Episode 1
แสงตะวันในยามรุ่งอรุณสาดส่องลงบนกระทบตามตึกรามบ้านช่องของผู้คน เป็นดั่งสัญญาณเตือนให้รับรู้ถึงการเริ่มต้นวันใหม่ ซึ่งแม้ว่าตอนนี้พระอาทิตย์จะเพิ่งขึ้นโผล่พ้นจากขอบฟ้า เพื่อปลุกให้ผู้คนตื่นจากหลับใหล แต่กลับมีอีกหลายคนที่ตื่นขึ้นมาทำสิ่งต่าง ๆ ตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันได้ส่องแสง
ดั่งเช่นเจ้าของร่างระหงในวัย 22 ปี อย่าง อลิชา หรือที่ใคร ๆ ต่างเรียกเธอในนามของ อลิซ คุณหนูของบ้านหลังนี้ เธอเป็นบุตรสาวบุญธรรมของ ชาร์ค ดาร์เรน มาเฟียวัยเกษียณลูกครึ่ง ฮ่องกง-รัสเซีย ที่ได้ภรรยาเป็นคนไทย แต่เธอดันมาเสียไปทั้ง ๆ ที่ลูกชายของชาร์คอายุยังไม่ถึง 10 ขวบ
“คุณอลิซไม่ต้องทำก็ได้นะคะ เรื่องพวกนี้ให้ป้าทำเองเถอะค่ะ” ป้าบัว หัวหน้าแม่บ้านเดินเข้ามาห้ามปรามอลิชาที่กำลังจัดโต๊ะอาหารทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่หน้าที่ของเธอ
แถมตั้งแต่เช้ามานี้อลิชายังเข้าครัวทำอาหารเองอีกต่างหาก ซึ่งเป็นภาพที่เหล่าแม่บ้านของที่นี่จะเป็นเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าทุกคนจะพยายามห้ามเธอ แต่ทว่าหญิงสาวยังคงดื้อรั้นไม่ฟัง จนทำให้ทุกคนต่างเอือมระอาเธอ
“เสียงดังอะไรแต่เช้ากัน?” เสียงทุ้มแหบของชายชราในวัย 65 ปี เอ่ยขึ้นพร้อมปรากฏร่างของเขา ให้ทุกคนได้เห็น
“คุณท่าน” อลิชารีบตรงเข้าไปพยุงชาร์คผู้เป็นพ่อบุญธรรมให้เข้ามานั่งลงยังเก้าอี้ประจำ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จนทำให้คนที่มองดูเธออยู่ต่างพากันระบายยิ้มออกมาตาม ๆ กัน
“คุณท่านอะไรอีก เมื่อไรเราจะเรียกพ่อว่าพ่อสักที” ชาร์คเอ่ยถามอลิชาด้วยความเอ็นดู เขาจำได้ว่าเธอมักจะเรียกเขาว่าพ่อเสมอ จนวันที่ลูกชายของเขาจะไปเรียนต่างประเทศ สรรพนามที่ใช้เรียกเขาก็เปลี่ยนไป
“ไม่ได้ค่ะ คุณท่านเป็นผู้มีพระคุณกับอลิซ แค่รับเลี้ยงอลิซก็ดีใจแล้วค่ะ ขืนให้เรียกคุณท่านว่าพ่ออีก ชีวิตนี้อลิซคงคืนหนี้บุญคุณไม่หมดแน่เลยค่ะ”
“นั่นสิ ชีวิตคืนหนี้บุญคุณไม่หมด” ชาร์คส่งมือไปลูบศีรษะของอลิชาอย่างเบา ๆ พร้อมเอ่ยราวกับละเมอออกมา
“มาค่ะ ทานข้าวกันดีกว่าค่ะ หนูเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เต็มเลยค่ะ” อลิชาเอ่ยออกมาอย่างภูมิใจนำเสนอ ซึ่งท่าทีของเธอทำให้ทุกคนต่างพากันหัวเราะออกมาเล็กน้อย
อลิชาที่ถูกเลี้ยงมาอย่างกับลูกคุณหนู แต่กลับไม่มีนิสัยของลูกคุณหนูติดมาเลยสักนิด อีกทั้งเธอเป็นเหมือนกับเรื่องราวดี ๆ ของที่นี่ เพราะตั้งแต่อลิชามาอยู่ที่นี่ เสียงหัวเราะในบ้านหลังนี้ก็ดังออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“ได้ ๆ ตักมาเลยเดี๋ยวพ่อจะกินให้หมด”
“จริงนะคะ คุณท่านต้องทานเยอะ ๆ นะคะ ช่วงนี้ยิ่งสุขภาพไม่ดี ต้องยิ่งบำรุงค่ะ” อลิชาพูดพร้อมตักอาหารให้กับชาร์ค
เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะบนโต๊ะอาหารดังขึ้นอย่างเป็นระยะ บ่งบอกให้ได้รู้ว่าคนที่กำลังทานอาหารมีความสุขแค่ไหน
“อลิซหนูจะเรียนจบตอนไหน?” ชาร์คเอ่ยถามขึ้นถามกลางความเงียบที่เข้ามาปกคลุมได้เพียงไม่กี่นาที
“อีก 10 วันค่ะ สอบเสร็จก็เรียนจบแล้วค่ะ”
“แล้วอยากทำงานที่ไหน?”
“ยังไม่รู้เลยค่ะ”
“งั้นก็ไม่ต้องทำ”
“ไม่ได้นะคะ อลิซไม่อยากเกาะคุณท่านแล้ว” อลิซเอ่ยออกมาอย่างอ้อน ๆ ทำเอาชาร์คที่แพ้ทางเธอหัวเราะออกมาอย่าชอบใจไม่ต่างจากเหล่าแม่บ้านและคนสนิทของเขา
อีกฟากฝั่งของทวีป
เจ้าของเรือนร่างที่มีแต่กล้ามเนื้อมัดซึ่งเรียงตัวกันอย่างสวยงามได้ขยับกายลุกขึ้นจากเตียงนอนที่เขาพึ่งนอนไปได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง เนื้อตัวที่มีรอยสักขนาดใหญ่ตั้งแต่หน้าอกถึงแผ่นหลังของเขา แสดงความหน้าเกรงขามออกมาให้ได้เห็นสมกับที่เขาเป็นถึงมาเฟียที่ใคร ๆ ก็ต่างไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อของเขาออกมา
“นายท่านครับ” เฟยหลง ลูกน้องคนสนิทที่มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าบอดี้การ์ดและเป็นมือซ้ายของอีกฝ่ายเอ่ยเรียกนายเหนือหัวของเขาออกมา ในขณะที่ก้มใบหน้าลงอย่างไม่กล้าจะมองอีกฝ่าย
เขารู้ตัวเองว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่ควรเข้ามารบกวนอีกฝ่าย แต่เพราะเรื่องสำคัญในตอนนี้ทำให้เฟยหลงจำใจต้องเดินเข้ามายังห้องพักของอีกฝ่าย
“มีอะไร?” เสียงทุ้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และอำนาจดังขึ้น ในขณะที่เจ้าของเสียงได้หันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมานอกจากรังสีอำมหิตเท่านั้น
ฌอห์ณ ดาร์เรน หรือที่ทุกคนต่างรู้จักเขาในนามของ ดาร์เรน มาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ที่คลุมธุรกิจสีเทามากมายเอาไว้ในมือ ไม่ว่าจะเป็นการค้าของเถื่อน ค้าอาวุธ กาสิโนที่ทั้งถูกและผิดกฎหมาย และไหนจะไนต์คลับหรู ที่เขายังเป็นเจ้าของอีก แต่ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเรียกชื่อเขาโดยตรง
“ตามหาคนที่ช่วยนายท่านเจอแล้วครับ” เฟยหลงเอ่ยรายงานออกมาทั้ง ๆ ที่ไม่คิดจะเงยใบหน้าขึ้นมองฌอห์ณเลยแม้แต่น้อย
ซึ่งคำพูดของเฟยหลงทำให้ฌอห์ณจับลงตรงเอวของตัวเองที่ตอนนี้มีผ้าพันแผลเอาไว้ เขาจำเหตุการณ์เมื่อสองวันก่อนได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าไม่มีผู้หญิงคนนั้นเขาคงได้ตายไปแล้ว
“อืม ตอบแทนกลับไปดี ๆ” ฌอห์ณเอ่ยด้วยเสียงเย็นชาเหมือนอย่างที่เขาทำมันเสมอ
“ทางนั้นเรียกร้องอยากให้เธอแต่งงานกับนายท่านครับ”
“…” หลงเฟยเงยใบหน้ามองนายของเขาที่เอาแต่เงียบไม่พูดอะไรออกมา ก่อนจะก้มหน้าลงอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะไม่พอใจ
“ครับ…ที่ไทยส่งข่าวมาบอกว่าคุณท่านอาการเริ่มแย่ลง อาจจะอยู่ได้ไม่ถึงเดือน”
“รู้แล้ว อาทิตย์หน้าฉันจะกลับไทย”
อาทิตย์เศษผ่านไป
วันนี้อลิชามีสอบเป็นวิชาสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงเช้าของวัน ทำให้หญิงสาวที่สอบเสร็จแล้วรีบกลับมาบ้านด้วยความดีใจ เพื่อจะบอกข่าวการเรียนจบให้กับชาร์คได้ฟัง
แต่ทันทีที่เธอเดินมาถึงหน้าบ้าน อลิชาก็ต้องตกใจ ดวงตากลมโตมองตรงไปยังรถโรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่ที่พากันเดินออกมาจากตัวบ้านด้วยความตกใจ ก่อนเธอจะตั้งสติได้
“ป้าบัว เกิดอะไรขึ้นคะ?” อลิชาเดินเข้าไปหาป้าบัวก่อนเอ่ยอย่างร้อนใจ
แต่ทันทีที่ได้เห็นร่างของชาร์คที่ถูกเข็นออกมารอขึ้นรถพยาบาล อลิชาก็ได้แต่มองด้วยหัวใจที่ถูกบีบรัด มือเธอชาไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อเช้าก่อนเธอจะไปโรงพยาบาล ชาร์คยังดี ๆ อยู่เลย แต่ทำไมตอนนี้กลับเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
“คุณอลิซ คุณท่านค่ะ คุณท่านอยู่ ๆ ก็หมดสติแล้วหยุดหายใจ” ป้าบัวพูดพร้อมน้ำตา ทุกคนต่างตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งไม่ต่างจากอลิชาที่ได้ยินแบบนั้น เธอทั้งตกใจทั้งกลัวไปหมด
“เดี๋ยวค่ะ หนูไปกับคุณท่านได้ไหมคะ?” อลิชาเดินเข้าไปหาพยาบาลที่ดูแลชาร์คก่อนเอ่ยออกมา ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงแต่พยักหน้ารับเท่านั้น
อลิชาขึ้นมาบนรถพยาบาลแล้วเธอก็เอาแต่กำมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่ พร้อมพยายามบีบเพื่อเรียกให้อีกฝ่าตื่นขึ้นมา อลิชาเอาแต่มองใบหน้าของชาร์คผ่านม่านน้ำตา
“คุณท่านต้องไม่เป็นอะไรนะคะ ถ้าคุณท่านเป็นอะไรไปอลิซจะอยู่ยังไงคะ?” อลิชาเอ่ยด้วยเสียงสะอื้นออกมา
“คนไข้ชีพจรดีขึ้น” เสียงของหมอที่ดูแลชาร์คเอ่ยขึ้นมาเพื่อแจ้งให้พยาบาลทราบ แต่สิ่งที่เธอพูดทำให้อลิชาดีใจไม่น้อย
วันนี้เธอตั้งใจมาบอกเรื่องเรียนจนกับชาร์ค แต่ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้อลิชาแทบจะทำอะไรไม่ถูก
หลังจากมาถึงโรงพยาบาลแล้ว อลิชาก็เอาแต่ยืนเฝ้าสลับกับเดินไปเดินมาหน้าห้องฉุกเฉินเพื่อรอฟังข่าวจากหมอ แม้ว่าก่อนหน้านี้หมอจะบอกให้เธอทำใจ แต่อลิชาเชื่อว่ามันมีปาฏิหาริย์ แม้มันจะเลือนรางก็ตาม