ตอนที่ 8 เรื่องแปลก

2112 คำ
แองจี้ : “เป็นยังไงบ้าง ลูกพี่ลูกน้องสุดโปรดของฉัน?” เอเลน่าพูดพร้อมดึงฉันเข้าไปกอดแน่น “โอ้ เอเลน่า! นานมากแล้วนะที่เราไม่ได้เจอกัน ฉันนึกว่านายลืมฉันไปแล้วเสียอีก” “ลืมเธอ? ไม่มีทางหรอก! ใครจะลืมลูกพี่ลูกน้องที่น่ารักอย่างแองจี้ได้? เราเคยเล่นด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ นี่นา” เอเลน่ายิ้มกว้าง แต่จู่ๆ เธอก็หยุดพูดแล้วมองฉันอย่างพินิจ “แต่... เดี๋ยวก่อน เธอทำอะไรกับผมน่ะ?” “อะไรนะ ทำไมถึงถามแบบนั้น?” ฉันถามด้วยความงุนงง ก่อนจะยกมือขึ้นลูบผมตัวเอง แล้วก็ต้องหน้าแดงเมื่อรู้ว่ามีคราบเปื้อนติดเต็มไปหมด “โอ้ย น่าอายจริงๆ” ฉันรีบเช็ดออกทันที แต่ยิ่งเช็ดยิ่งเลอะ “แล้วเธอทำอะไรอยู่ล่ะ?” เอเลน่าถามด้วยสีหน้าสงสัย “ฉันกำลังลองทำของว่างให้สามี วันนี้เขาเริ่มงานวันแรก แล้วฉันก็อยากทำอะไรเซอร์ไพรส์เขาสักหน่อย แต่ดูเหมือนฉันจะทำพังมากกว่า” “สามี? งั้นข่าวลือที่ว่าก็เป็นเรื่องจริงสินะ ได้ยินว่าเธอแต่งงานแล้ว เสียดายจัง ตอนนั้นฉันติดธุระเลยไม่ได้มางานแต่งของเธอ” “ไม่เป็นไรหรอก เธอจะได้เจอเขาแน่นอนตอนเขากลับบ้าน เขาเป็นคนน่ารักมาก เธอต้องชอบเขาแน่ๆ” ฉันพูดยิ้มๆ “ถ้าเขาทำให้เธอยิ้มได้ขนาดนี้ แล้วยังยอมให้เธอเข้าครัวเองได้ เขาต้องเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากแน่ๆ” “ใช่เลย ฉันรักเขามากที่สุดในโลกนี้ แล้วเธอล่ะ ชีวิตช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?” ฉันถามพลางเชิญเธอนั่งลง เพื่อจะได้คุยกันอย่างสบายใจ “อ้อ ก็ดี ฉันใช้ชีวิตเรียบง่ายน่ะ เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบทำตัวเด่นอยู่แล้ว” “แค่นี้เองเหรอ?” “ก็ใช่น่ะสิ” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ แต่ฉันรู้สึกถึงอะไรบางอย่างในคำตอบที่ดูเหมือนเลี่ยงบางเรื่องไป “แล้วลูกชายเธอล่ะ?” “โอ้” เธอหัวเราะเบาๆ “ก็ซนตามประสาเด็กๆ น่ะ แต่ก็ได้รับการดูแลอย่างดีที่บ้าน” “เหรอ...” ฉันตอบพลางลากเสียงยาว รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ปกติ “งั้นคราวหน้าที่เธอมาเยี่ยม ลองพาลูกมาด้วยสิ ฉันอยากเจอหลานนะ แล้วบางทีเขาอาจจะได้เจอหลานอีกคนของฉันด้วยก็ได้ พวกเขาอาจจะได้เป็นเพื่อนกัน” “เธอมีหลานด้วยเหรอ?” “ใช่ ลูกสาวของน้องสาวสามีฉัน เธอน่ารักมากเลยล่ะ” ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์ของเอเลน่าก็ดังขึ้น เธอรีบหยิบมาดู สีหน้าที่เคยสงบเมื่อครู่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด “แองจี้ ที่รัก ฉันแค่มาเยี่ยมสั้นๆ เพราะผ่านมาทางนี้จริงๆ แต่ตอนนี้ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องไปจัดการ หวังว่าเธอจะไม่ว่าอะไรนะ” “ไม่เป็นไรเลย การมาเยี่ยมของเธอทำให้ฉันดีใจมากนะ คราวหน้ามาอีกนะ แล้วพาหลานมาด้วย บ้านนี้จะได้สดใสขึ้นบ้าง” “ฉันจะจำไว้แน่นอน ดูแลตัวเองด้วยนะ แองจี้” เธอยิ้มให้ ก่อนจะลุกขึ้นมาหอมแก้มฉัน แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมีอะไรบางอย่างในใจ “คุณผู้หญิงคะ ฉันเอา...” แม่บ้านเดินเข้ามาพร้อมกับเหยือกน้ำและแก้ว แต่เมื่อเห็นห้องว่างเปล่า เธอก็ชะงัก “อ้าว เธอกลับไปแล้วเหรอคะ?” “ใช่จ้ะ เธอแค่ผ่านมาเยี่ยมสั้นๆ จริงๆ เธอบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการ” ฉันตอบพร้อมยิ้มบางๆ “แต่ดูแปลกๆ นะคะ ปกติแล้วมาขนาดนี้ น่าจะอยู่กินข้าวกลางวันด้วยกันสักหน่อย” “ฉันก็คิดเหมือนกัน แต่เธอเป็นแบบนี้มาตลอดล่ะ มักจะคาดเดาไม่ได้และลึกลับเรื่องส่วนตัวเสมอ” แม่บ้านพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะช่วยจัดเก็บของต่อ ในขณะที่ฉันนั่งนิ่ง คำพูดและท่าทางของเอเลน่าทำให้ฉันรู้สึกว่า... ครั้งนี้เธออาจจะซ่อนบางอย่างเอาไว้ ---- ลูเซีย : “เหลือเชื่อจริงๆ มีแต่นายนี่แหละที่กล้าสั่งเหล้าขวดหนึ่งในร้านไอศกรีม” ฉันพูดพลางกลอกตา “แล้วมันผิดตรงไหนล่ะ? มันก็แค่รสนิยมของฉันเอง ฉันยังไม่เคยว่าเธอตอนนั่งกินไอศกรีมเลยนะ” ฟิลิโปเถียงกลับหน้าตาย “รู้ไหม? ก่อนที่นายจะทำให้ฉันขายขี้หน้ามากกว่านี้ ฉันว่าฉันจ่ายเงินแล้วไปดีกว่า” ฉันว่าพร้อมหยิบกระเป๋า “ส่วนเรื่องเงินเดือน ฉันเคลียร์ให้เรียบร้อยแล้วนะ” “เยี่ยมเลย!” เขายิ้มอย่างพอใจ ฉันยกมือเรียกพนักงานเสิร์ฟมาเพื่อขอเช็กบิล พนักงานเดินมาอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่ฉันจะได้ลุกออกจากร้าน เธอกลับชี้ไปที่ขวดเหล้าที่ฟิลิโปสั่ง “ขวดนี้ราคาแพงมากเลยนะคะ” “ให้คุณผู้ชายคนนี้จ่ายค่ะ” ฉันตอบพลางยิ้มหวาน “หา? ลูเซีย! เราตกลงกันแล้วว่าเธอจะจ่าย!” ฟิลิโปอ้าปากค้าง ตาแทบถลน “ใช่ ฉันบอกว่าจะจ่าย... แต่เฉพาะสิ่งที่กินในร้านนี้ไง” ฉันหันไปมองเขาอย่างเหนือกว่า “ส่วนขวดนี้ มันเป็นความบ้าบิ่นของนายเอง ฉันไม่เกี่ยว” ฉันหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาย แล้วเดินออกจากร้านอย่างสบายใจ ทิ้งเขาไว้กับความหงุดหงิด “ลูเซีย! กลับมานี่เดี๋ยวนี้!” เสียงฟิลิโปดังตามหลังมา ฉันได้ยินชัดเจน แต่แค่ยิ้มขำในใจ ลมข้างนอกพัดเบาๆ ทำให้ฉันรู้สึกโล่งอกขึ้นมาทันที เสียงวุ่นวายของฟิลิโปเบื้องหลังค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับความหงุดหงิดที่ติดค้างในใจ บางทีการปล่อยให้เขาจัดการชีวิตตัวเองบ้างก็คงจะไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร ฉันคิดพร้อมกับก้าวเดินต่อไปด้วยความมั่นใจในแบบของตัวเอง ----- หลังจากจัดการงานที่ออฟฟิศจนเรียบร้อย ฉันก็กลับบ้านตอนเย็นย่ำ ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มอ่อน พอเปิดประตูเข้าไปในบ้าน ภาพแรกที่ฉันเห็นคือไดอานิต้านั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว “แม่กลับมาแล้ว! แม่กลับมาแล้ว!” เสียงเล็กๆ ตะโกนด้วยความดีใจ เธอกระโดดลงจากเก้าอี้แล้ววิ่งตรงเข้ามาหาฉัน “แม่ลูกสาวคนเก่งของแม่” ฉันพูดพร้อมช้อนตัวเธอขึ้นมากอดแน่น รู้สึกถึงพลังงานความรักที่ส่งผ่านอ้อมแขน “พร้อมหรือยังที่จะทำสายไหมสุดวิเศษกัน?” ฉันถาม “แม่จำได้ด้วย!” ไดอานิต้าพูดเสียงใส ดวงตาเป็นประกาย “แม่เคยลืมคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกบ้างไหมล่ะ?” ฉันยิ้ม พร้อมลูบหัวเธอเบาๆ “แม่ดีที่สุดเลย!” เธอตอบพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ทำให้หัวใจฉันพองโต “คุณผู้หญิงจะรับมื้อเย็นเลยไหมคะ?” รูธถามพลางส่งยิ้มอบอุ่น “รับค่ะ แต่ขอฉันไปอาบน้ำก่อนนะ วันนี้เหนื่อยมากจริงๆ” ฉันตอบ “ได้เลยค่ะ ไม่ต้องห่วง” เมื่อฉันเข้าห้องนอน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็เห็นข้อความจากฟิลิโปส่งมาหลายข้อความ “ฉันต้องจ่ายเงินตัวเองเลยนะลูเซีย เรื่องนี้ยังไม่จบแน่!” ฉันหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะข้างเตียง ภาพในหัวของฟิลิโปที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเหล้าเองนั้นช่างตลกเกินบรรยาย หลังจากอาบน้ำเสร็จและเปลี่ยนเป็นชุดสบายๆ ฉันก็กลับไปที่โต๊ะอาหาร กินมื้อเย็นอย่างรวดเร็ว เพราะสิ่งที่ฉันรอคอยจริงๆ คือการได้เริ่มทำสายไหมที่สัญญาไว้กับลูก แม้จะหาวัตถุดิบยากไปบ้าง แต่สุดท้ายเราก็ได้มันมาครบ พอได้เริ่มทำจริงๆ ความเหนื่อยทั้งวันก็เหมือนหายไปทันที ความสุขที่ได้เห็นสายไหมหลากสีสันอยู่ในมือ และแววตาตื่นเต้นของไดอานิต้าทำให้ทุกอย่างคุ้มค่า “ไดอานิต้าดูมีความสุขมากเลยค่ะ” รูธพูดขึ้นหลังจากพาเธอเข้านอน “ตอนกลับจากโรงเรียน เธอเอาแต่พูดว่า คืนนี้แม่จะช่วยเธอทำสายไหมสุดพิเศษ” “ฉันไม่เคยลืมสัญญาหรอก รูธ” ฉันตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คำพูดของฉันมีค่าเสมอสำหรับลูกสาว และฉันจะทำทุกอย่างเพื่อให้เธอมีความสุข” ฉันยิ้มออกมาเบาๆ ขณะที่มองแสงจันทร์ลอดหน้าต่างเข้ามา ความเหนื่อยล้าทั้งหมดในวันนี้กลับกลายเป็นความอบอุ่นในใจเมื่อคิดถึงรอยยิ้มของไดอานิต้า ----- เช้าวันถัดมา ฉันเริ่มต้นวันด้วยการช่วยไดอานิต้าเตรียมตัวไปโรงเรียน ตรวจดูให้แน่ใจว่าเธอมีทุกอย่างครบถ้วนตามที่ต้องใช้ รูธจะเป็นคนพาเธอไปส่ง ส่วนฉันต้องรีบไปออฟฟิศ มีประชุมกับบอร์ดบริหาร และช่วงบ่ายยังต้องไปเซ็นสัญญากับโรงพยาบาลแห่งใหม่ ทุกอย่างถูกวางแผนไว้อย่างดี แต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่ราบรื่นอย่างที่คิด เพราะพอเดินเข้ามาในออฟฟิศ พนักงานต้อนรับก็แจ้งว่ามีคนมารอฉันอยู่ ฉันประหลาดใจ เพราะไม่ได้มีนัดกับใคร และเมื่อเปิดประตูเข้าไป ฉันก็พบว่าน็อกซ์กำลังนั่งรออยู่ในห้องรับรอง “คุณโคฟเลอร์?” ฉันถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “ไม่มีใครอยู่แถวนี้ ลูเซีย เลิกเรียกฉันด้วยนามสกุลเถอะ เธอก็รู้ดีอยู่แล้วว่าฉันชื่ออะไร” “แต่ตอนนี้คือเวลางานค่ะ คุณโคฟเลอร์ อีกอย่าง พนักงานแจ้งว่าคุณมีเรื่องสำคัญเกี่ยวกับสัญญา ฉันจึงมาเพื่อช่วยตอบคำถาม” ฉันตอบกลับอย่างใจเย็น “เธอรู้อยู่แล้วว่าฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อพูดเรื่องสัญญา” “ถ้าอย่างนั้น ฉันคิดว่าเราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้วค่ะ คุณกำลังเสียเวลาของฉัน และฉันต้องรีบไปโรงพยาบาลที่มีคนรออยู่ตรงเวลา” “ลูเซีย เธอจะทิ้งฉันไว้แบบนี้ไม่ได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว “คุณโคฟเลอร์ ที่นี่คือสถานที่ทำงาน ถ้าคุณมีคำถามเรื่องสัญญา คุณสามารถพูดคุยกับบอร์ดบริหารคนอื่นๆ ได้ ฉันไม่ได้ดูแลคนเดียว” “ฉันไม่ได้อยากคุยกับคนอื่น” ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา และพบว่าฉันเริ่มจะล่าช้ากว่ากำหนด ฉันไม่อยากปล่อยให้ลูกค้าอีกที่ต้องรอ “ถ้าคุณอยากคุยกับฉันจริงๆ คุณอาจต้องนัดล่วงหน้า” “ลูเซีย เธอล้อเล่นหรือเปล่า?” เขาถามพลางขมวดคิ้วอย่างไม่อยากเชื่อ “ถ้าไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับสัญญา ฉันก็ไม่มีอะไรจะพูดอีกค่ะ ขอโทษด้วย” เขาหัวเราะเยาะในลำคอ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก “ตอนนี้เธอทำตัวเหมือนคุณหญิงคุณนายเต็มตัวเลยนะ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเธอหลอกเอาเงินจากผู้ชายที่เธอหนีไปด้วยในวันครบรอบของเราไปเท่าไหร่” ฉันหยุดชะงัก หันกลับมามองเขาอย่างตกใจ “คุณว่าอะไรนะ?” “หรือเธอฟังไม่ชัด? จะให้ฉันพูดซ้ำไหม?” “คุณกำลังกล่าวหาฉันเรื่องเงินใช่ไหมคะ นี่เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงมาก ถ้าคุณไม่มีหลักฐาน คุณอาจจะเดือดร้อน” “หยุดเล่นบทนางเอกได้แล้ว ลูเซีย! ฉันเบื่อกับท่าทีนี้ของเธอเต็มทน” เขาพูดพลางกำหมัดแน่น “ฉันมีเรื่องอื่นที่ต้องไปจัดการ และคำพูดของคุณในวันนี้ ฉันจะปล่อยผ่านเพราะไม่มีเวลาเล่นเกมคำกับคุณ” ฉันพูดพร้อมทำท่าจะเดินจากไป “ฉันพูดอะไรผิดไปสักอย่างไหม?” ฉันหันมาสบตาเขา แล้วพูดเสียงเรียบ “คุณคิดว่าฉันได้ทุกอย่างมาอย่างง่ายๆ ใช่ไหม? ฟังนะ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเด็กในตระกูลใหญ่โตแล้วได้ทุกอย่างมาโดยไม่ต้องพยายาม และถึงฉันจะเคยได้ปลามา แต่ฉันก็รู้วิธีจับปลาเองเหมือนกัน” พูดจบ ฉันเดินผ่านเขาไปโดยไม่สนใจเสียงเรียก ฉันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบข้อความจากบอร์ดบริหารที่รออยู่ที่โรงพยาบาล “ฉันกำลังไป จะถึงอีกไม่นาน” เสียงของน็อกซ์ดังไล่หลังมา “ปั่นจักรยานไปคงไม่ทันหรอก!” ฉันหันกลับมายิ้มบางๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ใครบอกว่าฉันจะปั่นจักรยาน?” จากนั้น ฉันเดินไปที่ลานจอดรถ หยิบกุญแจออกจากกระเป๋า เปิดประตูรถอย่างมั่นใจ แล้วขับออกไปต่อหน้าต่อตาเขา ทิ้งไว้เพียงสายตาของน็อกซ์ที่มองตามหลังมาอย่างเดือดดาล
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม