“หลบหน่อยค่า! หลบหน่อยค่า!”
ร่างบางรีบวิ่งแหวกผู้คนเข้าห้างสรรพสินค้า หลังได้ยินเสียงโฟนอินบอกโปรโมรชั่นลดราคาสำหรับรายการสินค้าที่เข้าร่วมในสัปดาห์นี้ ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศไม่ได้ช่วยให้กรอบหน้าหวานหายชื้นเหงื่อ หญิงสาวรีบหยิบไก่ย่างชิ้นโตและผักผลไม้ใส่รถเข็นอย่างเร่งรีบ หางตามองซ้ายขวาด้วยกลัวว่าจะมีใครมาแย่ง แม้ขนาดตัวจะเล็กกว่าบรรดาแม่บ้านที่มามุงซื้ออย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เธอก็ไม่ยอมแพ้ เบียดได้คือเบียด เจ็บตัวจากการถูกกระแทกนิดๆ หน่อยๆ แต่มันคุ้มหากเทียบกับความประหยัดที่จะได้จากการช้อปปิ้งครั้งนี้
“ให้ตายเถอะ ฉันควรได้ไก่มากกว่าสามแพคด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่ายัยมนุษย์ป้านั่นมาแย่งไปจากมือนะ”
รสริน โวยวายหลังจากคิดเงินเสร็จเรียบร้อย หล่อนพ่นลมหายใจเหนื่อยหอบ ยกน้ำดื่มทีเดียวหมดขวด
“เท่าที่ได้มาก็เยอะแล้วพี่ อย่าไปคิดมากเลย”
พิมพ์มาดา บอกกับพี่สาวด้วยรอยยิ้มสดใส หากเปรียบรสรินเป็นม้าสาวจอมพยศ ตัวเธอก็คงเป็นแมวน้อยขี้อ้อนแสนอ่อนหวาน สองพี่น้องแตกต่างโดยสิ้นเชิง ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสายเลือดเดียวกัน
“เยอะที่ไหน พี่อุตส่าห์ตั้งเป้าไว้ที่ห้าแพค ได้มาแค่สามจะพอกินถึงสิ้นเดือนนี้ไหมล่ะ” คนถูกแย่งของบ่นไม่เลิก อีกตั้งสองอาทิตย์กว่าจะถึงสิ้นเดือน ที่รีบมาแย่งของลดราคากับพวกแม่บ้านคนอื่นๆ ก็เพราะต้องการประหยัดเงินค่าอาหารนี่แหละ
“เอาน่าพี่รส พิมพ์ว่าเรารีบกลับบ้านไปทำกับข้าวให้แม่กินดีกว่า ป่านนี้แกรอแย่ละ” พิมพ์มาดาลูบแขนพี่สาว อยากให้อีกฝ่ายใจเย็นๆ
“นั่นสิ… เราก็ออกมาหลายชั่วโมงละ กลับบ้านเถอะพี่เป็นห่วงแม่เหมือนกัน” พอนึกถึงมารดาคนอารมณ์ร้อนก็ได้สติขึ้นมา รสรินและพิมพ์มาดาช่วยกันขนของที่ซื้อมาใส่หลังรถ ก่อนจะขับเคลื่อนยานยนต์ออกสู่ท้องถนนกว้างใหญ่ ใช้เวลาไม่นานก็ถึงบ้านหลังน้อยแสนอบอุ่น หญิงกลางคนรีบออกมาช่วยยกของ รสรินร้องลั่น
“แม่ไม่ต้อง! เดี๋ยวหนูกับพิมพ์ทำเอง” เธอรีบดึงถุงพลาสติกออกจากมือมารดา
“แม่ออกมาทำไมจ๊ะ อากาศข้างนอกเริ่มเย็นแล้ว เข้าบ้านเถอะ” พิมพ์มาดาพูดเสียงอ่อนหวาน แต่นัยน์ตาแอบดุในท่าที
“ตื่นเต้นอะไรกันยกใหญ่ แม่แค่อยากช่วย”
มาลา ส่ายหน้าให้กับความเยอะของบุตรสาวทั้งสอง ถึงกระนั้นในใจกลับยิ้มปิติเมื่อรู้ว่าลูกเป็นห่วง
“พวกหนูทำเองได้ แม่ไปนั่งเถอะจ้ะ”
พิมพ์มาดาดันเอวมาลาให้เดินเข้าบ้าน คนเป็นแม่จำต้องเลยตามเลย ได้แต่ยืนมองลูกรักช่วยกันขนข้าวของพะรุงพะรัง
“ซื้ออะไรมาเยอะแยะลูก มีตังค์เหรอ”
“ของมันลดราคาจ้ะแม่ พี่รสเลยรีบตุนไว้” พิมพ์มาดาตอบพลางยิ้ม รสรินถือของตามหลังมาติดๆ กล่าวว่า
“หนูกลัวว่ากับข้าวที่เรามีจะอยู่ไม่ถึงสิ้นเดือนน่ะ”
“กับข้าวที่มีทั้งของสดของแห้งก็มากพอแล้วลูก” มาลามองไปยังถุงซูเปอร์มาร์เก็ตไม่ต่ำกว่าห้าใบ
“ส่วนใหญ่ของที่พี่รสเลือกซื้อก็เพื่อแม่ทั้งนั้นเลยนะ ผลไม้เอย ผักเอย และแถมไก่ย่างของโปรดให้ด้วย” บุตรสาวคนเล็กจัดแจงให้มารดาฟัง มาลาถึงกับส่ายหน้า
“รสเอ๊ย… อย่ามาพะวงเรื่องแม่นักเลยลูก เงินทองมีก็หัดซื้อของที่ตัวเองอยากได้บ้าง ไอ้ตัวแม่จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้ มีแค่ไหนกินแค่นั้นจะเป็นไรไป”
มาลาพูดอย่างปลงตก เรื่องความเป็นความตายไม่มีใครในโลกหลีกหนีพ้น และเธอก็รู้ตัวเองดี
เวลาที่เหลือจึงอยากอยู่กับดวงใจให้ได้มากที่สุด
“แม่อย่าพูดแบบนั้นสิจ๊ะ แม่ยังแข็งแรง ยังอยู่กับพวกหนูได้อีกนาน” พิมพ์มาดาเสียงอ่อน พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“คนเราทุกคนต้องตายลูก ไม่ช้าก็เร็ว” มาลาเตือนสติ ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “แม่เองก็ออดแอดๆ โรคที่เป็นก็ใช้เงินใช้ทองเยอะ ตายไปก็ดีเหมือนกัน ลูกเต้าจะได้ไม่ลำบาก แม่น่ะ…”
“หนูจะหาเงินมารักษาแม่เอง” รสรินโพล่งขึ้น
“ที่รสทำงานตัวเป็นเกลียวทุกวันนี้ก็มากพอแล้วลูก ไหนจะยัยพิมพ์อีก แทนที่จะได้เรียนกลับต้องมาดรอปเพราะแม่”
มาลารู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระ บุตรสาวควรมีอนาคตที่ดีกว่านี้หากเธอสิ้นลมหายใจไปซะ
“พิมพ์โอเคจ้ะ เรียนเมื่อไหร่ก็เรียนได้ ตอนนี้พิมพ์ยังมีแรงอยู่ ก็อยากทำงานช่วยพี่รสหาเงินรักษาแม่อีกทาง” พิมพ์มาดามองหน้ารสริน น้ำตาค่อยๆ รินไหล ผิดกับพี่สาวที่เข้มแข็ง แววตามุ่งมั่นแม้ต้องเจอเรื่องหนักหน่วงในชีวิต
“เดี๋ยวหนูจะหางานทำเพิ่ม คาดว่าเดือนหน้าจะพอให้แม่ได้ฟอกไต” รสรินเตรียมวางแผน
“แต่แม่ว่า…”
“ไม่มีแต่!” รสรินรีบตัดบท หญิงสาวจับมือผู้มีพระคุณขึ้นแนบแก้ม “แม่ต้องหายนะ แม่ต้องอยู่กับพวกเราตลอดไป”
ถึงเธอจะไม่ใช่ลูกสายเอาอกเอาใจเหมือนพิมพ์มาดา แต่ไม่ว่าจะทำอะไรรสรินก็นึกถึงหน้าแม่เสมอ ยิ่งตอนนี้ท่านป่วย เธอในฐานะบุตรสาวคนโตก็อยากดูแลให้เต็มที่ ตอบแทนบุญคุณที่มาลาให้ชีวิตและลมหายใจ เพราะการมีชีวิตอยู่ต่อของแม่คือความหวังอันสูงสุด เป็นเพียงปรารถนาเดียวที่เธออ้อนวอนต่อสวรรค์ทุกวินาที
เป็นอีกครั้งที่ศรุตต้องส่ายหัวให้กับความดื้อรั้นของบุตรชาย แววตาคมมองการกระทำเบื้องหน้านิ่ง ศรันเขวี้ยงปาข้าวของใส่ติ๋มและหวานอย่างบ้าคลั่ง เด็กชายวัยเจ็ดขวบเหมือนยักษ์มารที่กำลังเดือดพล่าน ไม่สนสิ่งใดนอกจากความต้องการของตัวเอง
“ออกไปให้หมด! บอกให้ออกไป!”
คำๆ นี้ได้ยินจนชินชา ศรุตโบกมือให้ทั้งสองออกไปจากห้อง เขาตัดสินใจเดินไปหาร่างท้วมป้อมด้วยตัวเอง ศรันกอดอกหันหน้ามองทางอื่น ทำราวกับรังเกียจคนเป็นพ่อเต็มประดา
“เมื่อไหร่จะหยุดทำแบบนี้สักทีรัน” น้ำเสียงที่ใช้เริ่มเข้มข้น ศรันไม่ตอบ แสร้งทำหูทวนลมในขณะที่ศรุตเริ่มโมโห
“พ่อชักทนกับความดื้อรั้นของเราไม่ไหวแล้วนะ”
ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาพยายามใจเย็น พยายามมองโลกในแง่ดี หวังว่าสักวันศรันจะเลิกเอาแต่ใจแล้วกลับมาเป็นเด็กที่น่ารักคนเดิม แต่เปล่าเลย… ยิ่งเขาปล่อยปละละเลยให้ลูกรักแสดงฤทธิ์เดชมากเท่าไหร่ กลับกลายเป็นยิ่งฝังนิสัยแย่ๆ ให้ลงรากลึกจนแทบกู่ไม่กลับ
“พี่เลี้ยงกี่คนๆ เราก็อาละวาดจนเขาต้องลาออกไปหมด รันจะเอายังไง รันบอกพ่อมาเลย” ศรุตพ่นลมหายใจหนักหน่วง ประโยคสุดท้ายของบิดาทำให้ศรันค่อยๆ หันหน้ามาสบตา
“อยากได้แม่กลับคืน ให้ได้ไหมล่ะ?!”
น้ำเสียงแข็งกระด้างติดห้วนจัด ศรุตสะอึก ก้อนแข็งๆ ตีตื้นจุกลำคอ นัยน์ตาคมเริ่มสั่นไหวยามฟังความต้องการของเด็กน้อย และเหมือนศรันจะรู้ทัน เขาแสยะยิ้มร้ายกาจ
“ถ้าให้ไม่ได้ก็ออกไป ไม่ต้องมายุ่ง! ไม่ต้องมาสนใจ!”
เด็กน้อยชี้นิ้วไล่ ไม่เกรงกลัวอีกฝ่ายเลยสักนิด
“รัน” ศรุตเสียงอ่อน
“บอกให้ออกไปไง!”
เด็กชายตะคอกใส่ ศรุตไม่ยอมออกไปไหน นั่งมองหน้าลูกชายนิ่ง ศรันหงุดหงิดที่คนเป็นพ่อยังอยู่ในห้อง เขาจึงลุกเดินเข้าห้องน้ำเพื่อตัดปัญหา ปิดประตูเสียงดังตามแรงอารมณ์ ศรุตยกมือเสยผมพลางเป่าปาก เริ่มกังวลหนักขึ้นเรื่อยๆ และคำพูดของมารดาก็แล่นเข้ามาในหัว ที่ว่าให้พาศรันไปพบหมอจิตเวช หรือบางทีเขาควรเชื่อท่าน ขืนปล่อยให้นานกว่านี้คนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน หากแต่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาเอง
“เดี๋ยวเปิดรับสมัครพี่เลี้ยงให้ทีนะ”
เขาโทรสั่งเลขาส่วนตัว คุณนิภาทันออกมาได้ยินพอดี หญิงกลางคนถึงกับส่ายหน้าเอือมระอา
“หามาสักร้อยคนเลยตารุต” คนเป็นแม่แดกดัน
“คุณแม่” ศรุตลากเสียง “อย่าซ้ำเติมกันนักเลยครับ แค่นี้ผมก็ปวดหัวจะแย่แล้ว” ลูกชายยกมือกุมขมับ นวดคลึงเบาๆ เพื่อคลายความเครียด