“แม่จ๋า แม่จ๋า แก้วชอบน้ำซ่า ๆ แต่ไม่เอาน้ำแดงได้ไหมจ๊ะ? ลูกศิษย์พ่อชอบถวายแต่น้ำแดง ไม่รู้เป็นอะไร” เสียงแก้วกล้าที่นั่งประกบด้านซ้ายของมิลาดาพูดเจื้อยแจ้วขึ้นมา
“ส่วนทองชอบของหวานจ้ะ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ไข่แมงดา แม่ทำเป็นไหมจ๊ะ? ถ้าทำไม่เป็นจะซื้อมาบูชาก็ได้นะจ๊ะ” เสียงทองแท่งดังขึ้นมาตาม
สองกุมารตัวกลมพูดจาเจื้อยแจ้วไม่มีหยุด เหมือนไม่เคยคุยกับใครมาก่อน
“หุบปากบ้างได้ไหมไอ้พวกลูกกรอกทั้งหลาย นี่มันเวลากินข้าว ให้แม่มึงได้กินข้าวบ้าง” กันภัยที่นั่งกินข้าวทั้งที่ท่อนล่างยังนุ่งผ้าขาวม้าท่อนบนมีเสื้อยืดสีขาวสวมอยู่ดุสองกุมารเสียงดัง
“สรุปเขามาเป็นแม่แก้วกับทองจริง ๆ เหรอพ่อ?” ทองแท่งหันไปถามกันภัย
“ก็พวกมึงเล่นเรียกเขา แม่ แม่ ไม่หยุดปาก กูเลยปล่อยเลยตามเลย” กันภัยพูดแล้วยักไหล่ก่อนจะตักหมูทอดเกลือด้านหน้ามาใส่จานข้าวที่เป็นกระเบื้องเผาเคลือบเงาสีขาวแบบบ้าน ๆ ของเขา
“ดีเลยจ้ะ แก้วอยากมีแม่ อยู่แต่กับพ่อมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่เคยมีแม่เลย คนที่คิดว่าจะได้มาเป็นแม่ก็ไม่ได้เป็น” แก้วกล้ายังพูดไม่หยุดก่อนที่พ่อของมันจะหันมาถลึงตามองกุมารน้อยด้วยสายตาไม่พอใจนัก
“มึงหุบปาก ไม่งั้นกูไล่แม่พวกมึงออกจากบ้านกูแน่” กันภัยเตือนกุมารแก้ว
แค่บทสนทนาคร่าว ๆ มิลาดาที่ไม่ได้โง่นักก็จับใจความได้แล้วว่าหมอยันต์รูปหล่อคงจะมีความรักความหลังกับสาว ๆ มาไม่น้อย แต่คงไม่มีใครได้ลงเอยในตำแหน่งนายหญิงของบ้านนี้แบบจริงจัง
“หุบปากไม่ได้หรอกจ้ะพ่อ คนมาบ้านพ่อตั้งมากตั้งมาย แก้วกับทองขย่มเสาเรือนก็แล้ว ขยับของในห้องสักก็แล้ว ยังไม่เคยเห็นใครได้ยินเสียงแก้วกับทองเลย มีแต่แม่ ทั้งเห็นแก้วกับทอง ได้ยินแก้วกับทอง แก้วกับทองเลยอยากพูดเยอะ ๆ” ทองแท่งพูดขึ้นมาแล้วหันไปยิ้มแป้นให้แม่คนใหม่
“หือ? มีแต่หนูเห็นแก้วและทองเหรอคะ? ทำไมเป็นแบบนั้นไปได้คะหมอ?” มิลาดาถามหมอยันต์หนุ่ม เธอไม่ติดใจที่สองกุมารจะเรียกเธอว่าแม่แม้แต่น้อย เพราะดูไปดูมาพวกเขาก็น่ารักน่าเอ็นดู ถ้าไม่ติดว่าเป็นวิญญาณมิลาดาก็อยากอุ้มมากอดมาหอมสักคนละทีสองที
“คนเห็นผีมีเยอะแยะ ไม่ใช่เรื่องแปลก มันอยู่ที่คลื่นวิญญาณจูนกันได้หรือเปล่า ผีก็เป็นคลื่นชนิดหนึ่ง คิดง่าย ๆ เหมือนสัญญาณวิทยุ ถ้าคลื่นตรงกันก็สื่อสารกันได้ เหมือนกูเป็นพวกคลื่นแรง ส่วนมึง... คงเป็นพวกมีสัญญาณบ้างไม่มีสัญญาณบ้าง ไม่งั้นก็คงไม่เรียกไอ้ผีห่านั่นให้ตามก้นรอจับทำเมียหรอก” กันภัยแสยะยิ้มแล้วพูดหยอกเอินราวกับเรื่องของมิลาดาเป็นเรื่องน่าขัน แต่คำพูดของเขากลับทำให้สาวน้อยหน้าคว่ำ
“ไม่ตลกค่ะหมอกันภัย หนูกลัวจริง ๆ นะคะ ไม่งั้นคงไม่ดั้นด้นมาถึงที่นี่ ยายแค่บอกคำเดียวว่าหมอช่วยหนูได้หนูก็ถ่อมาจากกรุงเทพฯ ทันที หนูจริงจังค่ะ” มิลาดาพูดเสียงกระเง้ากระงอด
สาวน้อยพูดไปก็ตักกับข้าวที่มีเพียงหมูทอดเกลือ น้ำพริกผักต้ม และไข่เจียวมากินบ้าง ตักไปตักมาแขนเสื้อยืดที่หลวมโครกก็เกือบจุ่มลงไปในถ้วยน้ำพริกจนกันภัยทนไม่ไหวต้องยื่นมือออกไปม้วนแขนเสื้อขึ้นจนถึงไหล่ให้เธอ
“กูคิดถูกไหมเนี่ยที่จะให้มึงมาดูแลลูก ๆ กู? ขนาดตัวเองยังดูแลไม่ได้เลย แขนเสื้อเลอะเทอะไปหมด” เขาพูดไปบ่นไป
“ก็เสื้อหมอตัวใหญ่ เสื้อหนูในกระเป๋ามีเยอะแยะไม่หามาเปลี่ยน เอาเสื้อตัวเองมาให้ใส่ทำไม?” มิลาดาพูดแล้วตักข้าวเข้าปากต่อด้วยความหิว น่าแปลกที่เธอไม่ได้คิดหวาดกลัวเขาเหมือนครั้งแรกที่เจอหน้า กลับรู้สึกว่าหน้าตาดุดันของเขาเป็นเพียงเกราะป้องกันไม่ให้คนภายนอกเข้าใกล้ชิด เนื้อแท้กันภัยดูอ่อนโยนและใจดีกว่าที่เธอคาดไว้มาก
“ถ้ากูเปิดกระเป๋ามึง ก็หาว่ากูเป็นโจรสิ แค่เห็นหน้ากู ฟังกูพูด มึงก็ว่ากูหยาบคายแล้ว” กันภัยพูดแล้วขมวดคิ้ว
“พ่อเขาหล่อจ้ะแม่ แค่เขาขี้เกียจโกนหนวดโกนเครา แถมเวลาหน้าใส ๆ สาว ๆ กรี๊ดกันลั่น พ่อเขาขี้เกียจไล่สาวจ้ะ เลยปล่อยหนวดเครารกรุงรัง ขนาดหน้าเหมือนโจร สาวยังหลงเลยจ้ะแม่” แก้วกล้าบอกแม่ของมันแล้วเกาะขอบโต๊ะดูแม่กินข้าวอย่างสุขใจ
“กูบอกให้มึงหุบปากไอ้แก้ว กูจะแดกข้าว” กันภัยหันมามองกุมารทองตัวจิ๋วแล้วส่งสายตาดุดันจริงจังทำให้แก้วกล้าเงียบลง ได้แต่อมยิ้มมองหน้าแม่จนมิลาดาเริ่มรู้สึกเก้อเขิน
“เออ... แล้วเรื่องสัก จะเริ่มเร็วกว่า 1 เดือนได้ไหมคะหมอกันภัย? หนูกลัวผี” มิลาดาถามขึ้นจะได้หาเรื่องให้หายเขินกับสายตาสองกุมารที่จ้องมองเธออย่างเงียบ ๆ
“ไม่ได้ กูไม่ว่าง คิวเต็ม” กันภัยตอบสั้น ๆ
“ตอนนี้ก็ว่างนี่คะ นั่งกินข้าวแค่นั้น กินเสร็จก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว” มิลาดาแย้ง
“มึงรู้ได้ยังไงว่ากูไม่มีอะไรทำ? กูต้องบริกรรมคาถา ศึกษาวิชาอาคม การสักแต่ละครั้งก็ต้องใช้ทั้งพลังกาย พลังใจและสติที่พร้อมสมบูรณ์ ใช่ว่าวันหนึ่งจะสักไปเรื่อย ๆ ได้” กันภัยให้เหตุผล
“แต่หมอกันภัยคะ...”
“หยุดเรียกกูว่ากันภัยด้วย ไม่มีใครเรียกกูชื่อนี้ ใคร ๆ เขาก็เรียกกูว่า ‘ก้าน’ มึงไม่ต้องเสนอหน้ามาเรียกเสียเต็มยศ” กันภัยสั่งเธอ
“ก็ยายเม่นบอกมาว่าหมอชื่อนี้ หนูก็ติดเรียกแบบนี้สิคะ” มิลาดาทำหน้าจ๋อยแล้วบอกเขา
“ยายมึงก็เหมือนกัน เป็นใครกัน? ทำไมถึงรู้จักชื่อจริงกูที่ไม่มีใครรู้จัก?” กันภัยยังติดใจกับยายเม่นของมิลาดามิใช่น้อย แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าจะมีใครอีกที่รู้จักเขาในชื่อนี้
“ล้อเล่นหรือเปล่าคะหมอ? เวลาไปโรงเรียนเพื่อนที่โรงเรียน ครูที่โรงเรียน ไม่มีใครเรียกหมอว่ากันภัยเหรอคะ?” มิลาดายื่นหน้าข้ามโต๊ะอาหารมาถามเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็นจนกันภัยต้องยกนิ้วขึ้นมาจิ้มยันหน้าผากของเธอไว้ก่อนจะตอบเธอ
“เสือกเรื่องชาวบ้านจริงโว้ย! กูเรียนโฮมสคูล มึงรู้จักไหม ‘โฮมสคูล’ น่ะ? ตอนเรียนมหาวิทยาลัยก็เรียนออนไลน์ บินไปเรียนบ้างบางครั้ง เรียนจบก็ไปรับปริญญาที่เมืองนอกแค่นั้น ไม่มีเพื่อนร่วมชั้นที่เรียกชื่อจริงกันหรอก ใคร ๆ เขาก็เรียกกูว่าก้านทั้งนั้น”
“หา! อย่างหมอกันภัยเนี่ยนะคะเรียนโฮมสคูล? แถมยังเรียนจบมหาวิทยาลัยอีกต่างหาก” มิลาดาทำตาโตแล้วถามด้วยความสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม
“ตอนเด็ก ๆ พ่อเขาก็กลัวผีจ้ะแม่ เขาเห็นผีง่ายกว่าแม่เยอะ ไปโรงเรียนเหมือนเด็กคนอื่นไม่ได้หรอกจ้ะ ปู่เล่าให้ฟังว่าต้องเรียนที่บ้าน ไม่งั้นไปโรงเรียนก็วุ่นวาย หันไปทางไหนก็ร้องไห้จ้าเพราะกลัวผี” กุมารแก้วกล้าเริ่มเล่าชีวิตของพ่อมันให้มิลาดารับฟังก่อนที่กุมารทองแท่งจะเสริมเรื่องราว
“พอโตขึ้นมาไม่กลัวผีแล้ว แต่เพราะไม่ได้ไปโรงเรียนปกติมาตั้งแต่เด็ก พ่อเขาเลยไม่ชินกับการไปโรงเรียนจ้ะ พอเข้ามหาวิทยาลัยก็เลยลงเรียนแบบไฮบริดกึ่งออนไลน์ของอเมริกาจ้ะแม่ นาน ๆ ก็บินไปเข้าเรียนที เรียนจบก็บินไปรับปริญญา มีปริญญาเมืองนอกเก๋ ๆ ประดับฝาบ้านปู่ เพื่อนก็มีไม่กี่คนหรอกจ้ะ เพื่อนเล่นแถวบ้านตอนเด็ก ๆ ทั้งนั้น”
“กูบอกให้พวกมึงหุบปาก กูอิ่มแล้ว มึงกินเสร็จก็อาบน้ำเข้านอน ในห้องนอนแขกมีห้องน้ำอยู่แล้ว ในห้องมีพวกสบู่ ยาสีฟันให้ แต่ไม่มีพวกโลชั่นทาผิว ครีมล้างหน้า น้ำหอมใส่ตัวแบบพวกสาวชาวกรุงเขาชอบใช้กันหรอกนะ พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า ให้ไอ้แก้วไอ้ทองพาไปตลาด แต่อย่าเสือกไปคุยกับไอ้แก้วไอ้ทองต่อหน้าชาวบ้านล่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าบ้า ไปซื้อผักหญ้าอาหารมาเตรียมไว้ทำอาหาร ซื้อขนมผลไม้เอาไว้ถวายลูก ๆ กูด้วย ไอ้แก้ว ไอ้ทองมันชอบนักพวกขนมหวานไทย ๆ ซื้อมาไว้ให้มันเยอะ ๆ น้ำหวาน นม พวงมาลัย ซื้อมาให้หมด นี่เงิน” กันภัยสั่งเธอละเอียดยิบก่อนจะโยนซองใส่เงินหนาตึบให้มิลาดาซองหนึ่ง
สาวน้อยเปิดดูจำนวนเงินในซองพร้อมนับแล้วทำตาโตทันที
“โอ้โห! หมอคะ นี่มัน.... ห้าหมื่น! หมอจะให้ซื้อแค่พวกอาหารห้าหมื่นเลยเหรอคะ?” มิลาดาถามเสียงสูง
“ก็... กูบอกแล้วว่าห้องนอนแขกมีแต่พวกของใช้พื้นฐาน ถ้ามึงอยากได้พวกเครื่องหอม พวกผ้าขนหนูใหม่ ๆ มึงก็ซื้อ ๆ มา อย่าให้เขาลือกันได้ว่ามาเป็นคนของกูแล้วกูปล่อยให้ลำบาก” กันภัยพูดเสียงเรียบก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางห้องของตัวเอง
มิลาดามองตามหลังหมอยันต์รูปหล่อไป เขาดูเป็นคนดุดันแถมออกจะบ้านนอกนิด ๆ แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าหมอยันต์กันภัยร่ำเรียนจบเมืองนอกเมืองนา แถมเงินหนาและใจดีอย่างคาดไม่ถึงด้วย