บทที่ 2.1 แค่คืนนี้
เหยียบย่างแผ่นดินบ้านเกิดหลังจากไม่ได้กลับมานานถึงสามปีเป็นครั้งแรกก็รู้สึกเหมือนมาต่างประเทศเสียมากกว่า ดวงตากลมกวาดมองไปรอบ ๆ เพื่อหาบิดาที่รับปากว่าจะมารอรับด้วยตนเอง
“คุณหนูริลิน”
เสียงเรียกของ ‘ลุงปั่น’ คนขับรถประจำของหญิงสาวเมื่อครั้งยังเรียนมัธยมอยู่ที่นี่ทำให้หล่อนหยุดเดินแล้วหันไปมอง ไร้เงาของผู้เป็นพ่อที่ให้คำมั่นสัญญาว่าจะมา
“คุณพ่อล่ะคะ”
“คุณผู้ชาย…”
ลุงปั่นไม่รู้จะตอบอย่างไร สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกนั้นก็ทำให้เธอพอจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“ช่างเถอะค่ะ พาฉันไปส่งที่โรงแรมก็พอ”
“ได้ครับ ๆ เดี๋ยวผมถือกระเป๋าให้ครับ”
ส่งกระเป๋าให้อีกฝ่ายด้วยสีหน้านิ่ง ๆ เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร อันที่จริงก็เตรียมใจไว้อยู่แล้วว่าคงจะเข้าอีหรอบนี้ เธอไม่เคยตั้งความหวังกับบิดาแต่บางครั้งมันก็อดน้อยใจไม่ได้
การกลับมาครั้งนี้มีข้อแลกเปลี่ยนคือเธอจะไม่ขอกลับไปอยู่บ้านเด็ดขาด หญิงสาวไม่ต้องการใช้ชีวิตร่วมบ้านกับแม่เลี้ยงและลูกติดของเธอ มนตรีไม่อยากขัดใจลูกสาวจึงเช่าเหมารายปีโรงแรมเอาไว้ให้
เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดและแพงที่สุด มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันรวมถึงคนคอยบริการยี่สิบสี่ชั่วโมง
“ครั้งนี้มีเหตุผลอะไรอีกล่ะคะ ประชุม นัดกินข้าวกับลูกค้า หรือว่า…”
“วันเกิดคุณศรันย์ครับ”
“...”
“คุณผู้ชายเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเป็นวันเกิดคุณศรันย์ เพราะมัวแต่ยุ่งจนลืมครับ งานจัดใหญ่โตที่บ้านมีแขกมาเยอะ จะไม่มีคุณผู้ชายอยู่ร่วมงานก็ไม่ได้ครับ…”
ลุงปั่นอธิบายน้ำเสียงติดกังวล คนฟังแค่นหัวเราะด้วยคาดไม่ถึงว่าเหตุผลจะเป็นข้อนี่
งานวันเกิดของลูกติดเมียใหม่สำคัญกว่าวันกลับมาของลูกสาวแท้ๆ ที่ไม่ได้เจอกันสามปีอย่างนั้นเหรอ
“ก็ไม่ได้ผิดจากที่คิดไว้เท่าไหร่ เพราะผลลัพธ์มันก็ออกมาเหมือนเดิมทุกครั้งคือคุณพ่อไม่เคยเลือกฉัน”
หล่อนพึมพำ ลุงปั่นมองหญิงสาวผ่านกระจกมองหลังด้วยความเวทนา เขาทำงานขับรถให้กับคนในตระกูลนี้มาตั้งแต่สมัยที่มารดาของมาริลินยังมีชีวิตอยู่จึงเห็นเธอมาตั้งแต่แบเบาะ
“ยินดีต้อนรับกลับมานะครับคุณหนู”
“นอกจากลุงแล้ว…คงไม่มีใครยินดีมั้งคะ”
เธอตอบรับแต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ ลุงปั่นขับรถพาหล่อนไปโรงแรมอย่างเร็วที่สุดเพื่อที่หญิงสาวจะได้พักผ่อนจากอาการเจ็ตแล็ก
ดวงตากลมมองออกไปนอกหน้าต่าง วิวของกรุงเทพฯ ยามค่ำคืนให้ความรู้สึกเหงาไม่ต่างไปจากอังกฤษสักเท่าไหร่ ทั้งที่เป็นการกลับบ้านเกิดแท้ ๆ แต่ทำไมกันนะ ทำไมถึงได้รู้สึกอ้างว้างราวกับโลกใบนี้มันกว้างขึ้นกว่าเดิม
ลุงปั่นมาส่งจนถึงโรงแรมก็ถูกไล่กลับไป พนักงานช่วยขนของขึ้นไปยังห้องสวีตสุดหรูชั้นเกือบบนสุดตามหน้าที่ เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยมาริลินก็ขึ้นไปยังดาดฟ้าของโรงแรมเพื่อจะหาอะไรดื่มแก้เซ็งที่บาร์ลอยฟ้า
“มาร์ตินีหนึ่งแก้วค่ะ”
นั่งลงตรงหน้าบาร์เพื่อรอเครื่องดื่ม บนนี้มีลูกค้าอยู่เพียงไม่กี่คนเพราะคนจะขึ้นมานั่งได้ต้องจองห้องระดับวีวีไอพีหลักแสนบาทต่อคืนเท่านั้น มีดนตรีเบา ๆ ให้ฟังผ่อนคลายพร้อมกับชมบรรยากาศไปด้วย ตึกสูงขนาดนี้เวลาทอดสายตามองออกไปเลยค่อนข้างสงบ
“ได้แล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
รับเอามาแล้วเดินถือไปยืนอยู่ตรงระเบียงใกล้กับสระว่ายน้ำ มีแขกบางคนลงไปแช่น้ำพร้อมจิบค็อกเทลไปด้วย เป็นการกลับบ้านที่เงียบเหงาสุด ๆ ไม่ต่างไปจากที่คิดเท่าไหร่เลย
“ครับคุณแม่ ไม่ต้องเป็นห่วงครับ ไว้ผมจะกลับไปหา”
เสียงนุ่มเป็นโทนเดียวตลอดทั้งประโยคเรียกความสนใจจากหญิงสาว ปกติมาริลินไม่ใช่คนคอแข็งอะไรนัก เวลาปาร์ตี้มักจะเลือกสั่งแต่เครื่องดื่มเบา ๆ ระดับความเมาไม่รุนแรงมาก ทว่าวันนี้หล่อนรู้สึกจิตตกขั้นสุดเลยสั่งมาร์ตินี่ และแน่นอนว่า…
มันมากเกินไปสำหรับเธอ