ปฐมบท - เด็กชายเจ้าอารมณ์ (จบตอน)
“ออกไปให้หมด ออกไป!!!”
เสียงโหวกเหวกโวยวายกลายเป็นที่คุ้นชินสำหรับคนในบ้านหลังนี้ไปเสียแล้ว ไม่มีวันไหนที่ไม่ได้ยิน
“เดี๋ยวต้องมีอีก เชื่อสิ” สาวใช้สองคนมองหน้ากันพลางลุ้นถึงสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้
เพล้ง!
เศษแก้วน้ำแตกกระจายเต็มพื้นกระเบื้อง หญิงกลางคนมองพฤติกรรมก้าวร้าวของหลานชายวัยเจ็ดขวบนิ่ง ถอนหายใจอย่างปลงตก หมดกำลังที่จะเข้าหา ในเมื่อเจ้าตัวเอาแต่ปิดกั้นโลกภายนอก ไม่รับฟังหรือเรียนรู้ผิดชอบชั่วดี
“เอายังไงดีคะคุณนาย”
“เก็บสิยะ!”
คุณนายที่ว่าเหวใส่ ติ๋มถึงกับมุ่ยหน้าพลางสะกิดหวานเพื่อนซี้ให้ตามไปช่วยกันเก็บเศษซากความเอาแต่ใจของคุณหนู
“ไสหัวออกไป!” น้ำเสียงก้าวร้าวตวาด
“ค่ะๆ ไปแล้วค่ะ”
ติ๋มลุกลี้ลุกลน คว้าอุปกรณ์ทำความสะอาดได้ก็รีบเผ่นออกจากห้อง หวานวิ่งตามมาติดๆ ขืนอยู่นานกว่านี้กลัวโดนลูกหลง
“นานวันก็มีแต่แย่ลงๆ”
หวานบ่นพึมพำ ติ๋มพยักหน้าเห็นด้วย
“ไม่รู้ว่าคุณรุตใจเย็นอยู่ได้ไง เป็นลูกเป็นหลานข้าไม่ได้ แม่จะสอยให้ร่วงเชียว!” ติ๋มทำท่าโบกไม้โบกมือ
“งั้นเหรอ?” เสียงเข้มดังขึ้นขัดบทสนทนา สาวใช้ตัวแข็งทื่อสบตากันอย่างรู้ชะตา แม้ไม่ได้หันมองแต่ก็รู้ว่าคนด้านหลังคือใคร น้ำเสียงห้วนจัดแบบนี้มีอยู่คนเดียวในบ้าน
“หันหน้ามาเดี๋ยวนี้!”
ศรุต ออกคำสั่ง ชายหนุ่มสูงสง่าในชุดสูทสีดำเข้มแบรนด์ดัง ใบหน้าคมคร้ามหล่อเหลาเอาการ จมูกโด่งคมสันได้รูป ริมฝีปากหยักสวยน่าสัมผัส คิ้วหนาเข้มทรงเสน่ห์ ดวงตาเรียวรีดุจเหยี่ยว ทุกองค์ประกอบหล่อหลอมให้ผู้ชายคนนี้เต็มไปด้วยศักย์ภาพที่สาวๆ ต่างปรารถนา
“คะ คุณรุต” สาวใช้ทั้งสองครางเสียงแผ่ว ยกมือไหว้ลุแก่โทษ “พวกเราขอโทษค่ะ”
“ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่านินทาลูกฉัน”
หลายคนพากันคิดว่าเขานั้นสปอยล์ลูกจนกลายเป็นเด็กเสียนิสัย แต่ที่จริงเขาห่วงความรู้สึกของลูก ไม่อยากให้ได้ยินถ้อยคำบั่นทอนจิตใจ
“ขอโทษค่ะ” ติ๋มและหวานยกมือไหว้ท่วมหัว กลัวถูกเจ้านายไล่ออกจากงาน
“แล้วอย่าให้ได้ยินอะไรแบบนี้อีกนะ!”
ศรุตชี้หน้าขู่ ชายหนุ่มเดินหายเข้าไปในบ้าน พอพ้นสายตาเจ้านาย หวานก็เล่นงานติ๋มทันที
“เพราะเอ็งคนเดียวนังติ๋ม ปากพล่อยไม่เข้าท่า!”
เมื่อเห็นบุตรชายเดินเข้ามา คุณนิภา ก็วางมือจากการร้อยมาลัยถวายพระ เรียวปากเผยรอยยิ้มกว้าง รีบลุกไปสวมกอดให้หายคิดถึง ศรุตซบหน้าลงบนไหล่ของมารดา
“ไงเรา เหนื่อยไหม?” คุณนิภาถามไถ่ รีบสั่งให้เด็กไปเตรียมของว่างมาต้อนรับ
“นิดหน่อยครับคุณแม่ พอดีว่าโรงแรมของเราทางนู้นเพิ่งเปิดใหม่ ปัญหาร้อยแปดเลยมีไม่เว้นวัน”
ศรุตรายงานความเคลื่อนไหว เขาบินไปดูธุรกิจโรงแรมที่ประเทศเกาหลีใต้ถึงสองอาทิตย์เต็ม
“แล้ว…”
“เหมือนเดิม”
แค่มองตาก็รู้ว่าศรุตต้องการพูดเรื่องใด คนเป็นแม่ส่ายหน้าตามด้วยเสียงถอนหายใจ
“ผมควรทำยังไงดีครับ” ศรุตเองก็ท้อ ลูกชายเพียงคนเดียวมีนิสัยก้าวร้าวทั้งอยู่ที่บ้านและที่โรงเรียน
“เฮ้อ… แม่เองก็จนปัญญาละ” คุณนิภามองไม่เห็นแสงสว่างสำหรับเรื่องนี้
“แล้วนี่พี่เลี้ยงไปไหนครับ” ศรุตถามหาพี่เลี้ยงที่เขาเพิ่งรับเข้าทำงานก่อนบินไปต่างประเทศ คุณนิภายิ้มหยัน
“ลาออกไปละ ออกตั้งแต่วันแรกเลยด้วยซ้ำ”
“หะ! อีกแล้วหรือครับ”
คนฟังร้องลั่น กี่รายแล้วที่ลาออกตั้งแต่วันแรก ถ้าให้ยกนิ้วนับเห็นทีจะไม่หวาดไม่ไหว
“ก็ฤทธิ์ลูกชายแกมากซะขนาดนั้น ใครมันจะไปทนได้”
ขนาดตัวเธอเป็นย่ายังเอาไม่อยู่ หวิดถูกลูกหลงจากการปาข้าวของใส่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมจะรับสมัครพี่เลี้ยงคนใหม่” ศรุตไม่ยอมแพ้ ทว่าคนเป็นแม่รีบห้าม
“พอเลยตารุต แม่ว่าเราหยุดหาพี่เลี้ยงแล้วพาลูกแกไปหาหมอจิตเวชดีกว่าไหม” คุณนิภาให้คำแนะนำ
“คุณแม่ครับ ลูกผมไม่ได้บ้านะครับ”
“แม่ก็ไม่ได้บอกว่าลูกแกบ้า แต่ที่พูดเนี่ยเพราะเป็นห่วง” คุณนิภามีเจตนาดี ไม่อยากให้หลานชายที่รักถลำลึกไปมากกว่านี้
“รันเขาไม่ยอมหรอกครับ” ศรุตกลัวลูกชายโกรธมากกว่า
“เอาเถอะ ตามใจแก จะดีจะชั่วมันก็หลานฉัน ฉันรับได้หมดแหละ” คุณนิภาปลงตก
“เอาเป็นว่าผมจะลองเปิดรับสมัครพี่เลี้ยงคนใหม่ดูครับ เผื่ออะไรๆ มันจะดีขึ้น” ศรุตพูดทิ้งท้ายก่อนเดินขึ้นชั้นสองไปหาบุตรชาย ประตูห้องเปิดแง้มเล็กน้อย ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศเล็ดรอดผ่านช่องลม ศรุตสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด เรียกความมั่นใจก่อนเผชิญหน้ากับเด็กชายวัยเจ็ดขวบ
“รันลูก” ศรันไม่หันตามเสียงเรียก นั่งกอดอกทอดสายตามองหน้าต่างตลอดเวลา ศรุตค่อยๆ ทิ้งตัวนั่งลงเคียงข้าง มือหนาลูบศีรษะทุยอย่างรักใคร่
“เป็นไงบ้างลูก พ่อไม่อยู่บ้านสองอาทิตย์ หนูทำอะไรบ้าง” เขาพยายามชวนคุย
เงียบ… เด็กน้อยไม่ตอบสนองแต่อย่างใด
“พ่อมีของฝากมาให้รันเยอะเลยน้า ทั้งขนมและของเล่น รันอยากไปดูไหม” คนเป็นพ่อหลอกล่อ หวังให้ลูกแสดงท่าทีตื่นเต้น ศรันไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งของเหล่านั้น เด็กชายดันตัวพ่อออกห่างแล้วล้มตัวลงนอน
เป็นสัญญาณบอกให้รู้ทางอ้อมว่าต้องการอยู่คนเดียว ศรุตยืนมองลูกชายแน่นิ่ง ศรันแกล้งทำทีนอนหลับตาทั้งๆ ที่ยังไม่ง่วง รอจนกว่าร่างสูงโปร่งของพ่อจะหายไป เด็กชายจึงลืมตาลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงตามเดิม
“เชอะ!”