7
“นี่ใจคอแกจะไม่มองฉันตอนโป๊จริง ๆ เหรอ? ถามจริง ๆ เถอะหรือฉันตอนโป๊มันดูไม่น่ามอง จนแกต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น”
“หันหน้ามามองกันหน่อยสิ” คราวนี้ฟลินไม่พูดเปล่า แต่เขายังพยายามจะจับร่างเจ้าวินซ์ให้หันกลับมามองกันด้วยสายตานึกสนุก เมื่อเขาไม่คิดมาก่อนว่าเจ้านกฮูกแสนเซ่อจะมีอาการแบบนี้
อาการที่หันมองนั่นมองนี่ไปเรื่อยเปื่อย ไม่หันมามองฟลิน ทั้งที่โดยปกติแล้วเวลาที่วินซ์บินมาหากัน มันก็มักจะมาทำตัวเกาะติดเขาอยู่ทุกครั้งไป
ชนิดที่ว่าขออยู่ใกล้ ๆ ให้ปีกหรือร่างกายบางส่วนของมันสัมผัสโดนกับร่างกายของเขาด้วย
“วินซ์…” ฟลินเรียกชื่อมันอีกครั้งเพื่อเย้าแหย่ ซึ่งเขาก็น่าจะเย้าแหย่มันมากเกินไปแหละมั้ง นั่นจึงทำให้นาทีต่อมาเจ้าวินซ์เริ่มกางปีกทั้งสองข้างและยกขึ้น จากนั้นมันก็ก้าวเท้าเดินหนีฟลินไปทั่วโต๊ะอ่านหนังสือของเขา คล้ายกับมันไม่พอใจอย่างยิ่ง และนั่นก็ทำให้ฟลินต้องหยุดตามตอแยมัน
“โอเค ๆ ก็ได้ ๆ ฉันไม่แหย่แกแล้ว” ฟลินบอกมันทั้งใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นเดิม จากนั้นเขาก็เดินไปเลือกหยิบชุดนอนที่ตู้เสื้อผ้า ขณะที่ตัวของเจ้าวินซ์เองก็เอาแต่หันมองผนังห้อง จนมันมั่นใจแล้วว่าฟลินสวมใส่ชุดนอนเสร็จแล้ว หลังจากนั้นมันถึงค่อยกลับมาทำตัวคลอเคลียกับเขาอีกครั้ง
“หืม วันนี้มีจดหมายมาให้กันด้วยเหรอ นี่ใจคอแกจะจีบฉันทุกวันเลยหรือไง”
หลังฟลินแต่งตัวเสร็จ ระหว่างที่เขากำลังจะเดินไปทิ้งตัวนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อทาลิปแก้อาการปากแห้งของตัวเอง เขาก็ต้องเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ เมื่อเจ้าวินซ์ได้เดินเตาะแตะคาบเอาจดหมายฉบับใหม่มาให้เขาอีกแล้ว
โดยหลังจากที่มันส่งมอบจดหมายให้ฟลินเสร็จ มันก็โผบินขึ้นมาเกาะที่ไหล่ของเขาอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ เวลาที่ฟลินกำลังบรรจงแกะซองจดหมายที่เพิ่งได้รับจากมัน
“นี่ถ้าแกเป็นคนแล้วคอยเขียนจดหมายมาส่งฉันทุกวันแบบนี้ ป่านนี้ฉันคงจะใจอ่อนให้แกแล้วนะเนี่ย” ฟลินเอ่ยอย่างไม่คิดอะไร ขณะเดียวกันมือของเขาก็บรรจงแกะจดหมายในมือออกอย่างนุ่มนวล เพื่อไม่ให้กระดาษเนื้อความข้างในฉีกขาด
‘เมื่อคืนนี้ผมโดนเจ้าของดุ เรื่องที่ผมมาค้างกับฟลิน’
‘เพราะงั้นคืนนี้ผมไม่ได้นอนค้างด้วยแล้วนะครับ’
‘แต่จะมาหาทุกวันแทน’
พอฟลินอ่านข้อความไม่กี่บรรทัดของมันจบ สิ่งต่อไปที่เขาทำต่อจากนั้นก็คือการยื่นมือไปลูบหัวเกาคางให้กับเจ้าวินซ์เพื่อปลอบประโลม เมื่อตัวมันเองก็พยายามเอาหัวถูไถที่ข้าง ๆ ต้นคอเขา คล้ายกับเจ้าตัวก็ต้องการให้ฟลินปลอบใจมันเช่นกัน
“เห็นไหมล่ะ เมื่อคืนนี้ฉันก็บอกแกแล้ว” ฟลินพูด ระหว่างที่มือเขาก็คอยลูบหัวเล็กของมันไม่ยอมหยุด จากนั้นเสียงของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง หลังฟลินเพิ่งนึกอะไรบางอย่างได้
“ลืมบอกไปเลย… วันนี้ฉันซื้ออาหารกับคอนมาให้แกด้วยนะ”
เพียงแค่เท่านั้นความสงสัยก็ฉายชัดขึ้นมาในดวงตาของเจ้าวินซ์แทบจะทันที มันจ้องหน้าฟลินด้วยความไม่เข้าใจ นั่นจึงทำให้ฟลินจำเป็นต้องลุกขึ้นพามันเดินไปดูคอนที่เอาไว้ให้นกเลี้ยงเกาะ รวมไปถึงหนูแช่แข็งที่มันจะได้รับจากเขาด้วย
“นี่ไง นายรู้จักหรือเปล่า?” ฟลินที่เดินไปหยิบคอนขึ้นมาให้เจ้านกฮูกตัวกะเปี๊ยกดูเอ่ยถามมันพร้อมสังเกตท่าทางของมันไปด้วย
พรึ่บ!
อาจเพราะการสำรวจด้วยตามันยังไม่เพียงพอสำหรับเจ้าวินซ์ นาทีต่อมามันจึงเปลี่ยนตำแหน่งยืนจากการเกาะที่ไหล่ของฟลินเป็นการไปเกาะที่คอนแทน มันโยกตัวไปมาอยู่พักหนึ่งคล้ายกับจะทดสอบความแข็งแรงของคอนชิ้นนี้ จากนั้นมันก็บินกลับมาเกาะไหล่ฟลินอีกครั้ง
“ทำไมล่ะ แกไม่ชอบเหรอ” ฟลินถามเจ้านกฮูก และแน่นอน… มันไม่มีทางพูดตอบโต้กับเขา แต่มันเลือกที่จะมองเขากลับทั้งตาแป๋วแทน
“นี่แกอยากอยู่บนไหล่ฉันมากกว่าคอนนี้เหรอ ทำไมล่ะ? ฉันว่าคอนนี้มันดีนะ เพราะมันทั้งเท่แล้วก็แข็งแรงด้วย” เขาถามต่อพร้อมระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง เมื่อเจ้าวินซ์เริ่มทำการออดอ้อนเขาด้วยการเอาหัวเล็กของมันมาถูไถกับเนื้อตัวของฟลินราวกับลูกแมวตอนที่พวกมันต้องการอ้อนขออาหารจากมนุษย์
“โอเค ๆ แกชอบไหล่ฉันมากกว่าเจ้าคอนนี่ใช่ไหม” เพราะเห็นว่ามันคงไม่มีสิ่งไหนถูกใจเจ้าวินซ์เท่ากับไหล่แคบของเขาแล้ว สุดท้ายฟลินจึงเอ่ยออกมาแบบนั้นอย่างยอมแพ้ ก่อนที่นาทีต่อมาเขาจะจับร่างของเจ้าวินซ์แล้วพาเดินไปยังเตียงนอนด้วยกัน
นี่ถ้าวันนี้เจ้าวินซ์ไม่บินมาเล่นกับเขา เห็นทีตลอดทั้งวันนี้ฟลินคงจะไม่ได้ยิ้มแน่ เขาต้องขอบคุณมันจริง ๆ ที่อุตส่าห์บินมาหากันอยู่ทุกวี่ทุกวันและความแสนรู้ของมันก็ทำให้เขายิ้มได้ในที่สุด
“ขอบคุณนะที่วันนี้แกยังอุตส่าห์บินมาหากันน่ะ นี่ถ้าแกไม่มาหากัน ฉันคงรู้สึกแย่แน่ ๆ” ขณะที่ฟลินกำลังเอนกายนอนอยู่บนเตียง โดยที่มีเจ้าวินซ์นั่งจุมปุกเป็นก้อนกลมอยู่บนอกเขา ฟลินก็กล่าวขอบคุณมันด้วยความจริงใจ เมื่อเจ้านกฮูกแสนเซ่อตัวนี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด
“วันนี้ฉันเจออะไรที่น่าหงุดหงิดมาด้วยแหละ ฉันขอเล่าให้แกฟังได้หรือเปล่า?” ฟลินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง หลังเขาอยากจะระบายสิ่งที่อัดอั้นอยู่ภายในใจของเขาให้ใครฟังสักคน ซึ่งเจ้านกฮูกแสนรู้นี้ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ต่อให้มันจะทำได้เพียงแค่รับฟังแต่ให้คำปรึกษากันไม่ได้ก็ตาม
ครั้นจะให้ฟลินเล่าให้พ่อแม่ของตัวเองฟัง เขาก็ไม่อยากให้พวกท่านไม่สบายใจอีก และถ้าจะให้เขาเล่าให้เพื่อนสนิทฟังเหมือนอย่างทุกครั้ง เขาก็เกรงว่าไอด้าจะรำคาญแล้วพลอยหงุดหงิดไปด้วย เขาจึงยังไม่มีความคิดที่จะบอกเล่าให้คนรอบตัวฟังในเร็ว ๆ นี้ ตราบใดที่เจมส์ยังไม่ได้ก้าวล้ำความเป็นส่วนตัวของเขา
อย่างน้อยก็มากกว่านี้
“วันนี้เจมส์บุกมาหาฉันถึงที่ร้านเลย ฉันกลัวมาก ๆ เลยแหละ” ฟลินเริ่มเปิดเผยความรู้สึกส่วนลึกของตัวเองให้เจ้าวินซ์ฟัง โดยที่ตัวมันเองก็เอียงคอมองกันด้วยความฉงน
“แกคงจะสงสัยใช่ไหมว่าเจมส์คือใคร เจมส์คือคนที่ตามจีบฉันไง หมอนั่นเป็นเพื่อนที่มหาลัยเดียวกัน แต่พวกเราอยู่คนละบ้าน” ฟลินอธิบายให้เจ้านกฮูกฟังอย่างใจเย็น ต่อให้คำอธิบายของเขามันจะไม่เกิดประโยชน์อะไรก็ตาม แต่เขาก็ยังอยากเล่าให้มันฟังอยู่ดี
“ฟังนะ… มหาลัยของฉันมีทั้งหมดสี่บ้าน บ้านคนที่เต็มไปด้วยคนรวย บ้านที่เต็มไปด้วยคนฉลาด บ้านที่เต็มไปด้วยคนที่มีอำนาจ และก็บ้านที่ไม่ได้มีอะไรเด่นเลยสักอย่าง ซึ่งตัวฉันก็อยู่บ้านหลังสุดท้ายนี่แหละ” เขาเอ่ย
“ถึงตอนนี้บ้านของฉันจะไม่ได้ยากจน มีกิจการเป็นของตัวเอง ไม่ต้องเช่าบ้านใครอยู่ แต่ว่าพอฉันได้เข้าไปเรียนอยู่ที่นั่นแล้ว ฉันก็ถือว่าเป็นคนฐานะธรรมดา ๆ เลยนะ เพราะในมหาลัยพวกที่รวยจริง ๆ ก็คือพวกที่ทางบ้านทำกิจการใหญ่ ๆ ที่มีผลต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งถ้าหากแกเป็นมนุษย์เหมือนอย่างฉัน ฉันคิดว่าแกก็คงจะได้ไปอยู่ในบ้านพวกฉลาด เพราะขนาดแกเป็นนกแกยังแสนรู้เท่านี้เลย”
“เอาล่ะ กลับมาที่เรื่องเจมส์ต่อ แกคงจะสงสัยใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงกลัวหมอนั่น”
“…”
“ที่ฉันกลัวเจมส์ก็เพราะหมอนั่นน่ะหน้าตาน่าเกลียด แถมยังชอบทำตัวคุกคามคนอื่นด้วย” ขณะที่ฟลินกำลังเล่าเรื่องของเจมส์ สมิธให้เจ้าวินซ์ฟัง ในหัวของเขาก็หวนนึกไปถึงเรื่องราวในอดีตด้วย โดยความทรงจำส่วนใหญ่ที่เขามีร่วมกับเจมส์มันก็ไม่มีความทรงจำไหนที่น่าจดจำเลยแม้แต่นิด
เจมส์เป็นผู้ชายนิสัยไม่ดี หยาบคายและคิดเข้าข้างตัวเองเป็นที่หนึ่ง
แม้ตลอดเวลาที่ผ่านมาฟลินจะพยายามใช้วิธีสันติพูดคุยกับอีกฝ่ายแล้วว่าเขาไม่ได้มีใจให้ และไม่ได้คิดกับอีกฝ่ายมากกว่าเพื่อนในชั้นปีเดียวกัน แต่เพราะอีโก้ที่เจมส์มี มันจึงไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะทำให้อีกฝ่ายยอมรับฟังกัน ประกอบกับเจ้าตัวเองก็ได้ไปคุยโวกับคนอื่น ๆ ว่าฟลินก็แค่เล่นตัวด้วยเท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องยากที่อีกฝ่ายจะยอมหยุดทุกอย่างลงอย่างง่ายดาย ต่อให้ฟลินจะพยายามขอร้องแล้วก็ตาม
“ตลอดเวลาที่ฉันเรียนอยู่ที่นั่น ต่อให้มหาลัยนั้นมันจะเป็นมหาลัยที่ฉันใฝ่ฝัน เพราะมันเป็นแหล่งคอนเนกชันชั้นดี แต่พอมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น ฉันก็รู้สึกว่าชีวิตของฉันแทบจะไม่มีความสุขเลย ฉันค่อนข้างเป็นทุกข์มากด้วยซ้ำ เพราะตลอดเวลาที่พักเที่ยงหรือเปลี่ยนวิชา ฉันจะต้องคอยหลบหนีเจมส์อยู่เรื่อย เพราะหมอนั่นชอบตามรังควานฉัน”
“ฉันอยากจัดการทุกอย่างด้วยตัวเองนะ ฉันไม่อยากให้ใครต้องมาปวดหัวด้วย แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” พูดจบ ฟลินก็พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรง เมื่อเขาไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ไปเจมส์ที่รู้แล้วว่ากิจการของเขาตั้งอยู่ที่ไหนในเมืองนี้จะมาหาเขาที่ร้านอีกหรือเปล่า และอีกฝ่ายจะทำอะไรมากกว่าการมาหาหรือไม่
ซึ่งถ้าหากอีกฝ่ายทำอย่างที่เขากลัวจริง ๆ นี่ก็คงจะเป็นฝันร้ายที่สุดเท่าที่ฟลินเคยพบเจอมา เพราะคราวนี้ผลกระทบไม่ได้เกิดขึ้นแค่เขาเท่านั้น แต่มันยังอาจจะส่งผลกระทบต่อกิจการของครอบครัวเขาด้วย
“ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจนะ น่ารักที่สุดเลย” ฟลินเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เมื่อในเวลาต่อมาเจ้าวินซ์ที่นั่งเก็บขาเป็นก้อนกลมในตอนแรกได้ยืนขึ้นอีกครั้ง เพื่อที่มันจะได้ขยับตัวเองเคลื่อนขึ้นมาซุกหน้าอยู่ที่ซอกคออุ่นของเขา คล้ายกับมันต้องการปลอบโยนให้ฟลินหายเศร้า
โดยฟลินก็คิดเองเออเองว่ามันคงจะสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเขาผ่านน้ำเสียงและท่าทาง มันเลยต้องการจะปลอบโยนกัน
แต่ดูเหมือนว่ารอบนี้ฟลินจะคิดผิดไปหน่อย
“เดี๋ยวนะ… นี่แกปลอบฉันจริงไหมเนี่ย” วินาทีต่อมาฟลินก็ต้องเอ่ยถามเจ้าวินซ์ทั้งคิ้วขมวด เมื่อมันไม่ได้ซุกอยู่ที่ซอกคอของเขาเท่านั้น แต่มันพยายามจะมุดผ่านคอเสื้อเขาเข้าไปข้างในต่างหาก