ยามเช้าดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ขอบฟ้า แสงสีส้มอ่อนอาบไล้ตามยอดไม้จนปรากฎทิวทัศน์งดงาม ละอองน้ำคางลอยเอื่อยจนขึ้นฝ้าขาว ผู้คนเริ่มออกจากเรือนเพื่อเดินทางไปตามท้องไร่ และทุ่งนา..
จิ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ
" อืม... "
ร่างงามตื่นจากการหลับไหล หูได้ยินเสียงนกเสียงไก่แว่วอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แสงอ่อนยามเช้าลอดเข้ามาตามช่องประตูหน้าต่าง
ซือเซียนยกมือทั้งสองข้าง แนบแก้มตนเองแล้วตบเบา ๆ เพื่อให้หายจากการง่วงงุน แม้นว่าจะช่วยไม่ได้เท่าใดก็เถอะ
พลันนึกถึงการนอนของตนเองเมื่อคืน เหตุใดถึงได้หลับสนิทขนาดนั้นนะ ทั้งที่เจ้าขนฟูมันก็ตายได้เจ็ดแปดวัน ตัวนางเองจึงยังปรับตัวไม่ได้จากการที่ต้องนอนผู้เดียวแท้ ๆ
หรือเป็นเพราะเปลี่ยนสถานที่ ?
..รู้ตนเองมาสักพัก ว่าหลายวันมานี้หลับไม่สนิทมาหลายคืนแล้ว หรือเป็นเพราะนางปรับความคุ้นชินได้แล้ว ต่อไปคงนอนคนเดียวได้แล้วใช่หรือไม่ แต่จะจริงหรือไม่จริงคืนนี้พิสูจน์อีกครั้งก็ยังไม่สาย
เมื่อคิดสิ่งต่าง ๆ ตกผลึกดีแล้ว ร่างงามในชุดนอนสีขาวบางเบาจึงได้เคลื่อนกายไปยังมุมหนึ่ง
เพราะต้องการแต่งกายให้เรียบร้อย ชุดที่เลือกใส่จึงเป็นสีเข้มสักหน่อย นั่นเพราะนางอาศัยอยู่ในเรือนเพียงผู้เดียว ต้องแสดงให้ผู้อื่นรู้ว่านางมิใช่หญิงสาวธรรมดา
ไม่สวยงามราวกับคุณหนู แต่เรียบง่ายคล้ายจอมยุทธหญิง มัดผมหางม้าขึ้นง่าย ๆ ล้างหน้าล้างตา จึงได้ลงมือกินข้าวเช้าก่อนจะออกไปที่ใด
หลังจากนั้นจึงได้เดินตรงไปยังบ้านท่านผู้นำ เพื่อสอบถามสิ่งต่าง ๆ รวมถึงเพื่อไปให้เขาเห็นหน้า จะได้รู้ว่านางได้มาอาศัยอยู่ที่นี่ชั่วคราวแล้ว
" ท่านผู้นำอยู่หรือไม่เจ้าคะ ! "
ซือเซียนตะโกนเรียกอยู่หน้าทางเข้า เรือนหลังนี้มีรั้วล้อมเอาไว้ไม่ต่างจากเรือนที่นางกำลังอาศัยอยู่ เพียงแต่น่าจะเป็นครอบครัวใหญ่ จึงคล้ายมีห้องยื่นต่อออกมาอีกหลายห้องทีเดียว
" เจ้ามีธุระอันใดกับท่านผู้นำ " หญิงสูงวัยผู้หนึ่งออกมาพบนาง
" ข้ามิมีธุระสำคัญเจ้าค่ะ เพียงแต่มาแจ้งว่าข้าเดินทางมาจากเมืองหลวงอาศัยอยู่เรือนขนาดกลางท้ายหมู่บ้าน ญาติของข้าให้มาดูแลเรือนนั้นชั่วคราว "
ตอนแรกหญิงสูงวัยผู้นี้ก็แอบระแวงอยู่บ้าง ที่จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวท่าทางดูดีราวกับคุณหนูมาขอพบสามี เมื่อเห็นว่าเป็นเพียงญาติของเศรษฐีผู้หนึ่งจึงไม่ได้ติดใจอันใด กล่าวถามด้วยท่าทีอ่อนลงว่า
" แล้วเจ้าขาดเหลืออันใดหรือไม่เล่าแม่นาง "
หญิงสาวกล่าวบอกความต้องการของตนเอง " ข้าไม่ได้ซื้อเสบียงมาด้วย เลยอยากถามว่าเรือนใดขายข้าวสารบ้าง ข้าอยากจะซื้อสักสิบชั่งเจ้าค่ะ "
" เจ้าเดินตรงไปทางโน้น"
ด้วยเพราะเจ้าตัวชี้แบบส่ง ๆ จึงได้กล่าวถามย้ำอีกครั้ง " ตรงไหนหรือเจ้าคะ "
ชี้ไปทางขวาแล้วกล่าวว่า " เดินตรงไปจนสุดจะเจอบ้านที่ขายอาหารแห้งอยู่ น่าจะมีข้าวสารในจำนวนที่้เจ้าต้องการ "
" เจ้าค่ะ " หญิงสาวพยักหน้ารับรู้
หญิงสูงวัยจับจ้องการแต่งกายของแม่นางตรงหน้า แล้วจึงได้ชวนสนทนา " ว่าแต่..เจ้าชื่อแซ่อันใด เหตุใดถึงได้เดินทางมาที่ห่างไกลเช่นนี้ผู้เดียวกัน "
หญิงสาวตอบกลับว่า
" ข้าชื่อซือเซียนไม่มีแซ่เจ้าค่ะ " นางกล่าวความจริงออกไป ไม่ได้สนสายตาแปลกประหลาดของภรรยาของท่านผู้นำหมู่บ้านตงไห่ เมื่อได้ยินว่านางไร้แซ่ อธิบายเพิ่มเติมไปอีกประโยค
" แต่ก่อนเป็นทหาร ตอนนี้ลาออกแล้วเจ้าค่ะ "
" ทหารหญิงรึ อืม.. " นางมู่พยักหน้ารับรู้ " ข้าชื่อมู่ซื่อฝานเป็นภรรยาผู้นำหมู่บ้านตงไห่ ตอนนี้เขาไม่อยู่หรอก ไปทำธุระที่อำเภอ เดี๋ยวข้าจะบอกกล่าวเรื่องของเจ้าต่อเอง "
ซือเซียนตอบรับกับนางมู่ซื่อฝานว่า " เจ้าค่ะ "
..กล่าวจบ จึงได้ตรงไปยังเรือนที่ขายอาหารแห้ง
นางมู่ยืนมองด้านหลังของหญิงสาว แล้วค่อย ๆ ถอนหายใจออกมา ชีวิตหญิงสาวนางนี้ออกจะแปลกจากชาวบ้านอยู่สักหน่อย
การเป็นทหารหญิงมิแปลก แต่ก็ไม่เคยเห็นทหารหญิงที่ใดใจเด็ดเพียงนี้ เพราะใคร ๆ ก็รู้ว่ากว่าจะได้เป็นทหารมีความลำบากเพียงใด อีกทั้งยังเลยวัยปักปิ่นมามากโข คงต้องอยู่โดดเดี่ยวเป็นสาวเทื้อแน่แท้
ไม่รู้ว่าจะลาออกทำไมกันเสียดายนักเชียว ส่ายหัวไม่เข้าใจเพียงครู่ จึงได้เดินกลับเข้าไปในเรือน
ไม่นานซือเซียนก็กลับมาถึงบ้าน วางข้าวสารสิบชั่งไว้ที่มุมหนึ่งของครัว เตรียมน้ำใส่กระบอกยกตะกร้าสานขึ้นสะพายด้านหลังเรียบร้อยเพื่อเตรียมเข้าป่า
..นับว่าโชคยังดี ที่นี่ยังคงมีบางอย่างที่ยังสามารถนำมาใช้สอยได้บ้าง เพราะความหลงลืมของตนเองนั่นแหละ ว่าที่นี่เป็นหมู่บ้านห่างไกลจึงไม่ได้ตุนเสบียงเอาไว้เลย
บางอย่างก็ไม่สามารถซื้อหาได้ง่าย นอกจากข้าวก็ต้องมีกับข้าว ดังนั้นจึงคิดจะนำอาวุธคู่กายอย่างธนูคู่หูที่อยู่ด้วยกันมานานขึ้นเขาเพื่อแสวงโชค
ก็คิดว่าน่าจะโชคดีละนะ
..เพียงหลังจากนั้นอีกครึ่งวัน จึงหมดไปกับการไล่ล่าไก่ป่า และรวบรวมวัตถุดิบ นางเดินลงมาจากหุบเขาด้วยใบหน้าแจ่มใสกว่าที่ผ่านมา อาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ตนเองได้ใช้ชีวิตอิสระ
ที่ผ่านมานางเอาแต่ใช้ชีวิตเพื่อผู้อื่น บัดนี้นางได้ใช้ชีวิตเพื่อตนเองบ้างแล้ว เป็นการใช้ชีวิตแบบเงียบเหงาอยู่บ้าง แต่ก็ยังดีกว่าอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายเจ้าขนฟูนั่น
ดูเหมือนที่ยึดติดขนาดนี้ นั่นก็เพราะเมื่อสิบกว่าปี่ก่อนนางได้ถูกส่งมาอยู่ในร่างของเด็กหญิงอ่อนแอ
ยัยหนูซือซือของหม่าม้า อยู่ดี ๆ ก็มาฟื้นในร่างของเด็กกำพร้าอายุแปดขวบ เศร้าจากการพลัดพรากมาแบบไม่ตั้งตัว ยังหดหู่เพราะต้องดิ้นรนในชีวิตที่แสนอาภัพ เป็นใครก็ไม่รู้ ที่แน่ ๆ เด็กน้อยไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว เป็นเพียงขอทานน้อยผู้หนึ่ง
แต่เพราะในขณะนั้น บังเอิญว่าได้พบเจอกับประกาศรับสมัครทหารหญิงปีแรกในยุคโบราณ แต่สวรรค์ก็ไม่ใจร้ายจนเกินไป เพราะดันอ่านหนังสือออกเฉย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นภาษาที่ไม่เคยเห็นแท้ ๆ
ชาติก่อนนางเป็นเพียงสาวโสดผู้หนึ่ง ที่ดันโสดสนิทเพราะครอบครัวหวงเป็นอย่างมาก กว่าหม่าม๊าจะไว้วางใจให้คบกับใครสักคน ก็เป็นตอนที่ถูกส่งมาพอดี ของหวานไม่ได้กิน อะไรก็ไม่ได้กิน ชาตินี้เมื่อครั้งสมัครทหาร เอาแต่เรียน และฝึกฝนร่างกาย
จึงได้โสดใส...ไร้ราคีอีกครั้ง
แต่นางเองก็ปลงตกกับตนเองไปเรียบร้อย ชาติก่อนบิดามารดาหวง ชาตินี้แมวหวง และใช่..ทาสแมวเช่นนางอย่างไรก็ต้องเอาใจเจ้าขนฟู
เพื่อความสบายใจของมัน จึงไม่ได้คบกับชายใด
กล่าวกับตนเอกด้วยความฮึกเหิมว่า " แมวก็ไม่อยู่แล้ว อย่างนี้..ข้าก็แต่งผู้ชายได้แล้วสิ ? "
เคร้ง !
สิ้นคำกล่าว..พลันได้ยินเสียงบางอยากแตกหัก
ควับ !
นางหันไปยังทิศทางของเสียง แต่กลับว่างเปล่า..
เมื่อมองไปรอบ ๆ ว่าไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปรกติ ซือเซียนจึงหันไปจัดการไก่สามตัวที่ตนเองล่ามา ทั้งลวกน้ำร้อนถอนขน ทั้งต้องจัดการเครื่องในให้สะอาด เมื่อมีเห็ดป่าที่เก็บมาในตะกร้าจึงทำการแกงเห็ดง่าย ๆ ด้วยการใส่สมุนไพรที่หาได้ ยังไม่ลืมนำข้าวสารแช่น้ำจนนิ่มลงหินโม่
จัดการนำไก่ที่เหลือคลุกสมุนไพร และเครื่องปรุง นำไปตากแดดเพื่อเก็บไว้กินหลายวัน
ตกเย็นจึงได้ทำเหมือนเมื่อวาน พอมืดจึงเตรียมเสื้อผ้าไปอาบน้ำที่เดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิม...เพราะดันเจอน้องชายข้างบ้านเข้า และเขากำลังอาบน้ำในลำธารอยู่ก่อนพอดี
อึก..
นางที่ยืนอยู่หลังต้นไม้กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ถะ..ถอด ถอดแล้ว หูย...ขาวมาก...
แผ่นหลังขาวสล้างกระดูกสันหลังโดดเด่นเบื้องหน้า ปากของนางจึงได้อ้าค้างจนน่าตลก แต่ที่ไม่ตลกคือนางสัมผัสได้ว่าอกข้างซ้ายของตนเองเต้นแรง อ๊าย......ถ้าจะขาวจั๊วปานนี้ เอามีดมาแทงอิแม่เถอะ นางสัมผัสได้ว่าโพรงจมูกรู้สึกอุ่น ๆ นี่คงไม่ใช่...
กลิ่นสนิม ไม่ต้องเอาขึ้นมาดูก็พอรู้ อึก.....
เลือดกำเดาไหล
" ผู้ใด ? "
เสียงห้วนสั้นกล่าวขึ้น เจ้าตัวเพียงยื่นมือออกไปยังทิศทางหนึ่ง ยังไม่ทันได้คิดอันใดต่อ ปรากฏว่าลำคอระหงของซือเซียนกลับพาดอยู่บนฝ่ามือเขา อึ๋ย...แย่แล้ว
ยอดฝีมือ !
" เป็นหญิงสาวแบบไหนกัน มาแอบจ้องผู้อื่นอาบน้ำ "
นางกำลังตื่นตะลึงกับใบหน้าสวรรค์ประทานของเขา หูเลยแว่ว ๆ เพราะฟังเขาไม่รู้เรื่อง "...."
เสียงทุ้มกล่าวถามย้ำอีกครา " ว่าอย่างไร "
เสียงดุ ๆ กับน้ำหนักมือที่กำแน่นขึ้นเรียกสติซือเซียนให้กลับเข้าร่าง อยากจะเขกหัวตัวเองสักที..เหตุใดนางจึงประมาทเช่นนี้
" ขะ..ข้า " นางตอบด้วยความยากลำบาก อ๋า..คอต้องแดงช้ำแล้วแน่
เขาเลื่อนใบหน้ามาจ้องระยะใกล้ เห็นบรรยากาศน่ากลัวเช่นนั้นตัวนางเองก็เลื่อนหน้าถอยออก แต่มือที่แข็งยังกะคีมเหล็กที่ถูกกุมอยู่นี้ กลับไม่ขยับเขยื้อนคล้ายหินผา " แล้วมาทำอันใด "
ยิ้มบ้างเถอะ...
ถามหน้านิ่งเช่นนี้นางก็กลัวเป็น ดูท่าน่าจะเป็นยอดฝีมือสูงส่งจริง ๆ ชาติก่อนทำบุญด้วยอันใดถึงได้เจอแต่เรื่องดี ๆ ทั้งน้านนน
นางจับมือใหญ่ของเขาข้างที่กุมคอนางอยู่ กล่าวขอด้วยความยากลำบาก " เจ้าปล่อย...ข้าก่อนดีหรือไม่ "
เห็นแววตาคล้ายกำลังเกรงกลัวของหญิงสาว ผู้ที่กำลังแกล้งนางอยู่แทบจะหลุดหัวเราะออกมา
แต่ในเมื่อเขาแสดงตัวแล้ว เช่นไรก็ไม่อยากให้เสียเรื่อง ปล่อยมือออกจากคอเล็กของซือเซียน แต่มืออีกข้างกลับโอบนางไว้ในอ้อมแขน
หา !
" จะ..เจ้า " เจ้าเด็กนี่ !
" คราวนี้ก็บอก...มาทำอันใด "
" อาบน้ำ " ซือเซียนตอบเสียงห้วน พยายามคิดหาหนทางหนีจากผู้ชายคนนี้ " พูดดี ๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องกอดข้า ปล่อย ! "
ไหนเลยเจ้าของร่างสูงจะฟัง เขายิ่งกอดรัดนางแน่นยิ่งกว่าเดิม ง่า...ทำไมอกแน่นแบบนี้ ยิ่งแนบสนิทยิ่งใจอ่อนเหลว ยิ่งเนื้อแนบเนื้อใกล้ชิดจนไร้ช่องว่าง
รู้สึกดีแบบไม่มีอะไรกั้น มันเป็นเช่นนี้นี่เอง เอ่อ..ไม่ใช่สิ
" บอกให้ข้าปล่อย ทั้งที่ตรงข้ามกับความต้องการตนเอง "
มันก็จริง..
ไม่ใช่สิ " เจ้ามันเป็นโจรเด็ดบุพผา " นางประณามเขาเสียงแข็ง " หน้าไม่อาย ถอดเสื้อผ้าแล้วมากอดข้า "
" ผู้ใดจะไปรู้ว่าเจ้ามา ข้าคิดว่าเจ้าชอบเสียอีก...เห็นยืนมองอยู่ตั้งนาน " เห็นไปถึงไหนต่อไหน
อึก.. ซือเซียนกลืนน้ำลายฝืดลงคอ " ... "
" มาอาบน้ำ ? "
หญิงสาวก้มหน้างุดไม่อยากตอบคำถาม เห็นนางที่เอาแต่เงียบชายหนุ่มจึงรวบร่างของนางขึ้นแล้วเดินลงน้ำ เขาสกัดจุดนางเอาไว้ และถอดชุดของซือเซียนออกจนหมด
อ๊าย..หยุดนะเจ้าเด็กบ้า
พรึบ !
ผะ..เผาเสื้อผ้าของนางงั้นรึ
..มองเขาตาเขียวปั๊ด แล้วจะใส่อันใดกลับเรือนกัน มัวแต่ตกใจว่าตนเองจะไม่มีเสื้อผ้าใส่ หลงลืมไปว่าตอนนี้กำลังเปลือยร่างกายต่อหน้าพยัคฆ์ร้าย " เช่นนั้นก็อาบด้วยกัน "
ปฏิเสธได้มั้ยละ ?
" ... " โดดสกัดจุดอยู่ เผื่อเจ้ายังไม่ลืม...