ หนูแค่แวะมาคุยแป๊บเดียวเองค่ะ เดี๋ยวก็กลับแล้ว” เสียงของไอด้าดังขึ้นอีกหน เมื่อแม่ของฟลินได้นำเอาเครื่องดื่มและขนมปังที่ยังไม่ได้วางขายอย่างเป็นทางการมาให้กัน
“อันนี้เป็นขนมปังสูตรใหม่ของทางร้านเรา ไอด้าลองชิมหน่อยสิลูก” แม่ของฟลินบอกไอด้าอย่างใจดี
“อ๋อ ได้เลยค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูจะลองชิมแล้วบอกฟีดแบคกลับไปนะคะ” เธอเอ่ยกลับไป เนื่องจากนี่มันไม่ใช่ครั้งแรกที่แม่ของฟลินนำเอาขนมปังสูตรใหม่ของทางร้านมาให้เพื่อนเขาชิม เพราะไอด้าเป็นคนชอบกิน และเธอก็มักจะให้คำแนะนำที่ดีเสมอ
“ว่าแต่ไอด้าจะอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันหรือเปล่า” แม่ถามต่อ
“ไม่ค่ะ เดี๋ยวพอหนูคุยธุระกับฟลินเสร็จ หนูก็จะกลับแล้ว”
หลังจากนั้นแม่กับไอด้าก็พูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อย ก่อนที่แม่จะเดินจากไป แล้วทิ้งให้ฟลินกับเพื่อนของเขาได้อยู่ด้วยกันเพียงลำพังอีกครั้ง
“ยังไงถ้าแกคิดจะทำอะไรก็คิดดี ๆ ก่อนนะ หรือถ้าแกยังไม่ชัวร์ จะมาปรึกษาฉันก่อนก็ได้” ไอด้าที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มในตอนแรกหันกลับมาพูดกับฟลินด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อืม ฉันขอเวลาคิดก่อนแล้วกันว่าจะเอายังไงต่อ” ฟลินตอบเพื่อนกลับไป จากนั้นเขาก็ทำการเดินไปส่งเพื่อนสนิทที่รถของเธอ เมื่อมันถึงเวลาที่ไอด้าจะต้องเดินทางกลับแล้ว
โชคดีที่วันนี้เจมส์ไม่ได้บุกมาหากันที่ร้านเหมือนอย่างที่ฟลินแอบกังวล นั่นจึงทำให้เขาพอจะได้มีเวลาพักหายใจหายคออยู่บ้างอย่างน้อยก็หนึ่งวัน แต่ในวันพรุ่งนี้ฟลินก็ไม่แน่ใจนักว่ามันจะเป็นวันที่ดีอีกหนึ่งวันของเขารึเปล่า หรือว่ามันจะเป็นวันที่แย่ ๆ ของเขา เนื่องจากเขาเชื่อว่าถ้าเกิดเจมส์แวะมาที่นี่อีกครั้ง เจ้าตัวคงจะไม่ทำแค่การทักทายกันเหมือนอย่างเคยแน่
“ว่าแล้วลืมอะไรที่แท้ก็ลืมเอาขยะไปทิ้งนี่เอง” ราวกับเหตุการณ์ถูกฉายวนซ้ำ ๆ ซาก ๆ เมื่อในจังหวะที่ฟลินทิ้งร่างลงบนเตียงอย่างคนเหนื่อยล้า ทันใดนั้นเขาก็เพิ่งฉุกคิดอะไรบางอย่างได้
“ขี้เกียจจังโว๊ย” เขาพูดกับตัวเองทั้งที่ยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น เมื่อความขี้เกียจเริ่มเข้าครอบงำเขาแล้ว ใจจริงฟลินอยากจะนอนหลับทั้งสภาพแบบนี้ แต่เพราะตอนนี้เขายังไม่อาบน้ำ นั่นจึงทำให้เขาต้องฝืนใจลุกขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งใจจะทำอะไรทุกอย่างให้เรียบร้อย เพื่อที่เขาจะได้พักผ่อนได้อย่างสบายใจ
เมื่อฝืนสังขารงัดร่างตัวเองขึ้นมาจากเตียงนอนได้สำเร็จ นาทีต่อมาฟลินก็เดินไปหยิบเอาถุงขยะที่มีการคัดแยกเรียบร้อยแล้วรัดปากถุงให้แน่น ตั้งใจจะเดินเอาออกไปทิ้งข้างหน้าบ้านทั้งสภาพงัวเงียพร้อมที่จะทิ้งตัวนอนได้ทุกเมื่อ
ฟลินเดินหิ้วถุงขยะไปทิ้งที่หน้าร้านของตัวเองอย่างไม่คิดอะไร ทว่าในจังหวะที่เขาผลักประตูออกไปจากร้าน ฝีเท้าของฟลินก็ต้องชะงักลงโดยพลัน เมื่อสายตาของเขาได้เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างเข้าพอดี
และบางอย่างที่ว่านั้นก็คือรถคันหนึ่งที่ฟลินจำได้แม่นว่ามันคือรถของเจมส์ เพราะวันนั้นอีกฝ่ายก็ขับรถคันนี้บุกมาหาเขาที่ร้าน
แชะ! นั่นเป็นเสียงชัตเตอร์รวมไปถึงแสงแฟลชที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน หลังฟลินหันไปมองรถคันนั้นพอดี
ซึ่งพอเขาเห็นอย่างนั้น สิ่งแรกที่ฟลินทำหลังจากที่ตั้งสติได้ก็คือการเดินดุ่ม ๆ พร้อมถือถุงขยะเข้าไปหาเจมส์ที่น่าจะอยู่ในรถทั้งอารมณ์โมโหอย่างไม่รีรอ เมื่อการที่อีกฝ่ายมาแอบถ่ายรูปคนอื่นสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้ มันไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว
ปึก!
“รีบลงจากรถ แล้วมาคุยกันให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้” ฟลินที่มีอาการเหน็ดเหนื่อยจากงานกิจการของครอบครัวเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
ปึก!
“ก็บอกให้ลงมาไงวะ” เขาทุบกระจกเรียกเจมส์อีกหน โดยคราวนี้ฟลินก็มีการพูดขู่อีกฝ่ายด้วย “ถ้านายไม่ยอมลงมาคุยกันให้รู้เรื่อง ฉันจะเอาถุงขยะที่ฉันกำลังถืออยู่เทใส่รถนายแน่ เพราะตอนนี้ฉันกำลังโมโหมาก”
หลังจากที่ฟลินบอกแบบนั้น ทุกอย่างก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนที่ฟลินจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวภายในตัวรถ
และก็อาจเพราะอีกฝ่ายเกรงว่าฟลินจะทำตามที่พูดจริง ๆ หรือไม่ก็คงเป็นเพราะเจ้าตัวจัดการรูปภาพที่ถ่ายเอาไว้เมื่อครู่นี้เสร็จแล้วแหละมั้ง นั่นจึงทำให้ในนาทีต่อมาเจมส์ถึงยอมเปิดประตูรถลงมาคุยกับฟลินทั้งใบหน้ายียวน
“เมื่อกี้นายถ่ายทำไม” พอทั้งสองได้เผชิญหน้ากันแล้ว ฟลินก็เป็นฝ่ายถามขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างแข็งกระด้าง แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขากำลังไม่สบอารมณ์มากแค่ไหน
“นายนอนอยู่ที่นี่เหรอ?” แทนที่เจมส์จะตอบคำถามกัน อีกฝ่ายกลับถามกลับมาเสียอย่างนั้น คล้ายกับว่าเจ้าตัวไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำถามของฟลินนัก
“ฉันนอนที่ไหนมันก็เรื่องของฉัน แต่เมื่อกี้นายถ่ายทำไม” คราวนี้ฟลินถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงที่ดังกว่าเดิมเล็กน้อย และเพราะเมืองนี้ยามกลางคืนมันค่อนข้างเงียบสงบมากเป็นพิเศษ ดังนั้นมันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอยู่แล้ว หากสมมติว่ามันจะมีเหตุการณ์ที่เพื่อนบ้านแหวกผ้าม่านออกมาส่องดูพฤติกรรมของวัยรุ่นสองคนที่กำลังยืนส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายไม่เกรงใจใครที่ข้างถนน
“ก็แค่เก็บข้อมูล”
“เก็บข้อมูล? ข้อมูลอะไรแล้วทำไมนายต้องเก็บด้วย นี่นายรู้ตัวหรือเปล่าว่าตอนนี้นายกำลังละเมิดความเป็นส่วนตัวของฉันนะ” ฟลินเอ่ย นาทีเดียวกันสายตาของเขาก็ยังคงจ้องมองเจมส์อย่างเอาเรื่อง
“ฉันก็แค่อยากรู้เรื่องราวส่วนตัวของนายมากกว่านี้ แล้วนายจะโมโหทำไมกัน อย่าโอเวอร์ไปหน่อยเลย”
“ถามจริง ๆ เถอะ จนถึงตอนนี้นายยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าทำไมฉันถึงไม่พอใจ”
เพียงแค่เห็นว่าคนตรงหน้าพูดจาไม่รู้เรื่องและยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าทำไมฟลินถึงโมโหแบบนี้ นั่นก็ทำให้คนที่ตั้งใจจะรีบทิ้งขยะแล้วรีบกลับขึ้นไปพักผ่อนบนห้องนอน ถึงกับต้องยกมือขึ้นเสยผมตัวเองพอลวก ๆ เพราะฟลินหวังจะให้ตัวเองใจเย็นลงมากกว่านี้ ไม่อย่างนั้นคืนนี้ฟลินที่คนรอบตัวต่างบอกว่าเขาเป็นคนใจเย็นคงจะได้ชกหน้าคนแน่
“เอาล่ะ… ฟังให้ดีนะเจมส์”
“…”
“ช่วยเลิกยุ่งกับฉันสักที ฉันบอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้คิดอะไรกับนายมากไปกว่าเพื่อนในชั้นปีเดียวกัน ฉันเป็นเกย์แต่มันไม่ได้หมายความว่าฉันชอบทุกคนนะ” ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วที่ฟลินต้องพูดคุยกับเจมส์ สมิธแบบจริงจังเช่นนี้ ทั้งที่เขาก็รู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่รับฟังกันแน่
“นายก็แค่เล่นตัว” นั่นเป็นคำพูดเพียงสั้น ๆ ที่อีกฝ่ายตอบกลับมา
“โธ่เว้ย! ทำไมถึงได้โง่ดักดานแบบนี้วะ ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้ชอบ หน้าตาแกน่าเกลียดอย่างกับหมู สันดานก็ไม่ดีแล้วทำไมถึงมั่นใจจังวะว่าคนอื่นเขาจะชอบแกน่ะ” ฟลินเริ่มพ่นคำหยาบคายใส่คนตรงหน้าทั้งอารมณ์เดือดดาล
“ระวังปากด้วย เมื่อกี้แกพูดว่าไงนะ ฮะ!?” เจมส์ตอบโต้กลับมาพร้อมใช้มือทั้งสองข้างผลักอกของฟลินอย่างเอาเรื่อง ทำเอาคนที่ตัวเล็กกว่าเจมส์มีอาการเสียหลักเซถอยหลังไปสองสามก้าว
“เมื่อกี้แกว่าฉันหน้าตาเหมือนหมูงั้นเหรอ”
“ปล่อยนะ!” ฟลินตะโกนเสียงดัง เมื่อในวินาทีต่อมาเขาถูกเจมส์ สมิธคว้าคอเสื้อกันเหมือนอันธพาลตามข้างทางแถมยังตั้งท่าจะง้างหมัดใส่กันด้วย ทว่ายังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ทำแบบนั้น พระเอกขี่ม้าขาวก็ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างได้จังหวะ เมื่อมันเป็นนาทีเดียวกันที่เจ้าวินซ์บินมาช่วยเขา
แม้ตัวเจ้าวินซ์จะมีขนาดที่ค่อนข้างเล็กมากเมื่อเทียบกับนกฮูกสายพันธุ์อื่น แต่ฟลินเชื่อเลยว่าความกล้าหาญของมันคงไม่เป็นสองรองใครแน่ เนื่องจากมันเข้าจู่โจมเจมส์ด้วยการพยายามจิกและใช้เล็บข่วนตามผิวหนังโดยปราศจากความลังเล ขณะที่ตัวฟลินเองก็เบิกตากว้างทั้งอารมณ์ตกใจและเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าวินซ์จะพลาดท่าและได้รับอันตราย
“โอ๊ย! ไอ้นกบ้านี่มาจากไหนกัน” เจมส์ที่กำลังถูกวินซ์โจมตีอย่างกล้าหาญเอ่ยทั้งอารมณ์ตกใจไม่ต่างกัน นาทีเดียวกันอีกฝ่ายก็พยายามจะคว้าร่างเจ้าวินซ์เอาไว้ให้ได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จเสียที เนื่องจากเจ้าวินซ์เป็นนกฮูกตัวเล็กและค่อนข้างว่องไวมาก
“ฟลิน นายช่วยฉันด้วย!” อาจเพราะการโจมตีโดยเจ้าวินซ์ได้สร้างความรำคาญและความเจ็บให้เจมส์แล้วก็เป็นได้ อีกฝ่ายถึงได้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเขา เมื่อฟลินเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกเจ้าวินซ์โจมตี
“ไม่มีทาง” ฟลินเอ่ยอย่างคนแล้งน้ำใจ จากนั้นเขาก็ได้อาศัยช่วงชุลมุนรีบวิ่งไปทิ้งขยะแล้ววิ่งกลับไปยังหน้าร้าน เตรียมจะเดินทางเข้าไปในบ้าน
“วินซ์กลับมาเร็ว!” ฟลินลองตะโกนเรียกเจ้าวินซ์ดู ซึ่งพอเจ้านกฮูกได้ยินเสียงเรียกจากเขา มันก็หยุดการโจมตีเจมส์กะทันหันแล้วบินมาหากันทันที และเมื่อฟลินได้เจ้าวินซ์กลับคืนมาแล้วทั้งสองชีวิตก็กลับเข้าไปในบ้านพร้อมล็อกประตูร้านทั้งอาการใจเต้นรัว