2

3786 คำ
“กลับได้ใช่ไหม?”                 “ได้ครับ สบายมาก ไอ้ซันทรงตัวดี ๆ สิวะ! กูจะล้มแล้วเนี่ย” ยังคุยกับพี่โปรดไม่ทันเสร็จ เชก็ต้องหันกลับมาโวยวายเพื่อนตัวดี หลังอีกฝ่ายทำท่าจะทิ้งตัวลงกับพื้นตลอดเวลา ทำเอาเชต้องรับหน้าที่หนัก เพราะไอ้ซันมันตัวใหญ่กว่าเขา จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เชจะแบกเพื่อนคนนี้กลับหอ โดยที่ไม่มีใครไปกองที่พื้นเสียก่อน                 เอาเข้าจริงในตอนนี้เชก็ไม่ได้มีสติเต็มร้อยเหมือนตอนขามา เขาก็เมาแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าให้เทียบกับไอ้ซันเขายังดีกว่าอยู่มาก เพราะเชยังพูดจารู้เรื่อง ยังสามารถกลับหอเองได้ แต่ก็อาจจะมีเดินเช ๆ บ้าง                  เชไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมซันถึงได้คะยั้นคะยอให้เขามาเที่ยวด้วยกันนัก ที่แท้มันก็กลัวว่าจะไม่มีคนแบกมันกลับนี่เอง เชได้แต่ถอนหายใจอย่างระอา ห่างกันแค่ไปแป๊บเดียว ไอ้ซันก็เมาแอ๋จนได้                 “พี่ว่าพี่ไปส่งพวกเราดีกว่า”                 “ไม่เป็นไรครับ ๆ เดี๋ยวเชพาไอ้ซันกลับแท็กซี่เอง” เชรีบปฏิเสธความหวังดีนั้น เพราะได้ยินพี่โปรดพูดกับเพื่อนว่าพรุ่งนี้ต้องเข้างานเช้า ก็ไม่อยากจะเป็นภาระ                 “ขืนปล่อยให้กลับกันสองคนพี่ก็เป็นห่วงอยู่ดีนั่นแหละ”                 “แต่ว่าพี่โปรด….”                 “มา ๆ เดี๋ยวพี่ช่วยหามไอ้ซันเอง รถพี่ก็คันถัดไปนี่แหละ ไม่ไกลหรอก” ยังไม่ทันได้พูดจบประโยค พี่โปรดก็ตัดบทไม่ฟังเสียงเชซะแล้ว อีกฝ่ายไม่ว่าเปล่า แต่ยังแย่งร่างไอ้ซันไปหามด้วย ทิ้งให้เชยืนอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อยากจะปฏิเสธความหวังดีนั้นอีก แต่ไม่รู้จะทำยังไง                 “เดี๋ยวเชเปิดประตูรถให้พี่ด้วยนะ”                 “ได้ครับ ๆ” เพราะพี่โปรดยืนกรานคำเดิมว่าจะไปส่งเชและไอ้ซันที่หอพัก นั่นทำให้เชผู้มีชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียว ต้องเออออตามนั้น                 เมื่อเราอยู่บนรถ ทั้งพี่โปรดและตัวเชเองก็ต่างเงียบกันทั้งคู่ ไม่มีใครชวนคุยก่อน ในตอนนี้แม้เราจะอยู่บนรถกันสามคน แต่ก็เหมือนว่านั่งกันอยู่แค่สองคน เพราะไอ้ซันก็หลับไม่รู้เรื่องรู้ราวไปแล้ว                 เชรู้ตัวว่าเขากำลังเกร็ง สังเกตได้จากการผ่อนลมหายใจเข้าออกอย่างไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง เขาไม่กล้าหันมองข้าทางและไม่กล้าหันมองพี่โปรดเลยด้วยซ้ำ ไหนจะมือทั้งสองข้างที่จับชายเสื้อตัวเองไว้แน่น                 บรรยากาศระหว่างเราตอนอยู่บนรถแตกต่างจากตอนอยู่สถานบันเทิงอย่างสิ้นเชิง ตอนอยู่ในร้านกอดได้คือกอด เอาหน้าซุกอกได้ก็ทำ แต่ในตอนนี้แค่พี่โปรดจะเปลี่ยนเกียร์รถ เชยังสะดุ้งเลย                 “เงียบจัง ไม่คิดจะชวนคุยหน่อยเหรอ” ระหว่างที่เราติดไฟแดงกัน จู่ ๆ พี่โปรดก็พูดขึ้น สายตาอีกฝ่ายยังคงจับจ้องพื้นถนนข้างหน้า แต่ข้างแก้มของพี่โปรดบุ๋มลงไปเล็กน้อยเหมือนคนกำลังยิ้ม                 พี่โปรดมีลักยิ้ม….             “ก็ไม่รู้จะคุยเรื่องอะไรนี่ครับ”                 “ตอนอยู่ในร้านเราชวนคุยเก่งจะตาย”                 “ก็ตอนนั้นบรรยากาศมันพาไป”             “ที่กอดพี่ไม่ปล่อย เพราะบรรยากาศมันพาไปด้วยปะ”                 “……”                 “เงียบอีก”                 “ก็…ไม่รู้จะว่ายังไง” หลังจากที่เชว่าเช่นนั้น พี่โปรดก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ                 ทุกคำพูด ทุกอย่างที่พี่โปรดแสดงออกล้วนมีอิทธิพลต่อเชทั้งนั้น ทุกอย่างมันตอกย้ำว่าเชกับพี่โปรดเราอยู่คนละชั้นกัน เชกอด เชเวลาพูดหยอกพี่โปรด อีกฝ่ายคงไม่รู้สึกอะไร แต่เวลาที่พี่โปรดทำแบบนั้นกับเชบ้าง เขาแทบหยุดหายใจ                 “พี่โปรด เดี๋ยวเชแบกมันขึ้นไปเอง”                 “ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่ห้องเอง”                 “แต่ว่า…”                 “อย่าดื้อ ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เดี๋ยวพี่ช่วยเอง”                 “เฮ้อ…โอเคครับ ๆ” เชถูกพี่โปรดพูดดักอีกครั้ง นั่นทำให้เขาต้องยอมอีกฝ่ายเหมือนเดิม เชลอบถอนหายใจออกมา ไม่รู้ว่าในเวลานี้ใครกันแน่ที่ดื้อระหว่างเขากับพี่โปรด                 หลังเรามาถึงหอพักพี่โปรดก็รับหน้าที่แบกไอ้ซันขึ้นไปส่งห้องให้ โชคดีที่หอพักนี้มีลิฟต์ ไม่งั้นคงได้ขึ้นบันไดกันขาลาก ส่วนเชก็รับหน้าที่ค่อยกดลิฟต์ เปิดประตู แสกนนิ้วให้ เขาคาดโทษไอ้ซันตั้งแต่คืนนี้ นี่ถ้าพรุ่งนี้มันตื่นเมื่อไร สาบานว่าเชจะบ่นไอ้ซันให้หูชา โทษฐานที่ทำตัวเป็นภาระคนอื่น ต้องให้พี่โปรดมายุ่งยากด้วยอีก                 “เราไม่ได้พักห้องเดียวกับซันเหรอ”                 “ไม่ครับ อยู่ห้องข้างกันเฉย ๆ ขืนอยู่ด้วยกันคงได้ตีกันตายอะ” เชว่าพร้อมทำท่าปาดเหงื่อและเมื่อพี่โปรดโยนไอ้ซันลงเตียงได้ ก็หมดหน้าที่ของเราสักที                 “ซันตัวหนักเหมือนกันนะเนี่ย กว่าจะแบกมาถึงห้อง นี่คอแห้งเลยว่ะ”                 “พี่โปรดหิวน้ำเลยครับ งั้นไปกินที่ห้องเชไหม เชแช่น้ำไว้อยู่ แต่ของไอ้ซันมันยังไม่แช่” เชเสนออย่างไม่คิดอะไร เขาอยากจะขอบคุณพี่โปรดด้วย ถ้าวันนี้ไม่ได้อีกฝ่าย พรุ่งนี้เชอาจจะปวดหลังก็ได้                 “จะดีเหรอ”                 “จะเป็นไรอะ แค่กินน้ำที่ห้องเอง เชไม่งกหรอก”                 “…..”                 “ไอ้พี่โปรดอย่าทะลึ่ง!” เชโวยวาย เมื่อเราเข้าใจคนละความหมายกัน พอเชรู้ทันพี่โปรด อีกฝ่ายก็หัวเราะออกมาอย่างชอบอกชอบใจ                 “ปะ ๆ ไปกินน้ำที่ห้องเชกัน”                 “น้ำเปล่า!”                 “ก็น้ำเปล่าไง เรานั่นแหละทะลึ่ง” พี่โปรดว่าทั้งหน้ายิ้ม ก่อนจะมากอดคอเชแล้วเดินมาที่ห้องของเขา เมื่อเข้ามาในห้องเชก็รีบวิ่งไปหยิบน้ำเปล่าจากตู้เย็น เทใส่แก้วแล้วส่งให้พี่โปรดทันที                 “รีบเชียว กลัวพี่อยู่ในห้องนานหรือไง”                 “ไม่เกี่ยวเหอะ ผมแค่ไม่อยากให้พี่กระหายน้ำนานเฉย ๆ แต่พี่โปรดอยากอยู่ห้องนาน ๆ ก็ได้นะ” จังหวะที่เชกำลังพูด พี่โปรดก็ยกน้ำขึ้นมาดื่มพอดี อีกฝ่ายสบตาเชทั้ง ๆ ที่ยังยกน้ำขึ้นดื่มอยู่ พี่โปรดมองหน้าเชอย่างมีเลศนัย ทำเอาเขาอาจจะถอนคำพูดที่พูดไปเมื่อกี้             ไม่น่าเล่นกับไฟเลย….                 “ก็อยากอยู่นาน ๆ นะ ห้องเชก็น่าอยู่ดี” นั่นไง…พี่โปรดเล่นเขากลับอีกแล้ว                 “……”                 “ห้องกว้างจัง เชเช่าอยู่เดือนละเท่าไร” ก่อนที่เราจะเงียบใส่กันอย่างจริงจัง พี่โปรดก็เปลี่ยนเรื่องคุยซะก่อน นั่นทำให้บทสนทนาของเรายังไปต่อได้                 “เดือนละหกพันอะพี่ แพงหน่อยแต่ดีนะ ห้องใหม่ เฟอร์นิเจอร์ใหม่ด้วย”                 “อ๋อ ก็คุ้มแหละ มีรปภ.คอยเฝ้ายี่สิบสี่ชั่วโมงด้วย” พี่โปรดพยักหน้ารับพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ห้องของเช ก่อนจะมาหยุดสายตาที่ผู้เป็นเจ้าของห้องอีกครั้ง                 “ตอนนี้เชหิวข้าวเปล่า”                 “ครับ?”                 “พี่หิวข้าวว่ะ แถวนี้มีอะไรกินปะ”                 “ที่ยังเปิดตอนนี้ มีแค่ร้านชายสี่หน้าเซเว่นครับ แต่เขาขายพวกข้าวหมูแดง หมูกรอบ เย็นตาโฟด้วยนะ” เชว่า แถวหอพักเขา ไม่ใช่ย่านหอมหา’ลัย นั่นทำให้มีร้านขายอาหารโต้รุ่งน้อยกว่าปกติ                 “งั้นพาไปกินหน่อยดิ พี่เลี้ยงก็ได้ พี่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยอะ”                 “อ้าว ทำไมยังไม่ได้กินอีก นี่ก็ตีหนึ่งกว่าแล้วนะครับ”                 “ก็ทำธุระนั่นแหละ ถ้าพี่ไม่ติดธุระเราก็คงได้สนุกกันนานกว่านี้”                 “งั้นเดี๋ยวเชไปกินด้วย แต่เชขอจ่ายเองนะ”                 “ตามใจเราแล้วกัน”                 พี่โปรดจอดรถไว้ที่หอเชและเราก็เดินไปร้านชายสี่หน้าเซเว่นด้วยกัน เพราะมันอยู่ไม่ไกลจากหอพักเชเท่าไรนัก เดินชิว ๆ คุยเพลิน ๆ เดี๋ยวก็ถึง                 เป็นครั้งแรกที่เชได้ออกมากินข้าวกับพี่โปรด ปกติเราเจอกันแค่ในสถานบันเทิง เจอกันแค่ในนั้นจริง ๆ เวลามีต่อไปร้านข้าวต้ม ไปกินข้าวรอบดึก พี่โปรดก็มักจะไปกับกลุ่มเพื่อนของพี่เขา ส่วนเชก็แยกไปกับเพื่อนของเช                 ในตอนนี้เรากำลังนั่งรอก๋วยเตี๋ยว พอต้องนั่งฝั่งตรงข้ามกัน เชก็ทำตัวไม่ถูก ทุกอย่างดูผิดเพี้ยนไปเสียหมด เขาไม่รู้จะวางสายตาไว้ตรงไหนดี ไม่รู้ว่าควรจ้องหน้าพี่โปรดดีไหมหรือจะชวนคุยระหว่างรออาหารดี ทุกอย่างดูไม่เป็นธรรมชาติ ถ้ามากินก๋วยเตี๋ยวกับคนอื่น เชคงไม่ต้องมานั่งเกร็งขนาดนี้                 เชไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ไม่รู้ทำไมเขาถึงไม่สามารถทำตัวเหมือนอย่างในผับได้ พอได้อยู่กับพี่โปรดเพียงลำพัง ไม่มีเสียงเพลง ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วยสร้างบรรยากาศ เชก็พูดน้อยลงถนัดตา เขาไม่กล้าสบตาพี่โปรด ไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะชวนอีกฝ่ายคุย ในขณะเดียวกันนั้นพี่โปรดก็ดูเฉย ๆ             อีกฝ่ายไม่ได้เป็นอย่างที่เชเป็น….                 พอได้นั่งกินก๋วยเตี๋ยวตรงข้ามกันกัน นอกจากหน้าตาที่จัดอยู่ในหมวดตรงสเป็ก เชก็เพิ่งได้เห็นว่าพี่โปรดผิวดีมาก เขาเคยได้ยินพี่เฟิร์นเมาธ์เรื่องนี้เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะผิวดีขนาดนี้ ไม่มีแม้กระทั่งรอยสิว                 “อิจฉาจัง พี่โปรดผิวดีมากเลยอะ ใช้ครีมอะไร” ในที่สุดเชก็รู้ว่าจะชวนพี่โปรดคุยเรื่องอะไรดี                 “ผิวดีอะไร ช่วงนี้พี่นอนน้อย ตื่นเช้า”                 “แต่สิวไม่ขึ้นสักเม็ดเลยนะเนี่ย ไม่มีรอยสิวด้วย หน้าพี่อย่างผ่อง”                 “เพราะกรรมพันธุ์มั้ง พี่ดื่มน้ำเยอะด้วยแหละ แต่ถ้าวันไหนดื่มน้ำน้อย ๆ ลืมกินน้ำผิวก็แย่เหมือนกัน” ว่าจบพี่โปรดก็ยกน้ำขึ้นมาจิบ                 มีเจอหน้าก็ต้องมีจากลา หลังจากเรานั่งกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันเสร็จ เชและพี่โปรดก็เดินกลับมาที่หอ เขาเป็นคนเอ่ยลาพี่โปรดก่อน แม้จะเสียดายอยู่ไม่น้อยแต่ก็ต้องยอม เพราะพรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด เรายังต้องกลับไปใช้ชีวิตของตัวเอง                 “รีบกลับไปพักผ่อนนะพี่โปรด ฝันดีครับ เจอกันรอบหน้า” เมื่อเดินมาถึงหน้าหอ มาหยุดที่หน้ารถของอีกฝ่าย เชก็เอ่ยลาอีกฝ่าย                 “เช….เดี๋ยวก่อนดิ”                 “ครับ?” จังหวะที่กำลังจะเดินไป พี่โปรดก็เรียกเชไว้ นั่นทำให้เขาต้องหันกลับไปมองอีกฝ่าย                 “จะเป็นไรปะ ถ้าพี่ขอไลน์ ขอเบอร์เราไว้”                 “……”                 “เผื่อจะชวนไปกินข้าวอีก”                   เชเดินกลับขึ้นมาห้องด้วยอาการใจลอย…. ประโยคที่พี่โปรดขอไลน์ ขอเบอร์เขาเผื่อวันหลัง เราจะได้ไปกินข้าวด้วยกันอีกยังดังก้องอยู่ในหัวเขาซ้ำ ๆ                 เมื่อกลับมาถึงห้องพักเชก็ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียง เขานั่งนิ่งทบทวนเหตุการณ์ทุกอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่มือข้างขวาจะจับเข้าที่อกข้างซ้ายของตัวเองเพื่อที่จะพบว่าหัวใจของเชมันกำลังเต้นแรงมาก ๆ             เต้นแรงจนเหมือนจะหลุดออกมา….                 ตั้งแต่วินาทีที่เชให้ไลน์ ให้เบอร์พี่โปรดไป สติสตังเขาก็เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว อันที่จริงมันหลุดไปตั้งแต่ที่อีกฝ่ายเอ่ยปากขอด้วยซ้ำ น้ำเสียงและสายตาของพี่โปรดล้วนมีอิทธิพลต่อเชทั้งนั้นและความรู้สึกบางอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้ …มันกำลังส่งผลทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา                 ถ้าเป็นคนอื่นขอ เชคงไม่เก็บมาคิดมากแบบนี้ มันเป็นเรื่องปกติ เพราะเราไม่ใช่คนใกล้คนไกลที่ไหน เป็นรุ่นพี่รุ่นน้องร่วมคณะกัน แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นพี่โปรดนั่นแหละ…เชก็เลยคิด เขาแอบเข้าข้างตัวเองทั้ง ๆ ที่การกระทำของพี่โปรด ไม่ได้สื่อไปทางนั้นเลย                 ตอนนี้จวนจะตีสามแล้ว พี่โปรดขับรถกลับไปตั้งนานแล้ว แต่เชก็ยังไม่สามารถหยุดคิดเรื่องอีกฝ่ายได้สักที เขาล้มตัวนอนแผ่หลาบนเตียง มองเพดานสีขาวอย่างใช้ความคิด ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋ากางเกง เลื่อนดูเพื่อนในไลน์ที่ถูกเพิ่มเข้ามาครั้งล่าสุด เขากดดูรูปของพี่โปรดแล้วก็หลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ                 “น่ารัก” เชพึมพำ สายตาเขาจับจ้องที่หน้าจอโทรศัพท์ตาไม่กะพริบ                 หลังจากนอนชื่นชมรูปโปรฯไลน์พี่โปรดจนพอใจแล้ว เชก็กดเข้าเฟซบุ๊คต่อ เขาพิมพ์ชื่อพี่โปรดเป็นภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว                 เมื่อเจอเฟซฯของพี่โปรด เชก็ไม่รอช้า เขารีบกดเข้าไปดูความเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายทันที เชดูได้เฉพาะโพสต์ที่พี่โปรดตั้งสาธารณะไว้เท่านั้น เพราะเราไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกันตั้งแต่แรก                  ในสื่อสังคมออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ก เรามีเพื่อนร่วมกันเกือบร้อย ทั้งรุ่นพี่บัณทิต ทั้งเพื่อนร่วมสถาบัน คณะหรือแม้กระทั่งรุ่นน้องปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ทุกคนล้วนมีพี่โปรดเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊คกันทั้งนั้นยกเว้นเช                 แค่เขาคนเดียว….                 คนอื่นมองว่าเชและพี่โปรดสนิทกัน แต่สำหรับเชกลับรู้สึกว่าเราสนิทกันแค่ในสถานบันเทิงเท่านั้น ตอนอยู่ข้างนอก เราเป็นแค่คนรู้จักกัน รุ่นพี่รุ่นน้องคณะเดียวกัน ไม่ได้สนิทมากไปกว่าใครเลย                 บางครั้งเชก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมความสัมพันธ์ของเราถึงได้แปลกประหลาดเช่นนี้ เพราะขนาดไลน์หรือเบอร์โทร เราก็เพิ่งจะมีของกันและกันเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง                 ทุกครั้งที่มีการนัดเที่ยว ไอ้ซันเพื่อนของเชก็จะเป็นธุระให้ตลอด เพราะมันมีกลุ่มไลน์ไว้นัดเที่ยวกับพวกพี่ ๆ ปีอื่นโดยเฉพาะ เชไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้นและถึงแม้เขาจะไม่อยู่ ก็ยังมีซันคอยอัพเดตเรื่องราวในกลุ่มให้ฟังเสมอ ทำให้เชรับรู้เรื่องไม่ต่างจากคนที่อยู่ในกลุ่มไลน์                 เชเห็นเฟซบุ๊กพี่โปรดผ่านหน้าผ่านตาอยู่บ่อยครั้ง แต่เขาไม่เคยกดส่งคำขอเป็นเพื่อนไปสักครั้ง ครั้งหนึ่งเชเคยคิดว่าจะทำ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าอยู่ดีและในขณะเดียวกันพี่โปรดก็ไม่เคยกดส่งคำขอมาเช่นกัน                 ถ้าเป็นรุ่นพี่ รุ่นน้องคนอื่น ๆ เชคงส่งคำขอไปก่อนอย่างไม่คิดอะไร แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นพี่โปรด เวลาจะทำอะไรเชก็เลยต้องคิดให้ดีก่อน อีกทั้งลึก ๆ เขาก็กลัวว่าพี่โปรดจะไม่กดรับ เชกลัวตัวเองจะรู้สึกแย่ เขาไม่ชอบที่ทั้งวันต้องจดจ่ออยู่กับใครคนหนึ่ง สุดท้ายเราจึงไม่ได้เป็นเพื่อนกันในเฟซบุ๊กจนถึงวันนี้                 ขณะที่เชกำลังเลื่อนดูโพสต์เดิม ๆ ของพี่โปรดอยู่นั้น จู่ ๆ ป๊อปอัพไลน์ก็เด้งขึ้นพร้อม ๆ กับเชที่รีบลุกขึ้นจากเตียง หลังเห็นว่าเป็นใครที่ส่งมา หัวใจของเขากลับมาเต้นแรงอีกครั้ง เชต้องนั่งตั้งสติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดอ่านข้อความไลน์จากพี่โปรด                 ‘พี่ถึงห้องแล้วนะ ฝันดี :)’ มันเป็นข้อความสั้น ๆ แต่เชอ่านซ้ำไม่รู้กี่รอบ หลังอ่านประโยคเดิมจนพอใจ ริมฝีปากของเขาคลี่ยิ้มออกมา รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ชอบ                  พรุ่งนี้เชมีเรียนตอนเช้า แต่เขาจะข่มตาลงได้ยังไง ในเมื่อหัวใจมันว้าวุ่นขนาดนี้…..                                 เผลอหลับไปตอนไหน เชก็จำไม่ได้เหมือนกัน มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ในโทรศัพท์แผดเสียงร้องแล้ว นั่นทำให้เชต้องจำใจลุกขึ้น ทั้ง ๆ ใจจริงเขายังอยากนอนต่อ เพราะเพิ่งหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเช้านี่เอง                 เชมาถึงมหา’ลัยด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ตามประสาคนนอนไม่พอ เขาทิ้งตัวลงที่นั่งประจำของตัวเอง ตอนนี้อาจารย์ยังไม่เข้าสอน จึงพอมีเวลาได้คุยกับเพื่อนบ้าง นี่ถ้าไม่ใช่วิชาสำคัญ มีสอบท้ายคาบ บางทีตอนนี้เชก็อาจยังนอนอยู่บนเตียงก็ได้                 “ไหวปะเนี่ย” หลังเขาทิ้งตัวลงเก้าอี้ ไอ้ซันที่มาถึงก่อนก็เอ่ยถามด้วยอาการสดชื่น ไม่มีอาการว่าจะแฮงค์แต่อย่างใด                 “คนเมาแล้วให้คนอื่นแบกกลับห้อง ไม่มีสิทธิ์พูด” เชเอ่ยเสียงแข็ง ตวัดสายตามองไอ้เพื่อนตัวดีอย่างคาดโทษ ทำเอาซันถึงกับสะดุ้ง                 เมื่อคืนเชก็บอกแล้วว่าจะอ่านหนังสืออยู่ที่ห้อง ไอ้เพื่อนตัวดีก็ยังจะลากไปเที่ยวด้วยกันให้ได้ สุดท้ายกลายเป็นเชที่นอนไม่พอ ทั้ง ๆ ที่วันนี้ต้องเป็นเขาต่างหากที่ได้นอนเต็มอิ่ม                 “เพื่อนรักกกอย่าโกรธกู เมื่อคืนพี่เขาแม่งมอมกูอะ กูบอกแล้วว่าไม่เอาครับ ๆ จะกลับห้องแล้ว แต่พี่เขาก็ต่อรองให้กูดื่มแก้วสุดท้าย แล้วชงเข้มฉิบหาย กูนึกว่าตัวเองจะได้นอนข้างถังขยะแล้วอะ”                 “ถ้าเมื่อคืนกูไม่ได้ไปด้วย มันก็คงเป็นอย่างนั้นแหละ”                  “ซึ้งในพระคุณของมึงมาก เดี๋ยวเลี้ยงข้าวเที่ยงขอบคุณ ไม่โกรธกูน้าเพื่อนเช” ซันไม่ว่าเปล่า แต่ยังลุกจากเก้าอี้เดินมานวดไหล่ให้เชอย่างประจบ                 “มึงไปขอบคุณพี่โปรดเถอะ เขาเป็นคนแบกมึงขึ้นห้องแล้วจับมึงโยนลงเตียง”                 “ถามจริง!” ซันว่าด้วยน้ำเสียงตกใจ                 “แล้วจะโกหกทำไม เมื่อคืนพี่โปรดเขาเห็นสภาพกูแบกมึงจะไปเรียกแท็กซี่ แล้วเขากลัวไม่ถึงห้องเลยอาสามาส่ง นี่ถ้าเมื่อคืนมึงอ้วกใส่รถเขานะ กูคงได้เอาเลือดหัวมึงออกทั้ง ๆ ที่มึงยังเมาอะ” เชว่า พอย้อนนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนก็โมโหอีกรอบ                 “แง พี่โปรดหน้าตาดีแล้วยังจิตใจเทวดาอีก”                 “แน่ดิ แบกหมาขึ้นห้อง!”                 “แงงงงง เชจ๋า! อย่าโกรธกู”                 “มึงไม่ต้องมาอ้อนกูเลยไอ้ซัน อาจารย์เข้าสอนแล้วกลับที่มึงด่วน”                 “ฮืออ เชจ๋า…”                 “ไป๊!”                 ตลอดการเรียนเชนั่งสัปหงกอยู่หลายครั้งหลายครา จนเขาถูกอาจารย์ประจำวิชาเพ่งเล็ง การที่ต้องนั่งเรียนทั้งที่กำลังง่วงเต็มขั้น มันคือหายนะที่แท้จริง แต่พออาจารย์บอกว่าเลิกคลาส เชก็ตื่นเต็มตาทันที มันยิ่งกว่าเสียงสวรรค์ เพราะเขาจะได้กลับไปนอนสักที                 “ไอ้เช มึงจะกินข้าวก่อนหรือกลับเลย” ซันเอ่ยถาม หลังเพื่อนเริ่มทยอยลุกออกจากห้องไปแล้ว                 “ว่าจะกินข้าวก่อน จะได้กลับไปนอนยาว ๆ มึงเลี้ยงข้าวไถ่โทษตัวเองเลยนะไอ้ซัน”                 “ได้จ้ะ เพื่อน”                 เมื่อตกลงกันแล้วว่าเราจะกินข้าวกันก่อนแยกย้าย เชและซันก็เดินมาโรงอาหารในคณะ มื้อเช้าที่รวมกับมื้อเที่ยงของเชคือข้าวขาหมูเจ้าอร่อย เมนูนี้เป็นของโปรดเขา หลายคนกินบ่อย ๆ ก็กลัวอ้วน แต่สำหรับเชกินแล้ว เขาก็แห้งเหมือนเดิม                 “เหี้ย!!” ขณะที่กำลังเล่นโทรศัพท์ระหว่างกินข้าวไปด้วย เชก็เผลออุทานคำหยาบคายออกมาอัตโนมัติ เมื่อเห็นว่าใครส่งคำขอเป็นเพื่อนเข้ามาในเฟซบุ๊ก                 “ไอ้เช มึงเป็นไรวะ” ซันที่นั่งกินสุกี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เอ่ยถามอย่างงุนงง                 “มึง!! พี่โปรดเขาแอดกูมา” เชพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ ก่อนจะเริ่มแสดงอาการลนลาน“ทำไงดีวะ”                 “อะไรวะเช แค่พี่โปรดแอดมาเอง”                 “สำหรับกู มันไม่ใช่แค่นั้นไงมึง ไม่ได้การล่ะ ต้องลบ ๆ” เชพึมพำ ว่าจบรีบกดเข้าหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัว กดลบโพสต์หลาย ๆ อันที่เคยสื่อถึงอีกคนอย่างไม่นึกเสียดาย                    “เช….”                 “ว่า?” เชขานรับ ในขณะที่มือก็ยังกดลบโพสต์ไม่หยุด                 “มึง….ชอบพี่โปรดเหรอวะ” ซันเอ่ยถามเสียงแผ่ว ตั้งใจให้เราได้ยินกันแค่สองคน                 “…..”                 “กูเพิ่งได้สังเกตว่าสายตามึงตอนมองพี่เขา มันไม่เหมือนตอนที่มึงมองคนอื่น” ซันเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “ไหนจะเรื่องนี้อีก ที่มึงลบโพสต์เพ้อ ๆ ของตัวเอง เพราะมันเป็นโพสต์ที่สื่อถึงพี่โปรดใช่ไหม”                  คำพูดของซัน ทำเอาเชถึงกับนิ่งไปพร้อม ๆ กับมือที่หยุดชะงัก ถ้าไอ้ซันพูดด้วยน้ำเสียงตลกขบขันตามธรรมชาติของมัน เขาคงจะยอมรับอย่างไม่คิดอะไร แต่ทว่าไอ้เพื่อนตัวดีกับถามเชด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทำเอาเชถึงกับเครียดตาม                 “ถ้ากูชอบพี่เขา….” ยังไม่ทันได้เอ่ยจบประโยค ไอ้ซันก็พูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน นั่นยิ่งทำให้เชใจเสียเข้าไปใหญ่                 “พี่โปรดเลยนะเว้ย! มึงคิดดีแล้วเหรอ”                 “……”                 “ถึงเขาจะเที่ยวกับเรา ถึงเราสนิทกับเพื่อนพี่เขา ถึงจะเรียนคณะเดียวกัน….แต่มึงคิดดีแล้วเหรอวะ” ซันถามย้ำอีกครั้ง                 “ก็รู้ว่ากูอาจต้องเจ็บ แต่จะให้ทำไง ในเมื่อคนมันชอบไปแล้ว” ในเมื่อหลักฐานมันแน่นเสียขนาดนี้ เขาก็ยอมรับตามตรง                 หัวใจของเชเต้นช้าลง เมื่อไม่คิดว่าต้องคุยเรื่องนี้กับเพื่อนสนิท มันเป็นความลับที่เชเก็บไว้มานาน คนอื่นอาจคิดว่าตอนเที่ยวกลางคืนระหว่างเขาและพี่โปรด เราแค่เล่น ๆ กัน ขำขัน ไม่มีอะไร แต่ในความจริง….บางครั้งเชก็แอบคิดจริง พูดจริงแต่ทำติดตลกไปอย่างนั้น                 “ถ้าคนอื่นเขารู้….” ซันยังพูดไม่ทันจบประโยค เชก็พูดขึ้นมาก่อน เขาไม่ว่าเปล่าแต่ยังยื่นมือไปจับมือซันไว้อีกด้วย                 “มึงช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับได้ไหม ห้ามบอกใคร แม้กระทั่งรุ่นพี่ที่สนิทอย่างพี่เฟิร์น” คราวนี้เป็นซันที่เป็นฝ่ายเงียบไปบ้าง อีกฝ่ายนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดอีกครั้ง                 “ก่อนที่จะบอกให้กูเก็บทุกอย่างเป็นความลับ มึงบอกตัวเองให้เก็บสายตา เก็บอาการตัวเองก่อนเถอะ”
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม