“สอบเสร็จแล้วโว๊ย!! หมดทุกข์หมดโศกสักที” เสียงของซันตะโกนขึ้น หลังมหกรรมการสอบแบบหฤโหดได้ผ่านพ้นไปสักที ท่าทีที่เล่นใหญ่เกินเบอร์ของเพื่อนก็ทำให้เชที่เดินออกจากห้องสอบตามหลังมาติด ๆ ถึงกับส่ายหน้าอย่างระอา
“จะดีใจทำไมวะ เดี๋ยวก็ต้องใช้ชดกรรม ตอนเกรดออกอยู่ดี” เชว่า ขณะที่กำลังเก็บบัตรนักศึกษาลงกระเป๋าสะพายข้าง
“เชเพื่อนรัก อย่าขัดอารมณ์กูดิ”
“เฮ้อ…กูพูดความจริงก็ว่าไปขัดอารมณ์มึงอีก”
“แหงดิ จากที่โล่ง ๆ ตอนแรก ตอนนี้กูเริ่มกังวลแล้ว ไม่รู้จะได้เกรดไหนไปฝากแม่” ไอ้ซันว่า คิ้วเริ่มขมวดเป็นปม เมื่อพูดถึงเรื่องเกรด
“มึงควรกังวลนานแล้ว เพราะแม่ขายควาย ส่งมึงเรียน”
“โอ้โห…..เถียงไม่ได้ด้วย เพราะเรื่องจริง”
อ้าว เรื่องจริงเหรอวะ” เชถาม
“นี่ก็โง่เชื่ออีก เคยบอกไปแล้วไงว่าบ้านกูทำธุรกิจสีดำ” ช่วงท้ายประโยคไอ้ซันลอบมองซ้ายมองขวาครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดกับเชเสียงแผ่ว
“ค้ายา?”
“เปล่า ขายเฉาก๊วย”
“ไอ้เวร เล่นมุกพอยัง”
“ฮ่า ๆ ก็มึงน่าแกล้งอะ กูพูดอะไรก็เชื่อไปหมด”
“กับเพื่อนกูให้ความเชื่อใจเต็มร้อยอยู่แล้ว”
“พูดซะ กูไม่กล้าโกหกเลยว่ะ แต่ไหน ๆ ก็สอบเสร็จแล้ว คืนนี้เราไปเที่ยวกันเถอะ” ไอ้ซันว่า ก่อนจะถือวิสาสะเดินมากอดคอเช
“เดี๋ยวนะ เพิ่งสอบเสร็จวันนี้เอง มึงรีบจังวะ พักตับบ้าง” เชเอ่ยพลางขมวดคิ้ว
“เดี๋ยวก็จะแยกย้ายกันกลับบ้านแล้วอะ ถ้าไม่ฉลองสอบเสร็จวันนี้ แล้วจะฉลองกันวันไหน”
“…”
“สรุปเอาไง”
“พี่เชคะ” ยังไม่ทันได้ให้คำตอบเพื่อน ก็มีคนเรียกชื่อเชขึ้นมาเสียก่อน นั่นทำให้พวกเขาที่กำลังยืนรออยู่หน้าลิฟต์หันไปตามเสียงเรียกโดยอัตโนมัติ เพื่อที่จะพบมะปราง รุ่นน้องต่างสาขากำลังยืนยิ้มให้พร้อมกับถือกล่องของบางอย่าง
“อ้าว น้องปรางมีไรครับ” เชเอ่ยถามอีกฝ่าย
“ปราง…เอาขนมจีบกุ้งกับปูมาฝากค่ะ” หญิงสาวว่าพลางยื่นกล่องขนมจีบมาให้เชรับไว้ ทำให้เขาต้องรีบรับของจากรุ่นน้องอย่างงุนงง
“พี่แค่พูดหยอกเล่นเอง ไม่คิดว่ามะปรางจะเอามาให้จริง” เขาว่าทั้งสีหน้าลำบากใจ เพราะขนมจีบที่อีกฝ่ายเอามาฝาก มันไม่ใช่กล่องเล็ก ๆ เลย จะรับไว้อย่างเดียวก็เกรงใจแย่
บ้านของมะปรางทำขายพวกซาลาเปา ติ่มซำ พอได้มีโอกาสคุยกัน เชก็เลยเอ่ยแซวน้องบอกว่าอยากลองกินขนมจีบร้านอีกฝ่ายดู เขาแค่พูดเล่น ๆ เท่านั้นและไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะห่อขนมจีบมาให้แบบนี้
“ก็ปรางอยากลองให้ชิม”
“ขอบคุณนะ แต่พี่เกรงใจเราอะ ปรางเอามาให้กล่องใหญ่มากเลย งั้นเอาเป็นว่าพี่ขอซื้อต่อแล้วกัน” เชไม่ว่าเปล่า แต่ยังหยิบกระเป๋าตังออกมา เตรียมจะหยิบเงินให้อีกฝ่ายด้วย “แล้วทั้งหมดนี่เท่าไรครับ”
“ไม่เอาค่ะ ๆ ไม่เป็นไร ปรางเต็มใจ” มะปรางว่าพร้อมกับยกมือขึ้นปราม ไม่ยอมให้เชจ่ายเงินให้
“แต่ที่เรามาฝากกล่องใหญ่มากนะ ขอย้ำอีกที กล่องใหญ่มาก” เขาว่าอย่างติดตลก
“ค่ะ ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นคำขอบคุณเพราะพี่เชช่วยปรางตั้งเยอะเลย”
“ก็แค่อธิบายเกมให้ฟังเอง”
“นั่นแหละค่ะ ถือซะว่าเป็นการขอบคุณนะคะ ถ้าพี่เชอยากให้เงินปรางจริง ๆ ไว้ไปอุดหนุนที่ร้านดีกว่าค่ะ ส่วนนี่ถือว่าเป็นคำขอบคุณจากปรางก็พอ”
“เอางั้นเหรอ”
“ค่ะ เพราะถ้าพี่เชจะให้เงิน ปรางคงไม่สบายใจแน่ ๆ เพราะไม่ได้ตั้งใจเอามาขายให้พี่” มะปรางว่า ทำสีหน้าลำบากใจไม่ต่างกัน
“งั้น….ถ้าปรางมีอะไรสงสัยอีก สงสัยตรงไหนก็ทักมาหาพี่ได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจกัน”
“ได้เลยค่ะ เพราะปรางคงได้ทักไปหาอีกแน่ ๆ งั้น….ปรางไปกินข้าวแล้วนะคะ ตอนบ่ายมีสอบต่อ”
“โอเคครับ ขอให้ทำข้อสอบได้นะ”
“ขอบคุณมากค่ะ บ๊ายบายค่ะ”
หลังจากร่ำลากับน้องมะปรางเสร็จ เชก็ถือกล่องขนมจีบหันกลับมาหาซัน ก่อนจะชักสีหน้า หุบยิ้มโดยพลัน หลังเห็นไอ้เพื่อนตัวดีกำลังส่งยิ้มและทำสายตาล้อเลียน
“อะไร” เชถามเสียงเข้ม
“ทำเป็นเข้มกลบเกลื่อนว่ะ มีสาวมาขายขนมจีบแล้วทำเป็นเข้ม”
“บ้า นั่นน้อง”
“อ๋อเหรออออ” ไอ้ซันพูดลากเสียงยาว ทำเหมือนไม่เชื่อกันง่าย ๆ “แล้วแอบไปคุยกันตอนไหน ซุ่มเงียบเหรอเรา ร้ายว่ะ”
“ไม่ได้ซุ่มเงียบเลย น้องทักมาถามเรื่องเกมที่กูแชร์ ๆ ลงอะ ทักมาก่อนวันสอบไม่กี่วันนี่เอง” เชว่า
เชและมะปรางเราเป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กกันมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนเปิดเทอมใหม่ ๆ อีกฝ่ายกดส่งคำขอมาก่อน พอเชเห็นว่าเรียนสถาบันเดียวกัน เขาก็เลยกดอนุมัติคำขอ
เชเคยกดไลก์โพสต์อีกฝ่ายพอประปราย เวลาเห็นโพสต์มะปรางขึ้น เขาก็ไลก์ตามปกติ บางครั้งมะปรางก็เป็นฝ่ายมากดหัวใจให้รูปเขาและเราก็เพิ่งจะมีโอกาสคุยกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง
“น้องเขาจีบชัวร์” ไอ้ซันว่า
“ก็ยังว่าทักถามมาเรื่องเกม มึงไม่เข้าใจหรือไงวะ”
“มึงรอดูเหอะ เดี๋ยวก็รู้ว่าทักมาถามเรื่องเกมจริง ๆ หรือต้องการคุยอย่างอื่น”
ปฏิเสธเสียงแข็งไปแล้วว่าไม่อยากเที่ยว อยากอิ่มเอมกับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่เชก็ต้องแพ้ลูกตื๊อของเพื่อนอยู่ดี คราวนี้ไอ้ซันมารูปแบบใหม่ ยิ่งทำให้เชปฏิเสธไม่ได้ อีกฝ่ายไม่ได้เอาพี่โปรดมาล่อเหมือนอย่างทุกที แต่ใช้วิธีการให้พี่เฟิร์นโทรมาชวนเชเอง นั่นทำให้เขาไม่สามารถปฏิเสธได้
การเที่ยวคราวนี้ เราไม่ได้มาร้านประจำเหมือนอย่างทุกที เนื่องจากอยากเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ เจอคนใหม่ ๆ บ้าง พี่เฟิร์นจึงชวนมาอ่านนั่งดื่มแถวปิ่นเกล้าแทน
บนโต๊ะ…เชไม่ใช่สายเอ็นเตอร์เทนเพื่อน ไม่ใช่คนหาหัวข้อคุย เขาเงียบที่สุดในโต๊ะ กินเหล้า กินเบียร์ของตัวเอง ฟังคนนั้นคนนี้พูดไปเรื่อย ออกความคิดเห็นบ้างเป็นบางครั้ง เขาไม่เคยเดินไปนั่งโต๊ะอื่น เพราะรู้ว่าตัวเองชวนคุยไม่เก่ง เชเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนหัดเข้าสังคมใหม่ ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ทุกครั้งที่มีการรวมตัว เขาก็มักจะถูกชักชวนให้มาด้วยเสมอ
ก่อนเมาเชจะเป็นคนที่เงียบที่สุดในกลุ่ม แต่พอมีปริมาณแอลกอฮอล์อยู่ในร่างกายมากเกินไป เชก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ใคร ๆ ก็บอกว่าเชเมาแล้วยั่ว แต่เขากลับคิดว่าตัวเองไม่ได้ยั่วอย่างที่ถูกกล่าวหา เชก็แค่ชื่นชอบการสกินชิฟมากกว่าปกติเท่านั้น
การสังสรรค์บนโต๊ะเริ่มต้นได้เกือบสองชั่วโมงแล้ว ตั้งแต่มาเชยังไม่เห็นพี่โปรดเลยและเขาก็ไม่คิดจะถามหาอีกฝ่ายจากใคร ๆ ด้วย เชกำลังสับสน...ปกติเวลามาเที่ยว เชมักจะตัวติดกันกับพี่โปรด เขาชอบคุยกับอีกฝ่าย ชอบนั่งข้าง ๆ กัน แต่ตอนนี้เชทั้งอยากเจอหน้าและไม่อยากเจอพี่โปรดในเวลาเดียวกัน
“อ้าว ไหนว่าจะไม่มา”
“ว่างแล้ว ก็เลยแวะมา” นึกถึงได้ไม่เท่าไร อีกฝ่ายก็ปรากฏตัวอย่างกับสั่งได้ ไม่ต้องหันไปมองเชก็รู้ว่าใครมา
เพียงแค่ได้ยินเสียงของอีกฝ่าย เชก็เกิดอาการเกร็งชั่วขณะ ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปมองตามเสียง ถ้าใครไม่ได้จับตามองดี ๆ ก็คงไม่รู้ว่าเชแอบเกร็ง ตอนได้ยินเสียงพี่โปรด
พี่โปรดทิ้งตัวลงข้างเชอย่างเคยชิน ในขณะที่เชกลับนั่งเกร็ง ไม่หันไปทักทายหรือแม้แต่จะหันไปมองด้วยซ้ำ นับตั้งแต่วันที่เชได้ไปกินข้าวเย็นกับพี่โปรด คุยเรื่องแฟนเก่าที่อยากกลับมาคืนดี เราก็คุยกันน้อยมาก พี่โปรดถามอะไรมา เชก็ตอบสั้น ๆ แล้วไม่มีการถามกลับสักครั้ง
เรื่องพี่หญิง แฟนเก่าที่ไม่รู้ว่ามีตัวตนจริง ๆ หรือเปล่า ยังเป็นปริศนาจนถึงวันนี้ เชไม่เคยคิดถามความจริงจากพี่โปรดหรือค้นหาความจริงนั้นด้วยตัวเอง เพราะเขาเชื่อว่าไม่ช้าก็เร็วความจริงที่อยากรู้จะปรากฏ
คนอื่น ๆ บนโต๊ะคงไม่รับรู้ถึงบรรยากาศที่อึดอัดนี้ มีแค่เชและซันเท่านั้นที่รับรู้ ไอ้ซันนั่งตรงข้ามกัน อีกฝ่ายกินแอลกอฮอล์ไปแล้วในปริมาณที่มาก ไม่รู้ว่าเมาหรือว่าแค่กรึม ๆ กันแน่ มันสบตาเชอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มพูดอะไรบางอย่างออกมาซึ่งเขาก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหยิบมาเป็นประเด็นสนทนา
“รู้เปล่า….เดี๋ยวนี้ไอ้เชเสน่ห์แรงนะพี่ มีสาวมาจีบด้วย”
“ใคร ๆ ใครมาหลงน้องเช” พี่คนหนึ่งบนโต๊ะถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“ชื่อมะปราง ๆ ปีหนึ่ง” พอได้จังหวะ มีคนสนใจปุ๊บ ไอ้ซันที่เปิดประเด็นขึ้นก็รีบฟ้องยกใหญ่
“เฮ้อ….ก็ไปเชื่อมัน น้องเขาแค่เอาขนมจีบมาฝากเอง บ้านน้องขาย” เชอธิบายพร้อมถอนหายใจออกมา แต่ทว่าไอ้ซันก็ไม่ยอมเช่นเดียวกัน
“มันอ่อนหัดอะพี่ ไม่รู้ว่ามีหญิงมาจีบตัวเอง เอาขนมจีบมาฝากเหี้ยไร กล่องใหญ่ฉิบหาย กินทั้งหมู่บ้านก็ไม่หมด”
“ถ้ามึงเมาแล้วก็หุบปากไปเลย ไอ้เพื่อนเวร” เชพูด พร้อมชี้หน้าซันอย่างคาดโทษ
“อ้าว…เชไม่ได้คุยกับไอ้โปรดอยู่เหรอ เห็นวันนั้นไอ้โปรดบอกว่าไปกินข้าวกับเช”
“ค—คุยอะไรล่ะพี่ กินข้าวกันตามประสาพี่น้องไม่ได้หรือไง” ไม่ต้องถึงมือพี่โปรด เชก็รีบปฏิเสธทุกคนทันที ก่อนจะหันไปขอความร่วมมือจากคนข้างกาย
“เนอะ พี่โปรดเนอะ”
“…...” แต่พี่โปรดกลับไม่ให้ความร่วมมือ
เพียงเท่านั้นความเงียบก็บังเกิดขึ้นบนโต๊ะ มันอึดอัดจนเชอยากจะร้องไห้ ก่อนที่พี่เฟิร์นที่เป็นสายเอ็นเตอร์เทนจะรีบแก้สถานการณ์ทันที
“เออ! กูมีเรื่องเหี้ย ๆ ในบริษัทจะเล่าให้ฟัง…..”
เชได้แต่ขอบคุณพี่เฟิร์นในใจเป็นพันครั้ง ถ้าไม่ได้อีกฝ่ายเป็นคนกู้สถานการณ์เอาไว้ เบี่ยงเบนความสนใจของคนบนโต๊ะไปคุยเรื่องอื่น เชต้องแย่กว่านี้แน่ หลังทุกคนไม่ได้ให้ความสนใจกับเรื่องของเชและพี่โปรดอีกแล้ว เขาจึงตั้งท่าลุกขึ้น เตรียมไปเข้าห้องน้ำเพื่อตั้งสติ
“จะไปไหนอะ” ทันทีเชลุก พี่โปรดก็ลุกขึ้นตาม อีกฝ่ายเอ่ยถามและพร้อมตั้งท่าจะเดินตามเช
“เชไปเข้าห้องน้ำครับ”
“โอเค”
“พี่โปรดไม่ต้องตามมาก็ได้ เชไปคนเดียวได้” เขารีบปฏิเสธ เมื่อพี่โปรดตั้งท่าจะเดินตามมาจริง ๆ
“เดินไป” พี่โปรดว่าเสียงเข้ม พร้อมกับดันหลังเชให้เดินไปข้างหน้า นั่นทำให้เขาไม่มีทางเลือก ต้องเดินนำอีกฝ่ายไปยังห้องน้ำ
ตอนนี้ในหัวของเชมีแต่คำว่า’ฉิบหายแล้ว’ดังขึ้นซ้ำ ๆ หากเขารู้สักนิดว่าพี่โปรดจะตามมาด้วย เชก็คงไม่บอกว่าจะมาเข้าห้องน้ำ เขาคงนั่งเฝ้าโต๊ะอยู่อย่างนั้น แต่ใครจะคิดกันว่าอีกฝ่ายจะตามมา ร้อยวันพันปีเวลามาเที่ยว พี่โปรดไม่เคยตามไปเฝ้าที่ห้องน้ำด้วยซ้ำ….นี่เป็นครั้งแรก
“เดินไปดิ” เพียงแค่หมุนตัวหันกลับไป ยังไม่ทันได้พูดอะไร พี่โปรดก็พูดดักขึ้นมาเสียก่อน นั่นทำให้เชต้องหมุนตัวกลับ เดินตรงไปยังห้องน้ำอย่างไม่มีทางเลือก หลังดูท่าแล้วพี่โปรดก็คงไม่ยอมเดินกลับไปที่โต๊ะ
ภายในห้องน้ำชายค่อนข้างที่จะเงียบ ไม่ต้องต่อคิวรอเข้าห้องน้ำเหมือนฝั่งผู้หญิง เพราะไม่มีการทำผม เติมหน้า อย่างมากก็แค่ทาลิปมัน เซ็ตผมใหม่ แต่ส่วนใหญ่ต่างฝ่ายต่างรีบทำธุระส่วนตัวแล้วก็รีบกลับโต๊ะ
“เดี๋ยวรออยู่นี่” เมื่อเราเข้ามาถึงห้องน้ำ พี่โปรดที่เดินตามหลังกันมาติด ๆ ก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“…..”
“ทำไมไม่ใช้โถอะ” อีกฝ่ายเอ่ยถาม เมื่อเชเดินเข้าห้องน้ำที่มีชักโครก คราวนี้เขาไม่ได้ตอบคำถามพี่โปรด แต่ปิดประตูเสียงดังปังแทน
เมื่อเข้ามาภายในห้องน้ำ เชก็ไม่รอช้ารีบปิดฝาชักโครกแล้วนั่งลงเพื่อสงบสติอารมณ์ตัวเอง เชทำเป็นมาห้องน้ำ จริง ๆ แล้วเขาไม่ได้ปวดหนักหรือเบาอะไร ก็แค่อยากเดินมาสงบสติอารมณ์เฉย ๆ
แต่อย่างที่บอก….เขาไม่คิดว่าพี่โปรดจะเดินตามมา
ภายในห้องน้ำเงียบสงบ เชรู้ว่าพี่โปรดยังรออยู่ที่เดิม อีกฝ่ายยืนรอเชอย่างเงียบ ๆ ไม่มีใครเข้ามาในห้องน้ำและไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้นระหว่างเรา
มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง….ปกติเวลามาเที่ยว เชจะชื่นชอบเวลาอยู่กับพี่โปรดมากที่สุด เขารู้สึกสบายใจ แต่ตอนนี้ทำไมระหว่างเรามันถึงอึดอัดเสียจนเชไม่อยากยืนอยู่ใกล้ ๆ อีกฝ่ายได้
เมื่อเชทำใจไว้แล้วว่าคืนนี้คงหลีกหนีพี่โปรดไม่ได้แน่ เขาจึงรวบรวมความกล้า เปิดประตูห้องน้ำออกไปเผชิญหน้ากับรุ่นพี่ร่วมคณะ ซึ่งพี่โปรดเองก็กำลังยืนพิงอ่างล้างมือ อีกฝ่ายยืนกอดอก มองมาที่เชด้วยสายตาที่ยากเดา
“ทำไมพี่โปรดจ้องหน้าเชอย่างนั้นล่ะครับ” เชเอ่ยถามอีกฝ่าย
“มองไม่ได้หรือไง”
“…..”
“ถ้าทำเสร็จธุระในห้องน้ำเสร็จแล้ว ก็เดินตามพี่ออกมานี่” หลังพูดจบพี่โปรดก็เดินนำออกจากห้องน้ำไป ทิ้งให้คนข้างหลังอย่างเชถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
พี่โปรดไม่พอใจเรื่องอะไรกันแน่? คำถามนี้เชได้แต่ถามตัวเอง ขณะที่เท้าของเขาก็กำลังเดินตามรุ่นพี่ร่วมคณะขึ้นไปยังชั้นดาดฟ้าของร้าน
“พี่โปรด….”
“เอาหน่อยไหม สูบเป็นเพื่อนกัน” ยังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายก็ชิ่งพูดขึ้นมาก่อน พี่โปรดไม่พูดเปล่าแต่อีกฝ่ายยังยื่นซองบุหรี่ยี่ห้อ Vergenia Slim มาให้เชอีกด้วย แต่เขาส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เอาครับ ไม่สูบ” เชปฏิเสธ ก่อนจะเดินไปยืนข้าง ๆ พี่โปรด หันหน้าไปทางเดียวกัน ปล่อยให้ลมตีเข้าหน้าของเราทั้งคู่ ไม่มีบทสนทนเกิดขึ้นระหว่างเรา เราแค่กำลังยืนมองวิสัยทัศน์ของกรุงเทพมหานครฯ ในยามค่ำคืนด้วยกันเท่านั้น
“ถ้าจำไม่ผิด ไอ้ซันบอกว่าเราเคยสูบ” นานนับนาทีกว่าพี่โปรดจะเป็นฝ่ายทำลายความเงียบนั้น
“ครับ ก็เคยลอง แต่ไม่ติด”
“ทำไม?”
“ก็ไม่ชอบไงครับ เลยไม่ติด” เขาให้คำตอบไปตามตรง
เชเคยลองสูบบุหรี่ตอนเข้าปีหนึ่งใหม่ ๆ ตามประสาวัยที่พ้นชั้นมัธยมมาหมาด ๆ อยากรู้อยากลองไปเสียหมด แต่พอลองแล้วไม่โอเค ไม่ชอบ เชก็เลยหยุดสูบ มันก็แค่นั้น
เมื่อพี่โปรดได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่ง อีกฝ่ายมองบุหรี่ที่เจ้าตัวคีบเอาไว้อย่างใช้ความคิด ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วพี่สูบได้ไหม?”
“ครับ?”
“ก็เขาบอกว่าคนที่ไม่สูบบุหรี่จะเหม็นกลิ่นบุหรี่มากกว่าคนที่สูบเป็นประจำ แล้วพี่อยากคุยกับเช แต่อยากสูบบุหรี่ด้วยเหมือนกัน”
“พี่โปรดอยากสูบก็สูบสิครับ เชไม่ไปไหนหรอก” เชว่าพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อย ก่อนรอยยิ้มนั้นจะจางหายไปในที่สุด
เมื่อเชว่าเช่นนั้นพี่โปรดก็ไม่รอช้า อีกฝ่ายคว้าไฟแช็กออกมา จุดไฟที่ปลายบุหรี่ของเจ้าตัว ก่อนจะยกมันขึ้นมา ออกแรงสูบเบา ๆ แล้วคีบเอาไว้อย่างนั้น
สายตาของพี่โปรดมองไปข้างหน้าอย่างคนใช้ความคิด เส้นผมของเจ้าตัวพลิ้วไหวไปตามแรงลมที่กำลังพัดผ่านตัวเราไป ส่วนเชก็มองควันบุหรี่ลอยละล่องไปตามลมอย่างเงียบ ๆ ความเงียบเข้าปกคลุมเราอีกครั้ง แต่ความอึดอัดไม่ได้มีมากมายเหมือนตอนอยู่ในห้องน้ำ
ภาพที่พี่โปรดกำลังสูบบุหรี่ คีบมันไว้อย่างชิล ๆ ทำให้เชรู้สึกว่าเรากำลังอยู่ในหนังรักสักเรื่อง แม้สิ่งที่อีกฝ่ายกำลังทำ มันคือการทำร้ายร่างกายตัวเอง แต่ก็ไม่ปฏิเสธไม่ได้มันดูดีและเท่มาก
“พี่โปรดสูบบุหรี่บ่อยไหมครับ” คราวนี้เป็นเชบ้างที่เป็นฝ่ายทำลายความเงียบนี้
“ไม่บ่อย….พี่ไม่ชอบให้กลิ่นมันติดตัว ติดเสื้อผ้า เลยสูบแค่เฉพาะตอนเที่ยวกับตอนที่มีเรื่องเครียดมาก ๆ เท่านั้น” ว่าจบอีกฝ่ายก็ยกบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกครั้ง
“แล้วตอนนี้?”
“ก็ทั้งคู่”
“……”
“ว่าแต่เราเถอะ เรื่องน้องขนมจีบนี่?”
“พี่โปรดก็เชื่ออย่างนั้นจริง ๆ เหรอครับ?”
“ไม่ได้เชื่อไอ้ซัน เชตอบว่ายังไงพี่ก็เชื่ออย่างนั้น แต่อยากฟังเชอธิบาย รุ่นน้องคนนั้นคือใคร” ริมฝีปากของพี่โปรดคลี่ยิ้มขณะที่กำลังถามไปด้วย เหมือนจะไม่ได้จริงจังมาก เหมือนถามสารทุกข์สุกดิบไปเรื่อย แค่เชกลับรับรู้ได้ถึงความจริงจังในน้ำเสียงนั้น
ซึ่งบางทีเขาอาจคิดไปเอง…
“ก็ไม่อะไรครับ รุ่นน้องในคณะ แต่อยู่คนละสาขา”
“…”
“น้องทักมาถามเรื่องเกมเลยได้คุยกัน แล้วเขาก็เอาขนมจีบมาฝาก เพราะบ้านเขาขาย”
“แค่นั้นเหรอ?”
“ก็แค่นั้นแหละครับ ถ้าพี่โปรดจะให้เชเล่าอีก เชก็ไม่มีอะไรจะเล่าแล้ว นอกจากจะเอาแชตตัวเองกับน้องมะปรางให้พี่โปรดดู” เชว่าอย่างติดตลก
“งั้นก็เอามาสิ อยากอ่านเหมือนกัน”
“…..” คราวนี้เชเงียบ
“ล้อเล่น”
พอได้ยินคำว่า‘ล้อเล่น’จากพี่โปรด เชก็อยากจะหัวเราะออกมา มันไม่ใช่มุกขำขันอะไร แต่กลับทำให้เชตลกอย่างบอกไม่ถูก
เรายืนข้างกันอยู่อย่างนั้น มองนั่นมองนี่ไปเรื่อย เชตั้งใจว่าหลังพี่โปรดสูบบุหรี่มวนนี้เสร็จ เขาจะกลับเข้าไปในร้าน ไปนั่งเฝ้าโต๊ะ ไปนั่งมองคนเมาหรือจะทำอะไรก็ว่าไป
“มือเชเล็กจัง” พี่โปรดพูดขึ้น สายตาของเจ้าตัวมองมาที่มือเช
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เชก็กางมือออกโดยอัตโนมัติ ก่อนจะใช้สายตาเปรียบเทียบขนาดมือของตัวเองกับพี่โปรด เขาเพิ่งสังเกตว่ามือพี่โปรดใหญ่กว่า มีเส้นเลือดขึ้นชัดเจนกว่า แต่ของเชเส้นเลือดมันไม่ได้ขึ้นชัดเท่าไรนัก
“เส้นเลือดพี่โปรดชัดจัง เห็นแล้วก็อิจฉา” เชพึมพำ ในขณะที่สายตาของเขายังมองมืออีกคนอยู่
เชเคยอ่านบทความหนึ่งบนเว็บไซต์ เขาบอกว่าในสายตาผู้หญิง เส้นเลือดของผู้ชายที่ปรากฎขึ้นตามข้อมือหรือแขนจะเป็นอะไรที่จเซ็กซี่มาก แต่เชกลับไม่ค่อยมี เขาจึงอิจฉาพี่โปรด
พี่โปรดไม่ได้พูดอะไร แต่เอามือข้างซ้าย ข้างที่ไม่ได้คีบบุหรี่เอาไว้ มาจับเข้าที่มือข้างขวาของเช มือของเราสัมผัสกันอย่างแนบแน่น เพราะพี่โปรดไม่ได้จับไว้เฉย ๆ แต่อีกฝ่ายจัดการสอดประสานนิ้วทั้งห้าของเราเข้าไว้ด้วยกัน
“พี่ก็อิจฉา มือเรานุ่มกว่าพี่อีก”
“ต้องนุ่มดิ ตอนเชอยู่บ้าน แม่ไม่ให้ทำอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นการล้างจาน ทำงานบ้าน แม่ทำเองทุกอย่าง แถมกำชับให้เชทาครีมบ่อย ๆ ด้วย แม่บอกว่าเป็นผู้ชายยุคใหม่ต้องหัดดูแลตัวเอง”
“แม่วัยรุ่นชะมัด”
“เรียกว่าทันโลกมากกว่าครับ แม่เชเป็นสาวสังคมมากเลยนะ ยอดไลก์ในเฟซบุ๊กก็เยอะกว่าเชอีก” เชว่าทั้งรอยยิ้ม เมื่อนึกถึงแม่อันเป็นที่รัก
“ถ้าพี่โปรดสูบบุหรี่มวนนี้เสร็จ เชจะลงไปนะครับ”
“อย่าเพิ่งสิ”
“ครับ?”
“อยู่ด้วยกันตรงนี้ก่อน ในร้านมันเสียงดัง”
“อยู่นี่ก็ไม่มีอะไรทำเหมือนกันนี่ครับ” เชว่า
“ก็พี่ไง ทำได้”
“ฮะ? พี่โปรดเมาเหรอครับ โอ๊ย! พี่โปรดอย่าดึงแก้ม” เชโวยวาย หลังเขาถูกคนข้างกายดึงแก้ม เชเพิ่งมารู้ว่าพี่โปรดดับบุหรี่ไปแล้ว เมื่ออีกฝ่ายใช้มือข้างดึงแก้มซ้ายขวาของเช
“ทำไมแก้มเช มันนุ่มจัง” พี่โปรดว่าอย่างมันเขี้ยว ในขณะเดียวกันมือของตัวเองก็กำลังดึงแก้มเชเล่นอย่างกับยางยืด
“มันหอมด้วยนะ รู้เปล่า” เชต่อปากต่อคำอย่างไม่คิดอะไร
“งั้นขอหอมได้ปะ”
“…..” คราวนี้เชเงียบ เพราะไม่รู้จะตอบรับหรือปฏิเสธดี
เราสบตา เกิดอาการต่างฝ่ายต่างทำตัวไม่ถูกขึ้นมากะทันหันและเพราะเชคิดจริงกับพี่โปรดมานานแล้ว ทำให้ตอนนี้หัวใจเขาเริ่มเต้นแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อพี่โปรดโน้มหน้าลงมา ในหัวมีแต่คำว่าจะเอายังไงต่อดี ในที่สุดเชก็ตัดสินใจพูดอะไรบางอย่างออกมา
บางอย่างที่เขาสงสัยและต้องการคำตอบ
“เรื่องของเรานี่ยังไงครับ?”
“….”
“ทำไมเมื่อกี้พี่โปรดไม่ช่วยเชปฏิเสธเรื่องของเรา”
“ถ้าไม่อยากทำแบบนั้น”
“ครับ?”
“ตามนั้น….พี่จะไม่พูดอะไรที่ตัวเองไม่อยากพูด”
“แต่คนอื่นเขาจะเข้าใจผิด”
“ก็ทำให้เขาเข้าใจถูก ดีไหม?”
“พี่โปรดเมาใช่ไหม” เชพูดอีกครั้ง เมื่ออีกฝ่ายโน้มหน้าเข้ามาใกล้…มันใกล้ยิ่งกว่าเดิมจนเชสัมผัสได้ถึงลมหายใจร้อนกรุ่นและกลิ่นบุหรี่อ่อน ๆ ของอีกฝ่าย ใจของเขาเต้นตึกตัก เพราะไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นระหว่างเรา
“จะเมาได้ไง ตั้งแต่พี่มาพี่ยังไม่ได้ดื่มสักแก้ว ”
“งั้นพี่ก็รู้ใช่ไหมว่าถ้าพี่จูบผม….อะไร ๆ มันจะไม่เหมือนเดิม” เชถามว่า
อะไร ๆ ที่เขาว่า หมายถึงเรื่องความสัมพันธ์ของเรา ในขณะเดียวกันนั้นสายตาของเชก็จับจ้องริมฝีปากรุ่นพี่ตาไม่กะพริบ
“บนโต๊ะเรา เพื่อนของพี่ เพื่อนของผมไม่มีใครจูบกันหรอกนะ”
“….”
“ถ้าพี่โปรดทำมัน ก็จะมีแค่เรา”
“ไม่เหมือนเดิมก็ช่างแม่งดิ….” พี่โปรดว่าอย่างเอาแต่ใจ
“พี่โปรดเมาแล้ว เมาหนักด้วย”
“ถ้าเชอยากคิดอย่างนั้นก็ได้นะ” พี่โปรดอย่างสบาย ๆ ใบหน้าเรายังใกล้กันเหมือนเดิม อีกนิดเดียวริมฝีปากเราจะแตะกันแล้ว
ยิ่งเชได้สบตาพี่โปรดใกล้ ๆ เขาก็ยิ่งตกอยู่ในวังวนที่อีกฝ่ายสร้างขึ้นมา เคยคิดจะตัดใจจากรุ่นพี่คนนี้ แต่ตอนนี้เชคิดว่าตัวเองทำไม่ได้หรอก
เชไม่มีทางตัดใจจากพี่โปรดได้ หากเขายังหลงอีกฝ่ายจนโงหัวไม่ขึ้นเช่นนี้
“แล้วเชล่ะ อยากไหม?” พี่โปรดเอ่ยถามเสียงแผ่ว เลื่อนสายตาจ้องต่ำ มองมาที่ริมฝีปากเช
“…..”
“อยากจูบพี่ เหมือนที่พี่อยากจูบเราไหม”
ไม่มีคำตอบหลุดปากเช เขาจะไม่มีทางพูดมันออกมา เชตัดสินใจรวบรวมความกล้า คว้าคอพี่โปรดให้โน้มตัวลงจูบ เพียงแค่ริมฝีปากเราสัมผัสกัน เชก็หลับตาลง หัวใจเขาทำงานหนักยิ่งกว่าเดิมจนเชกลัวตัวเอง เชเป็นฝ่ายเริ่มก่อนและเขาก็คิดว่าตัวเองทำมันได้ดี
จังหวะที่เชกำลังจะผละออก พี่โปรดก็เป็นฝ่ายรุกบ้าง อีกฝ่ายเอียงใบหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เราจูบกันได้ถนัดถนี่ขึ้น พี่โปรดดันร่างเชให้ติดกับขอบระเบียง เคลื่อนไหวริมฝีปากอย่างเก่งกาจ แล้วยังพยายามส่งสัญญาณให้เชอ้าปาก เพื่อที่จะได้สอดลิ้นเข้ามา
“ด—เดี๋ยวก่อน หายใจไม่ทัน” เชท้วง
เขารีบดันอกพี่โปรดเอาไว้ เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะโน้มตัวมาจูบอีกครั้ง นั่นทำให้พี่โปรดยอมหยุด อีกฝ่ายยิ้ม….พี่โปรดส่งยิ้มให้เช มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เชเขินอายได้โดยง่าย ไม่ต้องส่องกระจกเชก็รู้ว่าหูตัวเองกำลังแดงแจ๋ ยิ่งพี่โปรดรู้ว่าเชกำลังเขิน อีกฝ่ายก็ยิ่งแกล้งด้วยประโยคที่ทำให้เชรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในฝัน
“ถ้าพี่รู้ว่าจูบเราแล้วมันจะรู้สึกดีขนาดนี้ พี่คงจูบเราไปนานแล้ว”