หลังจัดการเจ้าก้อนแป้งน้อยให้กินอิ่มนอนหลับแล้ว หลิ่งฟางเซียงก็วางเขาลงในเปลนอนที่มีมุ้งครอบกันไรฝุ่น เพราะต่อจากนี้สิ่งที่เธอต้องจัดการก็คือทำความสะอาดตำหนักท้ายวังร้างนี่
พักอาศัยอยู่ในสถานที่สกปรกแน่นอนว่าวันหน้าย่อมเกิดโรคภัย
มือเดียววาดบนอากาศเปิดระบบอัตโนมัติ หยิบเครื่องมือทำความสะอาดแบบง่ายออกมาอยู่ 3-4 อย่างจากคลังในมิติ และหนึ่งในนั้นก็คือเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติ หญิงสาวจัดการปัดกวาดหยากไย่บนหลังคาและฝุ่นที่จับบนเครื่องใช้อันน้อยชิ้น เศษฝุ่นกระจายคละคลุ้ง จนทั้งตัวของเธอเต็มไปด้วยหยากไย่และผงฝุ่น ก่อนที่นิ้วเรียวจะกดเจ้าเครื่องดูดฝุ่นที่มีระบบเช็ดทำความสะอาดพื้นในตัวให้เริ่มทำงานต่อ
“เหนื่อยชะมัด!!!”
หลิ่งฟางเซียงทิ้งตัวลงนั่งบนโต๊ะเก้าอี้ไม้ชุดใหม่ที่เธอนำออกมาจากในคลังมิติ พลางรินชาขึ้นดื่มแก้กระหาย ทอดสายตามองดูเจ้าเครื่องดูดฝุ่นอัตโนมัติที่พ่วงระบบเช็ดทำความสะอาดทำงานแทนด้วยรอยยิ้มพึงพอใจ
“เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มาพร้อมความสะดวกสบาย มันดีเช่นนี้นี่เอง”
ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วยามห้องที่เต็มไปด้วยหยากไย่และผงฝุ่นราวกับเรือนร้างก็สะอาดหมดจด หลิ่งฟางเซียงวาดมืออีกครั้งเพื่อเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างเอาไว้ในคลังมิติ ป้องกันไป๋เหลียนฮวาตกใจจนสิ้นสติ
“แอ๊ะๆ!!! แอ๊ะๆ!!!”
เสียงร้องเรียกของเจ้าก้อนแป้งในเปลนอนดังขึ้น หลิ่งฟางเซียงรีบเข้าไปดูเขาพลางเอ่ยถาม
“เสี่ยวอัน เจ้าเป็นอะไร หิวอีกแล้วหรือ”
หลิ่งฟางเซียงถามเสียงอ่อนโยน แต่ว่าครั้งนี้เด็กชายตัวน้อยในเปลกลับไม่มีท่าทางกระตือรือร้นตอบสนองเหมือนกับทุกคราว ริมฝีปากของเขาเม้มเข้าหากันแน่น ส่ายหัวหลุกหลิกไปมา ราวกับต้องการจะพยายามสื่อสารบางสิ่งบางอย่าง
จะทำอย่างไรให้ท่านแม่เข้าใจว่าข้ากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ชวนอับอาย
และที่เด็กชายตัวน้อยในเปลรู้ความถึงเพียงนี้ก็เพราะเขาคือองค์ชายเสี่ยวอันในอนาคตอีก 10 ปีข้างหน้านั่นเอง
ในอดีตเพราะมารดาถูกใส่ร้าย บิดาใจดำผู้นั้นจึงกักขังนางให้อยู่ในตำหนักท้ายวัง ต้องตกทุกข์ได้ยากลำบากถึง 10 ปี สวรรค์จึงเป็นใจให้คนผู้นั้นตกตายอยู่ในสนามรบ
เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบว่าเขาซึ่งเป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวและพระมารดายังมีชีวิตอยู่ เพื่อตอบแทนความดีความชอบทางการทหารของบิดาใจดำผู้นั้นจึงประทานอภัยโทษให้เขาและพระมารดา
เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าเท้ายังไม่ทันก้าวออกจากตำหนักท้ายวังแห่งนี้ ตระกูลมารดาที่มีความคับแค้นใจต่อบิดาก็ส่งมือสังหารมาถอนรากถอนโคน คนในวังอ๋องเฉินร่วมร้อยชีวิตตายหมดสิ้นทั้งหมดภายใน 1 คืน
ในเมื่อสวรรค์ประทานโอกาสให้เขาได้ย้อนเวลากลับมาแก้ไขเรื่องราวในอดีต เขาผู้นี้แม้ยังเป็นทารกก็จะขอปกป้องมารดาด้วยชีวิต
เพียงแต่เรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้เขาจะจัดการตนเองอย่างไรดี
เพื่อไม่ให้มารดาที่แสนอบอุ่นคนนี้เปลี่ยนแปลงกลับไปเป็นมารดาที่แสนเย็นชาอีกครั้ง เสี่ยวอันจึงจงใจแผดเสียงร้องดังก้อง
ไป๋เหลียนฮวาที่กำลังซักผ้าอยู่นอกเรือนจึงรีบวิ่งเข้ามา ดวงตาของนางพลันเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นว่าพระชายากำลังปลอบประโลมองค์ชายในเปล ที่สำคัญเรือนพักในตอนนี้ยังสะอาดหมดจดราวกับถูกสาวใช้นับ 10 ชีวิตเข้ามาช่วยเหลือจัดการ
ใบหน้าขาวซีดของไป๋เหลียนฮวาพลันอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความรู้สึกผิด นี่นางปล่อยให้เจ้านายต้องยากลำบากลงมือทำความสะอาดเรือนด้วยตนเองอีกแล้วหรือ
หลิ่งฟางเซียงเข้าใจความคิดของสาวใช้ตรงหน้าก็รีบกล่าวปลอบโยน
“ช่วงนี้สุขภาพของข้าไม่แข็งแรง พวกเราอยู่ในตำหนักท้ายวังเช่นนี้หยูกยาก็หายากยิ่ง มีเพียงต้องออกกำลังให้มากหน่อยสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน วันหน้าจึงจะไม่ล้มป่วยง่ายๆ”
“แต่งานพวกนี้เป็นงานของบ่าวรับใช้เช่นหม่อมฉัน จะให้พระชายาลงมือทำได้อย่างไรกันเพคะ”
“ไหนๆ ข้าก็ต้องการที่จะออกกำลังเพื่อสร้างสุขภาพ ไม่สู้ใช้กำลังไปกับเรื่องที่เป็นประโยชน์ไม่ดีกว่าหรือ”
“แต่ว่า...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น หากเจ้าอยากจะช่วยข้าก็ช่วยมาดูเสี่ยวอันเถิด ร้องดังขนาดนี้เป็นอะไรหรือไม่ ป่วยหรือเปล่า”
เพราะวันนี้เธอทำความสะอาดตำหนักครั้งใหญ่ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยฝุ่น บางทีอาจจะเป็นสาเหตุทำให้เด็กชายในเปลมีอาการไม่สบายได้
ไป๋เหลียนฮวาได้ยินว่าองค์ชายมีปัญหาก็เร่งรีบเข้าไปตรวจสอบ เมื่อพบสาเหตุก็อดที่จะยิ้มขบขันไม่ได้
“องค์ชายเพียงขับถ่ายเท่านั้นเพคะ ไม่ได้ประชวรอะไร”
หลิ่งฟางเซียงถอนหายใจอย่างโล่งอกเขาเป็นเด็กน้อย หลังจากกินอิ่มนอนหลับ ก็ต้องขับถ่าย ล้วนเป็นเรื่องปกติ เหตุใดต้องร้องเสียงดังจนเธอตกใจเช่นนี้ด้วย
“ครั้งหน้าหากเจ้ารู้สึกไม่สบายตัวก็พลิกไปมาสื่อสาร อย่าได้ร้องไห้โวยวายเช่นนี้อีก”
“แอ๊ะๆ !!!”
เด็กน้อยในเปลส่งเสียง ราวกับกำลังขานรับคำสอนของมารดา หลิ่งฟางเซียงเห็นแล้วก็อดที่จะจับแก้มตอบของเขาเบาๆไม่ได้
................,................,................