‘ฉิบหาย’ ไม่มีคำไหนเหมาะกับสถานการณ์ที่เชกำลังเผชิญอยู่เท่าคำนี้อีกแล้ว….
เชวางสายพี่โปรดไปได้สิบนาที แต่ตอนนี้เขายังสติแตกอยู่ หัวใจของเชมันเต้นช้าลงจนเขารู้สึกได้ สมองว่างเปล่าชั่วขณะ ไม่รู้จะคิดมากเรื่องไหนก่อนดี ระหว่างพี่โปรดรู้เรื่องแล้วหรืออีกฝ่ายมีคลิปนั้น พี่โปรดมีคลิปจริงหรือเปล่า เชไม่รู้…แต่เขาไม่อยากเสี่ยง
จังหวะเดียวกันนั้น เสียงเคาะห้องก็ดังขึ้น นั่นทำให้เชหันขวับมองไปทางต้นเสียงทันที ข้อเสียของห้องนี้คือไม่มีตาแมวให้ส่อง ฉะนั้นทางเดียวที่เขาจะรู้ว่าใครมาหาคือต้องเดินไปเปิดประตูดู
“เป็นไร ทำหน้ายังกับเห็นผี” เชถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เมื่อเห็นว่าเป็นเพื่อนเขาเองที่เดินมาเคาะห้อง
ตอนแรกเชคิดว่าเป็นพี่โปรด เพราะเราเพิ่งวางสายกันไปเพียงไม่นาน เขาจึงกลัวว่าอีกฝ่ายจะย้อนกลับมา แต่ก็ลืมไปเสียสนิทว่าอีกฝ่ายเป็นคนนอก ไม่สามารถเข้ามาภายในหอนี้เองได้
“เปล่า….มึงมีไรวะ” เชถามไอ้ซัน
“นี่ก็เย็นแล้ว ไปกินข้าวกันมึง”
เขาขอเวลาเพื่อนประมาณสิบห้านาทีเพื่อที่จะได้อาบน้ำ เปลี่ยนชุดใหม่ ก่อนจะลงมากินข้าวกับไอ้ซันแถวหน้าหอ มันเป็นร้านอาหารตามสั่ง ตลอดการลงลิฟต์เชเอาแต่ใจลอย ในหัวคิดแต่เรื่องของพี่โปรดจนหลายครั้งที่ไอ้ซันต้องเรียกชื่อเพื่อให้เชหลุดจากภวังค์
สิ่งที่เชกำลังทำอยู่ในขณะนี้ คือเขากำลังประเมินว่าพี่โปรดพูดจริงหรือแค่อำเล่นกันแน่ เชกำลังคาดเดาทั้ง ๆ ที่ไม่รู้จะเอาอะไรมาเป็นตัวชี้วัด เขากำลังใช้สัญชาตญาณตัวเองล้วน ๆ
“มึงจะกินอะไรอะ” เมื่อมาถึงร้านอาหาร ไอ้ซันก็เอ่ยถามเพราะอีกฝ่ายรับหน้าที่เป็นคนจดเมนู
“เอาข้าวหมูกะเทียม ไข่ดาว”
“โอเค”
ระหว่างรอแม่ค้าทำอาหารให้ ไอ้ซันก็ชวนคุยเรื่อยเปื่อย หลัก ๆ ก็คุยเรื่องการกลับบ้าน จะทำอะไรดีในช่วงปิดเทอมนี้ซึ่งเชก็ฟังบ้าง ไม่ได้ฟัง เพราะเขามีเรื่องให้ขบคิด
มีอยู่หลายครั้งที่เชจ้องหน้าเพื่อนค้างไว้ อ้ำอึ้งคิดอยากจะลองปรึกษาเรื่องของตัวเองกับเพื่อนดู แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มเล่าตรงไหนดี สุดท้ายจึงทำได้แค่ทำหน้าอมทุกข์ จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออกแถมยังกินข้าวไม่ลงอีกด้วย
“เป็นไร ทำไมกินน้อยจัง ไม่สบายเหรอ?” ไอ้ซันเอ่ยถาม หลังเห็นเชรวบช้อนเก็บแล้วทั้งที่เพิ่งกินได้ไม่กี่คำ
“หรือว่าป้าเขาทำไม่อร่อย” มันเสียงแผ่ว
“เปล่าหรอก ไม่ค่อยหิวอะ เมื่อเช้ากูก็กินข้าวไปแล้ว”
“มึงนี่นะกินข้าวเช้า” มันถามต่อด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“อือ…ก่อนพี่โปรดจะกลับ เขาทำอาหารไว้ให้แล้วยังบังคับให้กูกินอีกด้วย”
“ไม่รู้จะประหลาดใจเรื่องไหนก่อนดี ระหว่างพี่โปรดทำอาหารเป็นกับเขาบังคับมึงกินข้าวเช้าได้” ไอ้ซันว่า
“…..”
“แต่กูนับถือพี่โปรดเลยว่ะ ขนาดกูบังคับให้มึงกินข้าวเช้าเกือบทุกวัน ยังไม่เห็นมึงทำตามเลยสักครั้ง เขาพูดกับมึงอีท่าไหนเนี่ย”
“มึงก็น่าจะรู้นี่ว่าพี่โปรดเขาเป็นคนยังไง”
“นั่นสินะ…ข้าวเช้ามันสำคัญนะ มึงต้องกินทุกวันรู้ไหม?” พอได้โอกาส ไอ้ซันก็รีบเอ่ยปากสอนราวกับเป็นพ่อคนที่สองของเชทันที
“ก็กูไม่หิวอะ”
“เพราะมึงทำแบบนี้บ่อยจนร่างกายมันชินไงเล่า”
“บ่นอีกแล้ว พ่ออีกคนของกูเหรอ” เชถาม
“ดูพูดเข้า เพราะมึงไม่ค่อยกินข้าวเช้าแบบนี้ไง ตัวถึงได้เตี้ยเนี่ย”
“สูงกว่ากูไม่กี่เซนฯ อย่ามาสอน”
“ไม่กี่เซนฯ แต่ก็สูงกว่ามึงอยู่ดีอะ” ไอ้ซันว่าพร้อมยักคิ้วใส่อย่างกวนประสาท
“โอ้โห พูดแล้วมันจี๊ด” เชพูด เขาอยากสวนกลับเพื่อน แต่ไม่รู้จะสวนว่าอะไรดี จึงทำได้แค่กำหมัดแน่น
“ถ้ามันจี๊ดมากนัก ต่อจากนี้มึงก็กินนม กินข้าวเช้าบ่อย ๆ อาจจะสูงทันกันก็ได้”
“มึงพูดเหมือนความสูงมันทำง่ายอย่างนั้นแหละ”
“ก็ต้องลองดูไง” เชไม่ได้พูดทำอะไรต่อจากนั้น เขาทำแค่เบะปากใส่เพื่อน ก่อนจะนั่งจิบน้ำระหว่างรอให้อีกฝ่ายกินข้าวเสร็จ
“เออ ซัน…กูมีเรื่องจะถามความเห็นมึงว่ะ” เชเกริ่น หลังเขาคิดออกแล้วว่าจะปรึกษาเพื่อนด้วยวิธีไหนดี
“ว่า? แต่เดี๋ยว….ขอถามก่อนว่าเรื่องซีเรียสปะ”
“ไม่ ๆ มันเป็นเรื่องของญาติกูเอง” เชโกหกหน้าตาย
“แล้วนี่สาเหตุที่ทำให้มึงหงอย ๆ ปะ”
“ก็คงงั้น”
“โอเค งั้นว่ามา”
“คือญาติกูเขามีอะไรกับคนเมาเว้ย แล้วคนเมาที่ว่าอะคือคนที่รู้สึกดี ๆด้วย หลังจากที่เขามีอะไรกันเสร็จ ญาติกูเขาก็จัดฉากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเขาคิดว่าความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ มันกำลังดีแล้ว กำลังค่อยเป็นค่อยไปเลยไม่อยากให้มีเรื่องนี้เข้ามาแทรก” เชหยุดเล่าไปครู่หนึ่ง เขาลอบสังเกตปฏิกิริยาของเพื่อนซึ่งตอนนี้ไอ้ซันก็ได้รวบช้อน จ้องหน้าเชตาเขม็งแล้ว
“เงียบทำไมล่ะ เล่าต่อสิ” ไอ้ซันพูด
“นั่นแหละ พอตื่นขึ้นมาทุกอย่างก็เป็นไปตามแผนที่ญาติกูคิดเอาไว้ แต่บังเอิ๊ญบังเอิญว่าตอนมีอะไรกันอะ คนเมามือไปโดนโทรศัพท์….แล้วมันไปกดบันทึกคลิปไว้พอดี พอเขาเช็กโทรศัพท์เลยเห็นคลิปตัวเองได้กับญาติกูแล้ว เลยทักมาหาญาติกูว่าจะเอายังไงต่อ”
เชเล่าเรื่องด้วยความประหม่า ขณะที่เล่าไปเขาก็กลัวว่าตัวเองจะหลุดหลักฐานอะไรบางอย่างออกมา จนทำให้เพื่อนจับได้
“ไอ้ญาติที่มึงว่าเนี่ย ชาย-ชาย หญิง-หญิง หรือชาย-หญิง”
“ม—ไม่รู้ว่ะ กูไม่ได้ถามมา”
“…”
“แต่ตอนนี้ญาติกูเครียดมากเลย ถ้ามึงเป็นญาติกูมึงจะทำยังไงวะ”
“อันนี้มันคือเรื่องของมึงใช่ไหม?”
“จะบ้าเหรอ! ก็ยังบอกอยู่ว่าญาติ ๆ” เชตะโกนใส่หน้าเพื่อนด้วยความตกใจ ไอ้ซันนี่ร้ายเหลือทน แอบหลอกถามเก่งไม่ต่างจากพี่โปรด แต่ยังดีที่เชยั้งปากทัน
“พูดแบบจริงจังเลยนะ ต้องย้อนถามก่อนว่าทำไมญาติมึงต้องเก็บเป็นความลับอะ”
“…..”
“ถ้าเขาไม่มีคลิป เขาก็ไม่รู้เลยนะว่าได้กันแล้ว ญาติมึงก็ไม่ต่างจากข่มขืนเขานะเว้ย”
“แต่คนเมาเขาขึ้นคร่อมก่อนนะ” เชแย้ง “โดนขึ้นคร่อมญาติกูก็ต้องมีอารมณ์ปะวะ คนนะไม่ใช่พระ”
“แต่เขาเมาไง ขอย้ำอีกทีว่าเขาเมา….” ไอ้ซันเน้นคำพูดเสียงเข้ม
“….”
“คนเมาก็ทำได้ทุกอย่างอะ เขาถึงได้บอกไงว่าอย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา เขาเมาก็แปลว่าสติไม่เหมือนเดิมแล้ว ความคิด การตัดสินใจมันไม่เหมือนเดิม มึงรู้อยู่เต็มอกว่าเขาเมา ต่อให้เขาเป็นฝ่ายขึ้นคร่อมเอง คนที่มีสติก็ต้องเป็นฝ่ายผลักออกปะวะ เพราะรู้ว่ามันยังไม่ถึงเวลา แต่ถ้าเขาแกล้งเมาก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“…..”
“มึงรู้ แต่ยังปล่อยให้ทุกอย่างเกิดขึ้น ถ้ายังไม่รู้ว่าตัวเองผิดยังไงก็ลองนึกว่าคนเมาคนนั้น เป็นรุ่นน้องมึงที่เป็นผู้หญิงสิ เขาเสียหายไหม ตัวเองผิดหรือเปล่า ตอบตัวเองให้ได้”
“…..”
“แล้วนี่จะเอาไงต่อ”
“ไม่รู้ว่ะ ต้องถามญาติกูอีกที”
“ถึงขนาดนี้แล้ว หยุดทอแรใส่กัน กูขอร้อง”
“เรื่องของญาติกูจริง ๆ”
“เล่าละเอียดระดับเอชดีขนาดนี้ ยังกล้าบอกว่าเป็นญาติตัวเองอีกเหรอวะ”
“…...”
“มึงเป็นคนโกหกไม่เก่งนะ รู้ตัวปะ?”
จริงอยู่ที่ความลับไม่มีในโลก…..แต่เชไม่คิดว่ามันจะแตกเร็วขนาดนี้
ตอนแรกเชคิดว่าจะถูกไอ้ซันด่าด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับไม่ด่า มันให้เหตุผลเพียงสั้น ๆ ว่า ‘เชโตแล้ว เรื่องมันเกิดขึ้นแล้วจึงไม่รู้ว่าด่าไปแล้วจะได้อะไร’
นั่นทำให้เชรู้สึกโล่งอกขึ้นเล็กน้อย เพราะอย่างน้อยเขาตอนนี้ก็ยังมีเพื่อนคอยให้คำปรึกษา ไม่ต้องมานั่งเก็บเรื่องเครียด ๆ ไว้คนเดียวอีกแล้ว
เรื่องของพี่โปรด…เชยังคิดไม่ออกว่าจะเอายังไงต่อ บางทีเขาอาจต้องรอดูท่าทีอีกฝ่ายก่อน พี่โปรดว่ายังไงก็ค่อยว่ากันอีกที
หลังจากกินข้าวเสร็จซันและเชก็แวะเข้าร้านสะดวกซื้อต่อ เชซื้อเสบียงพวกขนมขบเคี้ยวขึ้นมาตุนไว้ที่ห้อง เพราะเขาตั้งใจว่าคืนนี้จะเล่นเกมกับเพื่อนทั้งคืน ตามประสาเด็กปิดเทอมแล้ว เผื่อความเครียดจะลดลงบ้าง
ระหว่างนั่งรอให้โปรแกรมคอมฯโหลด เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง พอเห็นว่าเป็นใคร เชก็ถึงกับถอนหายใจ เขาไม่เคยเกลียดการรับสายพี่โปรดเลย…จนกระทั่งวันนี้ เชได้แต่นึกในใจว่าอีกฝ่ายจะไม่ยอมให้เขาหยุดคิดเรื่องของเจ้าตัวสักชั่วโมงเลยใช่ไหม
“ส—สวัสดีครับ”
[พี่อยู่ข้างล่างแล้ว ลงมารับด้วย]
“ครับ? ข้างล่างหอเชเหรอ นี่ก็ดึกแล้วนะพี่โปรดจะมาทำไม” เชถามปลายสายอย่างไม่เข้าใจ
[ใช่ ดึกแล้วก็เลยจะมานอนค้างที่นี่]
“ค้างอะไรพี่โปรด พรุ่งนี้ไม่ไปทำงานเหรอครับ”
[พี่เอาเสื้อผ้ามาแล้ว]
“…..”
[ลงมา]
เพราะปฏิเสธไม่ได้ เชก็เลยต้องลงไปรับพี่โปรดด้วยความไม่เต็มใจ เขาไม่คิดว่าเราจะได้สู้หน้ากันเร็วขนาดนี้ พี่โปรดเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย อีกฝ่ายคิดจะมาหาก็มาเลย ไม่โทรถามเชสักคำว่าพร้อมจะเจอหน้าหรือยัง
ตลอดการลงรับไปพี่โปรดจนกระทั่งเดินกลับมาที่ห้อง เราไม่ได้พูดกันเลยสักประโยค เชสาบานว่าตั้งแต่เรารู้จักกันมา ระหว่างเราไม่เคยอึดอัดเท่านี้มาก่อน
เมื่อเข้ามาในห้อง พี่โปรดก็โยนกระเป๋าเสื้อผ้าลงโซฟา อีกฝ่ายชักสีหน้านิ่งและเงียบจนเชที่เคยชินกับรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของอีกฝ่ายมาโดยตลอดถึงกับทำตัวไม่ถูก
เชรับรู้ว่าได้รังสีบางอย่างที่แผ่ออกมารอบตัวพี่โปรด มันเป็นรังสีของความไม่พอใจ มันเด่นชัดมากจนเขาไม่กล้าเข้าใกล้ จึงทำเป็นเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะคอมฯ ทำเป็นสนใจอย่างอื่นมากกว่าพี่โปรด
เกือบนาทีเชก็ได้ยินเสียงเปิดประตูระเบียง นั่นทำให้เขากลับไปมอง เพื่อที่จะพบว่าพี่โปรดไปยืนสูบบุหรี่อีกแล้ว เพียงแค่เห็นอีกฝ่ายกำลังสูบมันอยู่ คำพูดของพี่โปรดที่เคยคุยก็ผุดขึ้นมาความคิด อีกฝ่ายเคยบอกเชว่าจะสูบเฉพาะตอนเที่ยวกับตอนที่เครียดมาก ๆ เท่านั้น
แปลว่าตอนนี้พี่โปรดกำลังเครียด?
เมื่อเห็นพี่โปรดกำลังเครียดอยู่ เชก็ได้แต่ถามตัวเองว่าจะปล่อยอีกฝ่ายไว้อย่างนั้นหรือจะเดินออกไปหาดี เขาไม่รู้ความเครียดของพี่โปรด เหตุเกิดมาจากเขาหรือเปล่า เชไม่รู้ว่าตัวเองสำคัญตัวผิดไปไหม แต่สุดท้ายเขาก็ต้องทักแช็ตบอกเพื่อนว่าคืนนี้คงไม่ได้เล่นเกมด้วยแล้ว เพราะมีเรื่องต้องเคลียร์
เมื่อตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เชลุกขึ้นเขารวบรวมความกล้า เดินไปเปิดประตูระเบียงแล้วไปยืนข้าง ๆ พี่โปรดอย่างเงียบ ๆ
“ออกมาทำไม เดี๋ยวกลิ่นบุหรี่ก็ติดตัวหรอก” พี่โปรดพูดทั้งทีไม่ได้หันมองหน้ากัน ในมือของอีกฝ่ายยังคีบมันไว้อยู่ ควันบุหรี่ลอยฟุ้งไปทั่ว
“ไม่เป็นไรครับ ถ้ากลิ่นติดตัวก็ไปอาบน้ำใหม่ไง”
“แล้วออกมาทำไม”
“ก็คุยเรื่องของเราไงครับ”
“พร้อมแล้วเหรอ” คราวนี้อีกฝ่ายปรายตามองเชเล็กน้อย
“ก็คิดว่าพร้อมแล้วนะครับ” เชพูดแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อตั้งหลัก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“…”
“จริง ๆ พี่โปรดไม่ต้องมารับผิดชอบเชก็ได้นะ เชไม่เป็นไร”
“ใครบอกว่าพี่จะรับผิดชอบเรา?” พี่โปรดถามกลับ อีกฝ่ายกลั้วหัวเราะเล็กน้อยราวกับสิ่งที่เชพูดเป็นเรื่องตลก นั่นทำให้เชต้องทวนประโยคตัวเองซ้ำในใจว่าเขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า
“อ้าว….”
“เราต่างหากที่ต้องรับผิดชอบพี่ เพราะพี่เป็นฝ่ายเสียหาย”
“พ—พี่โปรดเป็นฝ่ายเสียหายงั้นเหรอครับ” เชถามอย่างงุนงง ดูเหมือนพี่โปรดจะมีความคิดแบบเดียวกับไอ้ซัน
“ใช่ พี่เสียหาย”
“แล้วจะเอายังไงครับ” เชเอ่ยถาม พอรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายต้องรับผิดชอบพี่โปรด เขาก็รู้สึกว่าพี่โปรดตัวใหญ่มาก ในขณะที่เขาตัวเล็กนิดเดียว
“…..”
“หรือพี่โปรดจะนับว่าเป็น one night stand?”
“one night stand มันต้องวิน-วินทั้งคู่สิ แต่พี่เป็นฝ่ายเสียหายและพี่ก็ไม่ต้องการอย่างนั้น” พี่โปรดส่ายหน้าปฏิเสธ อีกฝ่ายยกยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะดับบุหรี่ด้วยนิ้วมือตัวเองแล้วดันร่างเชให้ชิดติดริมระเบียง
พี่โปรดใช้แขนทั้งสองข้างกักขังร่างเชไว้ในอาณัติ ด้วยส่วนสูงที่ต่างกันเกือบสิบเซนติเมตร ทำให้เชต้องเงยหน้าขึ้นสบตาอีกคน
“…...”
“ไม่เห็นต้องทำท่ากลัวขนาดนั้นเลย ทำไม? กลัวพี่เรียกค่าเสียหายเหรอ” พี่โปรดเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ริมฝีปากอีกฝ่ายยังคงคลี่ยิ้มเหมือนคนกำลังสนุกสนาน ก่อนใช้มือข้างหนึ่งจับไหล่เชที่กำลังห่อเข้าอย่างคนเสียความมั่นใจ
“เรื่องค่าเสียหายพี่ไม่เอาหรอก บ้านรวยแล้ว พี่แค่ต้องการให้เชบอกกับทุกคน….เรื่องของเรา” พี่โปรดพูด
“แล้วจะให้เชบอกพวกเขาว่าไง” เชถาม
“แล้วเชอยากบอกว่าอะไรล่ะ?”
“…..”
“หรือเราจะให้พี่บอกเอง?” คำพูดของพี่โปรดทำเอาเชถึงกับเงียบ เราจ้องหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนอีกฝ่ายจะโน้มหน้าลงมา กระซิบข้างหูแล้วจูบข้างแก้มเชจนเกิดเสียง
“……”
“คิดเองแล้วกันว่าจะให้พี่บอกหรือเชจะเป็นคนบอกเอง”
เหตุการณ์ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากจนเชตามพี่โปรดไม่ทันแล้ว เมื่อวานเพิ่งเขินแทบตาย เพราะได้จูบพี่โปรดมาครอบครอง แต่มาวันนี้เชกลับต้องรับผิดชอบอีกฝ่าย เหตุเพราะความเมาของพี่โปรดและความไม่รู้จักหักห้ามใจของตัวเขาเอง
เมื่อเราคุยกันที่ริมระเบียงเสร็จ เราก็กลับเข้ามาคุยในห้องต่อ เชได้แต่นั่งมองพี่โปรดยืนจัดการนำเสื้อผ้าตัวเองออกจากกระเป๋า พอเขาได้เห็นสัมภาระที่พี่โปรดขนมาค้างคืนนี้ เชก็ได้แต่นึกในใจว่านี่ไม่ใช่แค่การค้างคืนแล้ว แต่อีกฝ่ายตั้งใจมาลงหลักปักฐานที่ห้องเชเลยมากกว่า
พี่โปรดไม่ได้เอามาแค่ชุดสองชุด แต่อีกฝ่ายขนมาหลายชุด ทั้งชุดนอน ชุดทำงาน ชุดใส่เล่น เรียกได้ว่าสามารถอยู่ได้เป็นอาทิตย์ ๆ แบบไม่ต้องใส่เสื้อผ้าซ้ำเลยด้วยซ้ำ เท่านั้นยังไม่พอ…พี่โปรดยังพกกระเป๋าใบเล็กแยกมาด้วย ซึ่งข้างในกระเป๋าก็บรรจุพวกครีม ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวแยกมาต่างหาก
เกินเรื่องมาก….เชเพิ่งรู้ว่าพี่โปรดก็เป็นผู้ชายเจ้าสำอางเหมือนกัน
“พี่โปรดจะนอนนี่จริงเหรอครับ” เชถามแขกของห้องอีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายจะนอนค้างที่นี่จริง ๆ
“พี่ขนของมาขนาดนี้แล้ว เราคิดว่าพี่ล้อเล่น?” พี่โปรดถามกลับ ขณะที่เจ้าตัวกำลังจัดการนำเสื้อผ้าออกมาใส่ไม้แขวน จัดเรียงเข้าตู้ที่เชไม่ได้ใช้ แขวนไว้อย่างเป็นระเบียบ
“เปล่าครับ…เชก็แค่คิดว่ามันไม่มีเหตุผลเลยที่พี่โปรดจะมานอนค้างที่นี่”
“แล้วทำไมต้องมีเหตุผล”
“ก็…..
“แต่ก่อนอาจจำเป็นต้องมี แต่ตอนนี้พี่ว่าไม่ต้องก็ได้มั้ง พี่สามารถมานอนกับเชตอนไหนก็ได้ เพราะเราสองคนเป็นผัวเมียกันแล้ว” พี่โปรดเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ เหมือนเรากำลังพูดถึงดิน ฟ้า อากาศกัน แต่คำว่าผัวเมียที่อีกฝ่ายพูดออกมา กลับกระแทกเข้าหูเชเต็ม นั่นทำให้เขาถึงกับตกใจจนต้องเบิกตากว้าง
“ค—คำว่าผัวเมีย มันเอาไว้ใช้สำหรับคนที่อยู่กินด้วยกันแล้ว…”
“ก็ใช่ไง เรากำลังเริ่มใช้ชีวิตแบบนั้นแหละ”
“…..”
“หรือเชคิดว่าพี่พูดผิด?” พี่โปรดย้อนถาม
เป็นอีกครั้งที่เชเถียงพี่โปรดไม่ได้….ไม่ใช่เขาเถียงอีกฝ่ายไม่ทัน แต่เชเถียงพี่โปรดไม่ได้เลยต่างหาก
มันเป็นอย่างนี้ทุกที….เวลาเชคุยกับพี่โปรด เขาต้องตั้งสติเป็นอย่างมาก ยิ่งถ้าเรากำลังคุยเรื่องจริงจังอยู่ เชยิ่งต้องตั้งสติมากกว่าเดิม เขาต้องคิดตามพี่โปรดให้ทัน เถียงให้ได้ เพราะไม่งั้นก็จะต้องแพ้แบบนี้อยู่เรื่อย
“เถียงสิว่าสิ่งที่พี่พูดมันไม่ถูก” พี่โปรดว่า ตอนนี้เจ้าตัวได้หยุดนำเสื้อผ้าออกมาใส่ไม้แขวนแล้ว พี่โปรดหยุดการกระทำทุกอย่าง เปลี่ยนมาจ้องหน้าเชแทน อีกฝ่ายยืนกอดอก จ้องเชด้วยสายตาเรียบนิ่งราวกับจะเอาคำตอบให้ได้ ฝั่งเชพอถูกคาดคั้นเช่นนั้น เขาก็ทำได้แค่กะพริบตา ทำตัวไม่ถูกและไม่รู้จะเริ่มพูดยังไงดี
“ค—คือเชคิดว่า….”
“คิดว่า?”
“เชว่าเราเริ่มไปทีละสเต็ปดีไหมครับ แบบลองศึกษาดูใจกันไปก่อน ถ้ามันโอเคเราค่อยอยู่กิน…..” เชพยายามเสนอความคิด แต่ยังไม่ทันพูดจบประโยค พี่โปรดก็ยกมือขึ้นห้ามให้เชหยุดพูด
“ถ้าเชพูดแบบนี้ แปลว่าเราจะไม่รับผิดชอบพี่ใช่ไหม”
“ไม่ใช่นะครับ!” เชรีบปฏิเสธ
“หรือว่าเชไม่เชื่อว่าพี่มีหลักฐานเมื่อคืนนี้จริง ๆ?”
“ไม่ใช่ครับ….”
“พี่มีคลิปนะ อยากดูไหม?”
“พี่โปรดครับ! เชเชื่อ” เชร้องห้ามเสียงหลง เมื่อพี่โปรดทำท่าควักโทรศัพท์ออกมาเปิดคลิปที่ว่าให้ดูจริง ๆ ซึ่งเชไม่ต้องการเช่นนั้น เขาจำเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ได้แม่นจนอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องเปิดคลิปย้ำความทรงจำด้วยซ้ำ
“ไม่อยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจของพี่เหรอ?”
“ไม่ครับ ไม่จำเป็น”
“โอเค งั้นกลับมาคุยเรื่องนี้ก่อน….สำหรับเราเรื่องของเรามันข้ามขั้นมาแล้วนะเช เราจะมาเริ่มทีละสเต็ปอะไรตอนนี้”
“ก็….เชคิดว่าเรื่องของเรา มันเร็วไป” เชว่าเสียงแผ่ว เขาหลุบตามองพื้นแทนที่จะสบตากับพี่โปรดตรง ๆ
“แล้วอะไรที่ว่าเร็ว? เราเอาอะไรมาวัดเป็นมาตรฐาน”
“…..”
“ตอบพี่ไม่ได้อีกแล้ว”
“พี่โปรด….” เชเรียกชื่อพี่โปรดเสียงแผ่ว เขาได้แต่ร้องไห้ในใจ หลังถูกอีกฝ่ายไล่ต้อนให้จนมุมอีกแล้ว เป็นอีกครั้งที่เชไม่มีคำตอบให้
“เพราะมันไม่มีอะไรเป็นตัวชี้วัดมาตรฐานมาตั้งแต่แรก เพราะงั้นเรื่องของเราก็ไม่มีคำว่าช้าหรือเร็วเกินไปหรอกนะ”
“…...”
“สำหรับเราตอนนี้เรื่องศึกษาดูใจมันไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว เราค่อยมาว่ากันทีหลังก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญและพี่กำลังให้ความสนใจมากที่สุด…คือเชจะกำกับให้พี่อยู่ในสถานะไหนมากกว่า”
“…..”
“แล้วจะมาบอกว่าเป็นคนคุยไม่ได้นะ เพราะพี่ไม่เอา พี่ต้องได้มากกว่านั้น….”
“โอเคครับ! โอเค…เชเข้าใจแล้ว”
“คราวนี้รู้หรือยังว่าพี่ต้องการเป็นอะไร” พี่โปรดถาม
“ครับ รู้แล้ว ไว้ถ้าได้รวมตัวกันอีกตอนไหน ผมจะเป็นคนบอกพวกเขาเอง”
“ดีมาก” พอเชว่าเช่นนั้น พี่โปรดก็กระตุกยิ้มอย่างพอใจ
ตอนนี้พี่โปรดแยกตัวไปอาบน้ำแล้ว เชก็กำลังนอนรออยู่บนเตียง ระหว่างรออีกคน เขาก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา เงยหน้าขึ้นมองเพดานห้องอย่างใช้ความคิด พยายามตั้งคำถามกับตัวเองอยู่หลายครั้งว่าจะเอายังไงต่อดีและแต่ละคำตอบที่คิดได้ มันก็ยังไม่ค่อยโดนใจเท่าไรนัก
เสียงน้ำกระทบพื้นกระเบื้องดังขึ้นเป็นระยะ ๆ ก่อนจะหยุดลงในที่สุด เพราะไม่เคยได้ใช้เวลาร่วมกันแบบนี้ ทำให้เชเกิดความกังวล ทุกอย่างมันใหม่ไปหมดสำหรับเรา เขาไม่รู้จะวางตัวยังไงดี ก่อนนอนควรคุยอะไรกับพี่โปรดไหมหรือทำเป็นเฉยเมย ต่างคนต่างใช้ชีวิตของตัวเอง
จังหวะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เชก็ได้ยินเสียงพี่โปรดเปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ ด้วยความตกใจเขาจึงรีบพลิกตัว นอนหันข้าง มือรีบคว้าหมอนเข้ามากอดหมับแล้วแสร้งหลับทันที
ตอนนี้หัวใจเต้นแรงมาก เหงื่อเริ่มผุดขึ้นตามกรอบหน้า เพราะกลัวถูกพี่โปรดจับได้ จริง ๆ เชก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนี้ ทุกอย่างมันเป็นไปโดยอัตโนมัติ เพราะพี่โปรดเห็นไปแล้วว่าเชกำลังหลับ จะให้หยุดกลางคันก็ไม่ได้ สุดท้ายเขาจึงก็ต้องแกล้งหลับต่อไป
ภาวนาขอให้พี่โปรดจับไม่ได้ก็พอ….
วันนี้เชเลือกที่จะนอนอีกฝั่ง เขานอนฝั่งด้านในซึ่งมันจะมีฝั่งหนึ่งที่ติดกำแพงห้อง ส่วนพี่โปรดจะได้นอนฝั่งด้านนอกที่จะติดกับทางเดิน
ขณะที่กำลังหลับตาแสดงละครอยู่ เชได้ยินเสียงพี่โปรดเดินไปมา ฟังจากเสียงเปิดตู้เสื้อผ้า เสียงรูดซิปกระเป๋าก็พอเดา ๆ ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังแต่งตัวอยู่ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงค่อย ๆ แอบลืมตาขึ้น มองไปยังอีกคนที่กำลังนุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียวอยู่
จริงอยู่ที่เมื่อคืนตอนเรากำลังทำเรื่องอย่างว่า เชเป็นฝ่ายปลดกระดุมเสื้อพี่โปรดออก แต่ด้วยความมืดในห้อง ทำให้เขามองอะไรไม่ค่อยเห็นนัก แต่พอมาวันนี้พี่โปรดกำลังแต่งตัวท่ามกลางไฟที่สว่างโรจน์ทั่วห้อง ทำให้เชสามารถเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
เชหายใจสะดุด เมื่อสายตาที่ไม่รักดีของเขากำลังแอบมองกล้ามหน้าท้องของพี่โปรด มัดกล้ามแขนของอีกฝ่าย ดูเหมือนพี่โปรดจะเป็นคนที่รักษาร่างกายเป็นอย่างดี อีกฝ่ายคงจะเข้ายิมบ่อยเป็นแน่ ถึงได้มีร่างกายที่เฟิร์มขนาดนี้
“…!!”
แอบมองได้ไม่ทันไร จู่ ๆ พี่โปรดก็หันมามองทางเชอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นั่นทำให้คนที่แสร้งหลับถึงกับสะดุ้งสุดแรง ปิดเปลือกตาลงแทบไม่ทัน
คำว่า‘ฉิบหาย’แล้ว ผุดขึ้นในหัวเชอีกครั้ง เพราะกลัวว่าพี่โปรดจะจับได้ เพื่อให้ทุกอย่างดูสมจริงว่าเชหลับไปแล้วเขาจึงแสร้งพลิกตัว นอนหันหน้าให้กำแพง หันหลังให้อีกฝ่าย
เวลาผ่านไปหลายนาทีพี่โปรดแต่งตัวเสร็จแล้ว แต่เชกลับไม่ยอมหลับสักที อาจเพราะเขานอนมาตลอดทั้งวัน ร่างกายถึงยังตื่นตัวขนาดนี้
เชรับรู้ได้ถึงแรงยุบตัวข้างกายและไอเย็นจากอีกคน เขาแอบเกร็งเมื่อรู้ว่าพี่โปรดกำลังขยับตัวเข้ามาใกล้ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ มันไม่ได้ดีต่อเชแน่ ๆ
“หลับไปแล้วเหรอ” พี่โปรดกระซิบถาม อีกฝ่ายขยับหน้าเข้ามาใกล้มากจนเชใจกระตุก
“……”
“แย่จัง ว่าจะชวนเล่นปูไต่” แม้เชจะเงียบ พี่โปรดก็ยังพูดต่อ แต่พอเขาไม่ตอบโต้ อีกฝ่ายถอยออกไป พี่โปรดเดินไปปิดไฟห้องแล้วกลับมาขึ้นเตียง
มันควรจะต่างคนต่างนอน แต่ทว่าพี่โปรดกลับไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น อีกฝ่ายกำลังสนุกกับอะไรบางอย่าง พี่โปรดเงียบไปไม่ถึงนาที เชก็มีเหตุต้องสะดุ้งอีกครั้ง เมื่อจู่ ๆ เขาถูกพี่โปรดจับเข้าที่สะโพก เท่านั้นยังไม่พออีกฝ่ายทำท่าจะขย้ำมันอีกด้วย นั่นทำให้เขาไม่สามารถอยู่เฉยได้อีกต่อไป
เมื่อเป็นเช่นนั้นเชจึงทำเป็นขยับตัว เหมือนคนนอนดิ้น เขาอาศัยจังหวะที่กำลังเคลื่อนไหว ปัดมืออีกคนออกจากสะโพกตัวเอง
เรากำลังเล่นสงครามประสาท เพราะพี่โปรดจะรู้จักไม่ยอมแพ้ พออีกฝ่ายแตะสะโพกไม่ได้ก็เปลี่ยนมาลูบโคนขาเชแทน พี่โปรดตั้งใจจะทำให้เชตื่น อีกฝ่ายจงใจทำให้เขารู้สึก แต่เชก็ยังสู้ยิบตา เขาไม่ยอมแพ้ จึงจงใจดิ้นอีกครั้ง คราวนี้เชดิ้นแรงกว่าเดิมจนอีกนิดจะถีบอีกคนลงเตียงแล้ว
“สู้เหรอ ได้!”
“พ—พี่โปรด! ชิดเกินไปแล้ว” ตั้งใจจะสู้ได้ไม่ทันไร เชก็ต้องยอมแพ้กลางคัน เมื่อเขาถูกพี่โปรดสวมกอดแน่นเกินไป
“ไอ้ลามก”
“เชไม่ได้แอบดู!”
“นี่ไง ยังไม่ได้ว่าอะไรเลย หลักฐานมัดตัวแล้ว!”
พี่โปรดกอดร่างเชจากด้านหลัง เท่านั้นยังไม่พอยังเอาขามาเกี่ยวกันด้วย นั่นทำให้เขาแทบขยับตัวไม่ได้ เพราะถูกพี่โปรดกอดแน่นเกินไป แผ่นหลังเชแนบชิดไปกับแผ่นอกของอีกฝ่าย ลมหายใจร้อนกรุ่นของพี่โปรดก็กำลังรดหลังคอเช ทำเอาเขาถึงกับขนลุก
มาจากความจงใจล้วน ๆ เชพยายามขยับตัวหนีแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะตัวเขาชิดติดกำแพงห้องแล้ว สุดท้ายจนต้องยอมยกธงขาวแทน
“พี่โปรด อย่าแกล้ง เชยอมแล้วครับ ๆ”
“ใครว่าพี่แกล้ง? ตอนนี้พี่กำลังหนาวต่างหาก” พี่โปรดยังเล่นไม่เลิก อีกฝ่ายพูดเสียงสั่นอย่างจงใจ ประหนึ่งว่าเรากำลังนอนอยู่ขั้วโลกเหนือด้วยกัน
“ถ้าหนาวมาก งั้นเดี๋ยวเชไปเพิ่มแอร์ให้ได้” เชว่า ตั้งท่าจะลุกขึ้นไปปรับอุณหภูมิแอร์ แต่ก็ถูกพี่โปรดจับกดให้นอนตามเดิม
“ไม่ต้องเลย”
“……”
“นอนกอดกันดีกว่า ร่างกายเราจะได้คุ้นกันไว ๆ”