“เฮ้อ! บางทีกูก็อยากให้มึงหยุดแล้วแคร์พี่กายบ้างนะอีเพื่อน แต่ตอนนี้คงไม่ทันหรอกเพราะผัวมึงเขาคิดว่ามึงนอนกับผัวอีแพงทุกคนไปนานแล้ว...มึงกลับไปหาเขาไม่ได้แล้วอีเพื่อน”
“แล้วไง? ใครจะกลับไป?”
“เฮ้อ!”
“มึงทำให้ปาร์ตี้จบมึงจ่ายของวันพรุ่งนี้ด้วย พรุ่งนี้กูจะมากินใหม่”
“เออ ๆ” เราเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก สนิทจนไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากเพราะต่อให้มันพูดให้ปากฉีกถึงรูหูถ้าลองบอกว่าไม่ก็คือไม่อยู่ดี
อีแซนดี้จ่ายค่าอาหารยังเสร็จฉันก็ลุกเดินออกจากร้านพร้อมกับสายตาที่จ้องมองหน้าจอไม่หยุด
“อีเพื่อนมึงจะรีบไปไหนเนี่ย โอ้ย! รอกระเทยด้วยชะนี!”
“มึงกลับไปก่อนเลยนะแซนดี้กูมีธุระต้องไปเคลียร์” ฉันบอกมันแค่นั้นก็บึ่งไปที่รถ
“มึงอย่าบอกนะว่าไปราวีมันอีก”
“มีกี่เรื่องในชีวิตล่ะที่กูจะรีบทำ” ตอบมันด้วยใจที่ร้อนมากแล้วฉันก็ขึ้นรถแล้วเหยียบคันเร่งรถออกจากร้านอาหารด้วยใจที่ร้อนกว่า!
-เวลาต่อมา-
“คุณเพื่อนขา~ คุณเพื่อนขา ๆๆ”
“มันอยู่ไหนป๋อมแป๋ม” ฉันเดินเข้าไปในบ้าน สายตาจ้องเข้าไปข้างในด้วยความโมโห
“กลับไปแล้วค่ะ”
“อะไรนะ?” ขาที่กำลังเดินหยุดชะงักกับคำตอบของแม่บ้านคนสนิท!
“กลับไปแล้วค่ะคุณเพื่อนขา”
“มันกลับไปนานรึยัง” โมโหกว่าการที่มันรู้ว่ามันมาเหยียบบ้านฉันคือการได้รู้ว่ามาถึงแต่มันกลับไปแล้วนี่ล่ะ!
“สามชั่วโมงแล้วค่ะ”
“อะไรนะ! แล้วทำไมไม่โทรบอก!” ฉันเห็นอีแพงมันอัพรูปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ที่สำคัญตอนที่เห็นมันเพิ่งอัพรูปได้แค่ห้านาทีเท่านั้นเอง แล้วแม่บ้านคนสนิทของฉันมัวทำอะไรอยู่ถึงไม่โทรรายงาน!
“คือ...คุณท่านไม่ให้แป๋มฟ้องค่ะ”
“พ่อ?”
“...คุณหญิงค่ะ”
“โอ้ย!” ขัดใจแล้วก็หงุดหงิดที่สุดเลยที่ได้ยินคำตอบว่าเป็นแม่
“คุณเพื่อนอย่าบอกว่าแป๋มบอกนะคะ”
“ฉันรู้น่าป๋อมแป๋ม!” ฉันเหวี่ยงใส่ป๋อมแป๋มแล้วเดินเข้าบ้านทันที
ก๊อก ๆๆ
“แม่คะ!” เคาะเสร็จฉันก็เปิดประตูเข้าไปเรียกแม่เสียงดัง
“อย่ามาเสียงดังนะยัยเพื่อน” แม่ส่งเสียงตำหนิแต่ฉันไม่สนใจหรอก มีเรื่องสำคัญกว่านั้นที่เราสองคนแม่ลูกต้องเคลียร์กัน
“อีแพงมาทำไมแม่ไม่บอกเพื่อน”
“บอกให้ลูกแม่มาอาละวาดเหรอ?”
“แล้วมันสมควรอาละวาดไหมในเมื่อเพื่อนเคยสั่งไม่ให้มันมาเหยียบที่นี่”
“ก็คุณพ่อบอกให้เด็กคนนั้นมา”
“เพื่อ?”
“วันพรุ่งนี้วันเกิดพระแพงคุณพ่อเลยให้เข้ามาเอาของขวัญ”
“อ่อ! เพื่อนเกือบลืมไปเลยว่าพรุ่งนี้เป็นวันที่อีแพงมันชิงหมามาเกิด”
“สงบสติอารมณ์หน่อยได้ไหมยัยเพื่อน แม่ไม่อยากให้ลูกดูร้ายในสายตาใครไปมากกว่านี้แล้วนะ”
“แล้วไงคะ? เพื่อนเคยแคร์สายตาใครด้วยเหรอ?”
“แต่แม่แคร์”
“แคร์คนอื่นแล้วเราต้องทุกข์นี่นะ เพื่อนไม่แคร์หรอกค่ะแม่...เพื่อนไม่อยากทุกข์เหมือนแม่”
“...” ฉันรู้ว่าคำพูดฉันจี้ใจดำแม่ แต่หลายครั้งฉันก็ทำอย่างที่แม่ต้องการไม่ได้ ให้ใจเย็นแล้วญาติดีกับคนอย่างมันงั้นเหรอ? เอาเชือกมาให้ผูกคอตายยังง่ายกว่า
“เพื่อนขอโทษค่ะถ้าพูดอะไรให้แม่รู้สึกแย่”
“เปลี่ยนจากขอโทษเป็นกลับบ้านโน้นดีกว่าไหม”
“กลับแน่ค่ะแม่ไม่ต้องห่วง”
“แม่หมายถึงกลับไปอยู่ถาวร”
“เหอะ!” ฉันแค่นเสียงกรอกตามองบนทันทีกับคำว่าอยู่ถาวร ไม่อยู่หรอกไม่เคยคิดจะอยู่ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
“ยัยเพื่อน”
“เพื่อนไปดีกว่า รักแม่นะคะ” ฉันยิ้มให้แม่แล้วเดินออกมาจากห้องท่านจากนั้นก็เดินออกจากบ้านก่อนที่คุณพ่อจะมาเจอ ไม่ใช่อะไรหรอก...หมั่นไส้ ไม่อยากเจอ
ฉันขับรถออกมาด้วยความหงุดหงิดที่ไม่ลดลงเลย หงุดหงิดกว่าเดิมด้วยซ้ำ อีแพงมันจงใจโพสให้เห็น จงใจโพสหลังกลับเพื่อให้ฉันเจ็บใจที่กลับบ้านแล้วไม่เจอเงาหัวของมัน!
...มึงจะเล่นแบบนี้กับกูใช่ไหมอีแพง ได้! แล้วมึงจะได้โดนถีบลงนรกซ้ำ ๆ อีกหลายครั้งเลยล่ะ
ฉันเหยียบคันเร่งให้เร็วกว่าเดิมเพื่อไปที่ ๆ หนึ่ง ที่ ๆ อีแพงมันมองหาเป็นที่พึ่งเสมอ
-เวลาต่อมา-
“มาทำไม?”
“มานอน”
“กลับไป”
“บ้านพี่คนเดียวเหรอ?” ฉันถามส่ง ๆ แล้วเดินขึ้นชั้นสองหน้าตาเฉย
“พระเพื่อน... / ออกไปจากบ้านพี่ ได้ยินคำนี้มาเป็นร้อยครั้งแล้ว เบื่อฟังมากเลยนะ ไม่เบื่อพูดบ้างเหรอถามจริง?”
“แล้วจะให้ไล่ทำไมซ้ำ ๆ วะ”
“รำคาญ” ฉันกรอกตาใส่แล้วเดินแกว่งกระเป๋าทำท่าสบายอารมณ์ใส่ผัวเก่าอีกหนึ่งคนของอีแพงที่ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังแอบแซ่บกันอยู่ไหม แต่ช่างเถอะฉันไม่ได้สนใจ ใครอยากกินของเน่า ๆ เหม็น ๆ ก็ให้มันกินไปไม่ได้แคร์อยู่แล้ว
ก๊อก ๆๆ
มาไล่อีกตามเคยสินะ เฮ้อ! เบื่อจังพูดไม่เคยรู้เรื่องแต่ก็อย่างว่าไอ้เจ้าของบ้านหลังนี้ฟังภาษาที่พูดตรง ๆ ไม่รู้เรื่องหรอกจะฟังรู้เรื่องก็แค่ภาษาเดียว...ภาษาตอแหล
กริ๊ก!
“มีอะไร?”
“พี่รู้ว่าเธอมาทำไม”
“ฉลาดนี่ แต่ทำไมเรื่องอื่นไม่ฉลาดบ้างนะปล่อยให้อีแพงมันตอแหลใส่อยู่ได้”
“เมื่อไหร่เธอจะเลิกใช้คำพูดต่ำ ๆ ว่าคนอื่นสักทีวะพระเพื่อน”
“ก็ตอนที่มันตายไง เคยบอกอยู่นะ” ฉันกรอกตาใส่เป็นครั้งที่ล้านให้กับความพูดไม่รู้เรื่องของคนตรงหน้าแล้วมั้ง
โง่...โง่ซ้ำโง่ซ้อน
“พระเพื่อน!”
“อะไร?” ตะคอกหาสวรรค์วิมานอะไร?
“ทำไมเอาแต่ทำตัวแย่วะ ถ้าอิจฉาพระแพงที่มีแต่คนรักก็หัดทำตัวดี ๆ บ้าง”
“ใครอิจฉามัน? แล้วที่บอกให้ทำตัวแบบมันนี่ไหนเหรอ แบบไหนที่ว่าดี? ตอแหลทั้งวันแบบนั้นน่ะเหรอ? ถุย!” ฉันแกล้งทำท่าถุยน้ำลายใส่ซึ่งแน่นอนว่าคนที่โมโหอยู่ตรงหน้าพอเห็นท่าทางเสื่อมทรามเกินผู้หญิงของฉันเส้นเลือดที่ขมับเขาก็ยิ่งปูดขึ้นจนกลัวว่าเส้นเลือดจะแตกตาย
“พระเพื่อน! มันเกินไปแล้วนะ”
“แล้วที่พูดว่าเพื่อนอิจฉามันล่ะไม่เกินไปหน่อยเหรอ พี่ก็รู้ว่าเพื่อนไม่ชอบแล้วพูดทำไม”
“เออ! พี่รู้ดีว่าเธอไม่ชอบคำนี้ แต่มันก็เหมือนกับที่ทุกคนรู้ดีว่าเธออิจฉาพระแพงนั่นล่ะ!”
“ถุย! คนอย่างเพื่อนนี่นะจะอิจฉาอีแพง ปัญญาอ่อน! ถ้าสมองพี่มันมีแค่นี้ก็เก็บมันไว้จำเรื่องดีของอีแพงเถอะไม่ต้องไปยัดเรื่องเพื่อนอิจฉาอีเมียเก่าพี่ไว้ในสมองหรอกเพราะแค่นี้สมองก็น้อยจนไม่มีที่รับข้อมูลอะไรแล้วพี่กาย!”
ปัง!
...ผัวอีแพงนี่มันเซลล์สมองน้อยทุกคนเลยให้ตายเถอะ! ไอ้ผู้ชายพวกนี้ถูกอีนั่นดูดสมองไปหมดเพื่อเพิ่มเลเวลตอแหลรึไงนะถึงได้โง่ซ้ำซาก โง่ซ้ำซ้อน โง่จนไม่รู้จะสิ้นสุดความโง่ตรงไหนแล้วก็ไม่รู้จะอธิบายความโง่ออกมาได้ยังไง!